Skip to main content


 

1.

"ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"

เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ


เขาทำหน้าพึงพอใจเห็นได้ชัด สารภาพกับฉันว่าไม่ใช่แค่หลายชั่วโมงหรอกที่เขาเฝ้ามองรถคันนี้ แต่เป็นหลายสัปดาห์มาแล้ว

"มันเป็นรถโบราณ หายาก เป็นรถเก่าแบบที่ผมชอบ และที่สำคัญมันราคาถูกมาก แค่สองหมื่นบาทเท่านั้น"

ฉันนั่งฟังเป็นความรู้ใหม่ นอกจากไม่ถนัดเรื่องเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าในตลาดรถเก่านั้น สีไหน ยี่ห้อไหนจะหายากกว่ากัน ฉันถามเขาไปว่า

"แบบนี้มันต้องซ่อมอีกไหม ไหนบอกว่าอยากได้รถเอาไว้เดินทางไกลๆ ข้ามจังหวัด มันจะไหวเหรอ"


ดวงตาเขาเป็นประกาย คำถามนั้นช่วยให้เขาวางแผนระยะไกลได้ชัดมากขึ้น เขาบอกว่าดูสภาพแล้วก็รู้ว่าจะต้องซ่อมอะไรบ้าง ตกแต่งให้ดีหรือลงทุนเสียหน่อย ขายต่ออีกทอดก็ยังได้กำไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมันเป็นรถในฝัน อย่างไรเสียเขาก็คงไม่ขายมันไปง่ายๆ

"อีกอย่าง รถถูกๆ แบบนี้ผมซ่อมเองได้บ้าง ประหยัดเงินกว่าซื้อรถใหม่หลายเท่าตัว เศรษฐกิจแบบนี้ต้องพอเพียง เราก็ต้องไม่ใช้งานมันหนัก มันจะได้อยู่กันไปนานๆ"


นั่นเป็นหตุผลให้ไม่กี่วันต่อมา เพื่อนของฉันวิงวอนให้เราสามสี่คนเดินทางไปกับเขา เพื่อซื้อขายรับรถคันนี้กันที่ภาคกลาง เราตื่นกันแต่เช้า นั่งยัดกันไปในกระบะคันหนึ่งของเพื่อน เตรียมอุปกรณ์ลากรถเผื่อไว้ ทั้งเชือก เหล็ก ไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง และน้ำมัน พากันออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่ตีห้า


เด็กสาวเพิ่งจบการศึกษาซึ่งเป็นแฟนเขา ยังมีสีหน้างัวเงียเหมือนเด็กน้อยนอนไม่อิ่ม นั่งหอบตุ๊กตามากอดแล้วหลับอยู่ในรถ ตลอดทางเราคุยถึงรถคันนั้น เพื่อนก็ตอบคำถามได้หมด เรื่องระบบการขับเคลื่อน ขนาดตัวถัง สัญญาเช่าขาย อู่ที่จะนำไปซ่อมปรับปรุง ทุกอย่างอยู่ในหัวเขาหมดแล้วพร้อมเงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้


การเดินทางนั้นยาวไกลหลายชั่วโมง เราลากรถคันนั้นกลับมาถึงเชียงใหม่ในเวลาตีสี่ ตลอดทางไม่มีใครได้แวะกินอะไรเพราะกลัวฝนจะตก เพื่อนลากยาวฝ่าความมืดตอนกลางคืนมาด้วยท่าทีคึกคักไม่มีตก ยามดึกที่แล่นผ่านถนนอันเปล่าเปลี่ยว ฉันยังเผลอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตาเขาไม่มีคลาย จนนึกได้ว่า ความรักและความฝันของคนนั้นมีแรงผลักมากกว่าที่เราคิด และบางครั้งมันก็ทำให้คนลืมความเหนื่อยอื่นใดไปได้หมด


ไม่มีใครคิดเลยว่า นับจากวันนั้นไป เรากลับไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเขาอีก

..................


 

 

2.

"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ"

เพื่อนของฉันบอก หลังจากลากรถไปซ่อมยังอู่ไกลๆ แห่งหนึ่ง เราพากันไปส่งเจ้ารถสีขาวด้วยความหวังว่ามันจะแล่นได้เหมือนเดิม

แต่จากวันนั้นนับเดือน มันยังไม่มีทีท่าที่จะวิ่งได้ เพราะไม่มีอะไหล่ซ่อม เพื่อนของฉันเปลี่ยนแผนโดยการมอบรถคันนี้ให้นักศึกษาฝึกซ่อมนำมันไปฝึกหัดทำสี เขาระดมเด็กๆ ที่อยากหาอะไรเล่นมาทำสีรถจนใหม่เอี่ยม วาววับสวยงามดี แต่เพื่อนก็ทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ฝีมือการทำไม่เนี๊ยบเรียบร้อยอย่างที่คิด


เขาเริ่มต้นชีวิตอันหมกมุ่น ตื่นแต่เช้า ไปเยี่ยมรถที่อู่ นอนสอดตัวเข้าไปช่องท้องสำรวจอะไหล่ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปทั่วด้วยน้ำมันรถสีดำๆ ไม่มีใครชวนเขาไปไหนได้ นอกจากอู่รถ ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะเฝ้านั่งดูรายการสินค้าอะไหล่ทางอินเตอร์เน็ตว่าของที่สั่งจะปรากฏคนขายอยู่ที่ไหนบ้าง เขาวนเวียนขับรถเข้าออกร้านค้าทั่วเชียงใหม่ เริ่มโดดงานเพื่อจัดการธุระด้วยรถคันนั้น และเขาก็เริ่มทะเลาะกับเพื่อน


สายวันหนึ่ง แฟนสาวของเขาขี่มอเตอร์ไซค์มาหาฉันที่บ้าน แววตาเธอแดงๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

"พี่ช่วยพูดกับแฟนหนูหน่อยได้ไหม...เขาไม่สนใจอะไรเลยนอกจากรถ แล้วก็ทะเลาะกับเพื่อนไปสามคน"

"พ่อของเขาโมโหมากที่ไม่ยอมซ่อมรถเก่า แต่เอาเงินมาลงกับรถคันนี้หมด"

"พี่เขาเครียดมาก ไม่ยอมกินข้าว โมโหว่าเมื่อไหร่มันจะแล่นได้สักที เปลี่ยนอู่มาแล้ว 3 รอบ"

ฯลฯ

 

อีกหลายประโยคและเรื่องราวที่สะท้อนปัญหาทั้งการเงิน ความสัมพันธ์ เวลา และหลายอย่างที่ทำให้เพื่อนบางคนจำใจยื่นมือเข้าไปช่วย หลายเดือนนับจากนั้น ฉันจำได้ว่า เขาลากรถไปซ่อมในอู่ต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของเขาอีกแล้ว ทุกๆ วันมีแต่ความมึนตึง เพื่อนฝูงช่วยกันระดมคนมาปรับปรุงซ่อมแซมมันจากสภาพรถเก่าๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ มาถึงวันแรกที่มันสามารถเดินทางมาเยี่ยมฉันที่บ้านได้


แต่ก็ยังไม่มีรอยยิ้มของเขาอยู่ดี คิ้วของเขาขมวดเป็นปม ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้นั่งเลยสักนาที แต่ปูเสื่อสอดตัวไปใต้รถเหมือนเคย เมื่อซ่อมเครื่องยนต์เสร็จ เขาก็คิดจะปรับปรุงสี เมื่อทำเสร็จก็อยากแก้ไขแอร์ ปรับปรุงเครื่องเสียง เปลี่ยนกระจก เปลี่ยนคิ้วขอบหน้าต่าง ฉันได้แต่นิ่งพิจารณาความเป็นไปในการซ่อมแซมรถสักคนหนึ่ง และความเป็นไปในใจเขา ซึ่งให้เหตุผลไว้ว่า

"มันเป็นรถในฝันของผม คันแรก และคันเดียวเท่านั้น"


จริงหรือ ที่มนุษย์มีความฝันแล้วต้องทำให้มันสำเร็จ
?

ฉันตั้งคำถามขึ้นเงียบๆ มองดูแมวที่กระโดดไปฝนเล็บในรถเขาด้วยแววตากังวล อุ้มแมวกลับมาแล้วจำเป็นต้องดุ เพราะเห็นหน้าเพื่อนมึนตึง แฟนสาวของเขาฟุบหลับอยู่ที่เก้าอี้ มือของเธอเปื้อนน้ำมันรถเล็กน้อย และสภาพบอกว่าหมดพลังแล้วที่จะต่อสู้กับการทะเลาะกันอีก


วันนั้นทั้งวันเรานั่งคุยกันโดยเขาอยู่ในรถ กระทั่งแดดบ่ายสาดเข้ามาเต็มแรง เขาจึงท้อถอยด้วยการเดินออกมาแล้วขอลากลับ เพื่อจะไปคุยกับอู่รถต่อ


ฉันได้แต่พยักหน้า แฟนสาวของเขามองฉันอย่างวิงวอน เหมือนจะขอร้องอะไรสักอย่าง ฉันกลับปิดปากเงียบ มันเป็นความฝันของเขามิใช่หรือ ความฝันที่เราต่างมีแตกต่างกัน และแทรกตัวไปอยู่ในนั้นได้ยาก แม้จะมีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่ฉันนึกอยากกลายเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พูดอะไรสักคำให้เขาถอยห่างจากรถคันนั้นเสียบ้าง ฉันว่ายังมีรถอีกมากกระมังที่เหมาะสมกับเขา หรือน่าจะมีเรื่องอื่นอีกบ้างกระมัง ที่จะเป็นความฝันของเขา


สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งผ่านไปอีกราว 4 เดือน เพื่อนของฉันหายไปจากชีวิต เราแทบไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกัน ไม่มีใครเห็นเขาหรือพูดถึงเขา เมื่อนั้นฉันจึงหาเวลาวันหยุดแวะไปหาเขาที่บ้าน


3.

มองซ้ายมองขวา หารถคันนั้นไม่เจอแล้ว

มันถูกฝากเอาไว้ที่อู่แห่งหนึ่ง พร้อมถ่ายรูปเพื่อนำกลับไปลงในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง เพื่อนของฉันผมยาวคลอบ่า หนวดเครารกครึ้ม เขายิ้มจางๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แล้วบอกกับฉันด้วยท่าทางของคนยอมแพ้

"ผมตัดสินใจขายมันแล้วล่ะ"

"ฮื่อ...ไม่เสียดายแล้วใช่ไหม"


เขายิ้มแหยๆ ให้ตัวเอง แต่มีประกายตาสำนึกผิดเกิดขึ้นแทน

"ไม่แล้วล่ะ...ผมว่าที่น่าเสียดายไม่ใช่รถคันนั้นหรอก แต่เป็นอย่างอื่น"

"อะไรบ้างล่ะ"

"ก็เนี่ย ทะเลาะกับเพื่อนหลายคนจะกลับไปขอโทษเขา เงินก็ใกล้หมด สงสัยขายแล้วจะขาดทุน ส่วนเด็กๆ ที่มาช่วยซ่อมมันท้อแท้กลับไปหมดแล้ว สงสัยต้องไปเลี้ยงเหล้าพวกเขาสักมื้อ"

"อ้อ..."

ฉันแอบยิ้ม เพื่อนของฉันวาง "ความล้มเหลว" ไว้ที่โรงจอดรถด้วยการโยนกล่องอุปกรณ์ลงแรงๆ แล้วเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูเก่าๆ ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ

"ไปไหนเหรอวันนี้"

"ผมจะไปขอคืนดีกับแฟนน่ะ"


ฉันเผลอหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่เกรงใจเขา แล้วถามเขาว่า

"เลิกกันเพราะความฝันกับรถคันนี้น่ะเหรอ"

เขาหัวเราะตาม น้ำเสียงร่าเริงกลับมาแล้ว แววตาเป็นมิตรกว่าที่เห็นก่อนนี้

"ไม่ใช่เลิกกันเพราะเรื่องรถอย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะผมเองบ้ามากไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันทำไปได้ไง เอาแต่ใจตัวเองจนคนอื่นเค้าเบื่อกันไปหมด เฮ้อ"

ฉันหัวเราะอีกที นึกขำขึ้นมาเหมือนกัน

"ก็ดีนะที่ยังทันนึกได้"

"ใช่ ผมก็ว่ายังดีนะยังทันนึกได้ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฝันจนเสียแฟนเสียเพื่อนเนี่ย ทำไปได้ยังไง"


ฉันมองดูเขา เขาก็มองดูฉัน เราหัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนที่ปรากฏร่างของเพื่อนคนเดิมกลับคืนมาอีกครั้ง

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่