Skip to main content

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (1)

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (2)

ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลย
เขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้น
สวยงามเพียงใด

หาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา

นักเดินทางบางคนนัดกับเรือรับจ้างเอาไว้แล้ว เช้าตรู่เขาจะมารับที่ท่าน้ำ พาล่องไปเยี่ยมชมชีวิตผู้คนสองฝั่ง คือไทยและลาวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม แล้วก็พากลับมาส่งที่เดิม บางคนโดยสารตัดแม่น้ำไปยังฝั่งโน้น แวะไปซื้อของที่ลาว หรือ ข้ามไปเที่ยวยังหลวงพระบาง

เรือลำเล็กใหญ่เหล่านั้น ล่องผ่านสายตาของชายคนนี้อยู่ในระดับสายตา  ไปและมา มาและไป เหมือนภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำเดิมทุกวัน

และเขาก็ยังทำเช่นเดิม ไม่เหลียวแลที่จะมองใคร หากไม่เพราะว่าเขาเบื่อที่จะมองมันแล้ว ก็อาจเป็นเพราะว่า เขาได้วางชีวิตเอาไว้ในโลกที่ไม่เกี่ยวข้องกัน โลกของเขามีเพียงหาดทราย ถังน้ำพลาสติกนับร้อยใบ เมล็ดถั่วเขียวในถัง และเช่นเดียวกัน ใครจะรู้ได้ว่า โลกของคนบนเรือที่ไม่ข้องเกี่ยวกับเขาเหล่านั้น จะสนใจไยดีเขาบ้างหรือไม่

ยกเว้นแต่ฉันเวลานี้ ความอ่อนด้อยประสบการณ์ดึงดูดให้เดินย่องลงไปใกล้ที่สุด เท่าที่จะใกล้ได้

เหยียบเท่าลงบนผืนทราย เงยหน้าของเขา ทักทายด้วยรอยยิ้ม อุ่นใจเมื่อเขายิ้มตอบกลับมา จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงลังเล
“ลุงกำลังปลูกถั่วงอกใช่ไหมคะ”

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (3)

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (4)

“ใช่แล้วล่ะ”
ลุงตอบน้ำเสียงเรียบๆ เขายังไม่เงยหน้ามองฉันสักนิด จนเริ่มขาดความมั่นใจ แม้กระทั่งเรายืนใกล้กันนิดเดียว

ฉันเหลือบไปมองเบื้องหน้า ตะวันโผล่พ้นน้ำสะท้อนเงาระยับเป็นสีเหลืองทองเหมือนในภาพถ่าย แต่มือใหญ่ๆ ในชีวิตจริงของลุงกำลังเอื้อมไปตักน้ำนั้นมาใส่ถัง

เมื่อได้น้ำมาแล้ว ก็ราดรดลงไปบนถังอีกใบ ซึ่งโปรยใส่เมล็ดถั่ว เขาไม่ได้ทำแค่เพียงครั้งเดียวใน 1 ถัง แต่ลุงทำแบบนั้นซ้ำๆ เป็นชั้นๆ ซ้อนกันขึ้นมา
ใส่ถั่ว รดน้ำ กลบทราย
ใส่ถั่วอีกชั้น รดน้ำ กลบทราย
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งเสร็จหมดแล้ว ก็เลื่อนกายไปยังถังที่อยู่หัวแถวที่สุด
เปิดฝาสังกะสีออก ฉันก็พบกับต้นถั่วงอกที่เจริญงอกงาม ชูช่อ ทั้งแบบสีขาวนวลและเริ่มแตกใบ

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (5)

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (6)

“โอ้โห” เผลออุทานออกมาเสียงดัง
ได้ผล ลุงหันมายิ้มแล้ว

“แบบนี้เก็บได้แล้วสิคะลุง”
“ใช่ เดี๋ยวคัดๆ ที่ไม่สวยออก ก็ส่งได้เลย”

ฉันพิจารณาต้นถั่วงอกที่ “ไม่สวย” ตามที่ลุงว่า แล้วก็ขออนุญาตถ่ายรูป สำหรับฉันแล้ว เริ่มรู้สึกว่าทุกต้นนั้นงามจนไม่ควรจะถูกทิ้งเสียด้วยซ้ำ และก็นึกถึง “ความสวย” ของถั่วงอกในร้านก๋วยเตี๋ยวที่ต่างกันออกไป

“กี่วันคะ ถึงจะโตเท่านี้”
“ก็ 4-5 วันนะ ลุงก็ทยอยปลูกไป เราต้องปลูกไม่พร้อมกัน ก็จะมีให้เก็บได้ทุกวัน”
“อ๋อค่ะ”
ฉันยิ้มเมื่อเห็นลุงเริ่มต้นคัดถั่วงอกที่ดีพอเพื่อนำไปส่ง

“ลุงส่งร้านแถวนี้ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ก็ตลาดแถวนี้ แล้วก็ตามร้านอาหารบ้าง”
“ก็แปลว่าทานได้เลย ไม่ต้องเอาไปฟอกสินะ”
“โอ้ย สดๆ แบบนี้หวานอร่อย ไม่เหม็นเลย ชิมดูสิ”

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (7)

ฉันเห็นรอยยิ้มกว้างๆ ของเขาแล้ว รอยยิ้มที่สว่างแข่งกับดวงตะวันบนท้องฟ้า
ลุงเหลือบดูนาฬิกา เหมือนจะต้องไป ฉันก็เช่นกัน มองไปยังผืนน้ำ เห็นเรือลำน้อยใหญ่ยังคงเดินทางอย่างปกติ นักท่องเที่ยวคงตื่นกันหมดแล้ว ชีวิตในเมืองเชียงของเคลื่อนไหว ช้า เร็ว สลับกันไป

ก่อนเราจะจากกัน ฉันถามเขาว่า
“นี่เป็นที่ทำงานของลุงสินะ มาทุกวันเลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ มาทุกวัน เช้ามาก็เจอลุงได้ที่นี่แหละ”
“ขอบคุณค่ะลุง”

ที่ถามไปนั้น ฉันเองก็ตอบไม่ได้ ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมลุงอีกหรือเปล่า ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เราก็คงเป็นแค่ความทรงจำหนึ่งของกันเท่านั้น หรือ อาจจะไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ

แน่นอน ชายคนนี้คงไม่หวังที่จะเป็นความทรงจำของใคร เช่นเดียวกับเรือที่ผ่านน้ำโขงไป ลำแล้ว ลำเล่า และมองเห็นกันเป็นจุดเล็กๆ ก่อนฟ้าจะค่ำลง

เดินห่างออกมาแล้ว ก็คลี่ดูต้นถั่วงอกที่ใหม่สดในมือ ต้นที่หล่นร่วงจากถัง และแอบหยิบมาดู
เงยไปมองท้องฟ้า แล้วคิดว่า
จริงๆ หรือ ที่ชีวิตเราไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตในถังถั่วงอกของลุงคนนั้น ?

20080123 ชีวิตในถังถั่วงอก (8)

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่