ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลย
เขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้น
สวยงามเพียงใด
หาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา
นักเดินทางบางคนนัดกับเรือรับจ้างเอาไว้แล้ว เช้าตรู่เขาจะมารับที่ท่าน้ำ พาล่องไปเยี่ยมชมชีวิตผู้คนสองฝั่ง คือไทยและลาวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม แล้วก็พากลับมาส่งที่เดิม บางคนโดยสารตัดแม่น้ำไปยังฝั่งโน้น แวะไปซื้อของที่ลาว หรือ ข้ามไปเที่ยวยังหลวงพระบาง
เรือลำเล็กใหญ่เหล่านั้น ล่องผ่านสายตาของชายคนนี้อยู่ในระดับสายตา ไปและมา มาและไป เหมือนภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำเดิมทุกวัน
และเขาก็ยังทำเช่นเดิม ไม่เหลียวแลที่จะมองใคร หากไม่เพราะว่าเขาเบื่อที่จะมองมันแล้ว ก็อาจเป็นเพราะว่า เขาได้วางชีวิตเอาไว้ในโลกที่ไม่เกี่ยวข้องกัน โลกของเขามีเพียงหาดทราย ถังน้ำพลาสติกนับร้อยใบ เมล็ดถั่วเขียวในถัง และเช่นเดียวกัน ใครจะรู้ได้ว่า โลกของคนบนเรือที่ไม่ข้องเกี่ยวกับเขาเหล่านั้น จะสนใจไยดีเขาบ้างหรือไม่
ยกเว้นแต่ฉันเวลานี้ ความอ่อนด้อยประสบการณ์ดึงดูดให้เดินย่องลงไปใกล้ที่สุด เท่าที่จะใกล้ได้
เหยียบเท่าลงบนผืนทราย เงยหน้าของเขา ทักทายด้วยรอยยิ้ม อุ่นใจเมื่อเขายิ้มตอบกลับมา จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงลังเล
“ลุงกำลังปลูกถั่วงอกใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วล่ะ”
ลุงตอบน้ำเสียงเรียบๆ เขายังไม่เงยหน้ามองฉันสักนิด จนเริ่มขาดความมั่นใจ แม้กระทั่งเรายืนใกล้กันนิดเดียว
ฉันเหลือบไปมองเบื้องหน้า ตะวันโผล่พ้นน้ำสะท้อนเงาระยับเป็นสีเหลืองทองเหมือนในภาพถ่าย แต่มือใหญ่ๆ ในชีวิตจริงของลุงกำลังเอื้อมไปตักน้ำนั้นมาใส่ถัง
เมื่อได้น้ำมาแล้ว ก็ราดรดลงไปบนถังอีกใบ ซึ่งโปรยใส่เมล็ดถั่ว เขาไม่ได้ทำแค่เพียงครั้งเดียวใน 1 ถัง แต่ลุงทำแบบนั้นซ้ำๆ เป็นชั้นๆ ซ้อนกันขึ้นมา
ใส่ถั่ว รดน้ำ กลบทราย
ใส่ถั่วอีกชั้น รดน้ำ กลบทราย
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งเสร็จหมดแล้ว ก็เลื่อนกายไปยังถังที่อยู่หัวแถวที่สุด
เปิดฝาสังกะสีออก ฉันก็พบกับต้นถั่วงอกที่เจริญงอกงาม ชูช่อ ทั้งแบบสีขาวนวลและเริ่มแตกใบ
“โอ้โห” เผลออุทานออกมาเสียงดัง
ได้ผล ลุงหันมายิ้มแล้ว
“แบบนี้เก็บได้แล้วสิคะลุง”
“ใช่ เดี๋ยวคัดๆ ที่ไม่สวยออก ก็ส่งได้เลย”
ฉันพิจารณาต้นถั่วงอกที่ “ไม่สวย” ตามที่ลุงว่า แล้วก็ขออนุญาตถ่ายรูป สำหรับฉันแล้ว เริ่มรู้สึกว่าทุกต้นนั้นงามจนไม่ควรจะถูกทิ้งเสียด้วยซ้ำ และก็นึกถึง “ความสวย” ของถั่วงอกในร้านก๋วยเตี๋ยวที่ต่างกันออกไป
“กี่วันคะ ถึงจะโตเท่านี้”
“ก็ 4-5 วันนะ ลุงก็ทยอยปลูกไป เราต้องปลูกไม่พร้อมกัน ก็จะมีให้เก็บได้ทุกวัน”
“อ๋อค่ะ” ฉันยิ้มเมื่อเห็นลุงเริ่มต้นคัดถั่วงอกที่ดีพอเพื่อนำไปส่ง
“ลุงส่งร้านแถวนี้ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ก็ตลาดแถวนี้ แล้วก็ตามร้านอาหารบ้าง”
“ก็แปลว่าทานได้เลย ไม่ต้องเอาไปฟอกสินะ”
“โอ้ย สดๆ แบบนี้หวานอร่อย ไม่เหม็นเลย ชิมดูสิ”
ฉันเห็นรอยยิ้มกว้างๆ ของเขาแล้ว รอยยิ้มที่สว่างแข่งกับดวงตะวันบนท้องฟ้า
ลุงเหลือบดูนาฬิกา เหมือนจะต้องไป ฉันก็เช่นกัน มองไปยังผืนน้ำ เห็นเรือลำน้อยใหญ่ยังคงเดินทางอย่างปกติ นักท่องเที่ยวคงตื่นกันหมดแล้ว ชีวิตในเมืองเชียงของเคลื่อนไหว ช้า เร็ว สลับกันไป
ก่อนเราจะจากกัน ฉันถามเขาว่า
“นี่เป็นที่ทำงานของลุงสินะ มาทุกวันเลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ มาทุกวัน เช้ามาก็เจอลุงได้ที่นี่แหละ”
“ขอบคุณค่ะลุง”
ที่ถามไปนั้น ฉันเองก็ตอบไม่ได้ ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมลุงอีกหรือเปล่า ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เราก็คงเป็นแค่ความทรงจำหนึ่งของกันเท่านั้น หรือ อาจจะไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ
แน่นอน ชายคนนี้คงไม่หวังที่จะเป็นความทรงจำของใคร เช่นเดียวกับเรือที่ผ่านน้ำโขงไป ลำแล้ว ลำเล่า และมองเห็นกันเป็นจุดเล็กๆ ก่อนฟ้าจะค่ำลง
เดินห่างออกมาแล้ว ก็คลี่ดูต้นถั่วงอกที่ใหม่สดในมือ ต้นที่หล่นร่วงจากถัง และแอบหยิบมาดู
เงยไปมองท้องฟ้า แล้วคิดว่า
จริงๆ หรือ ที่ชีวิตเราไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตในถังถั่วงอกของลุงคนนั้น ?