Skip to main content

“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”
ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้า

คนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน
“แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”

“อ้าว เกี่ยวกันยังไง”
ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด
“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”

ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน ที่รู้สึกได้อย่างนี้ วางหนังสือไว้บนชั้น วางงานไว้บนโต๊ะ หยิบเงินใส่กระเป๋ากางเกง ก้าวออกมาพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคู่ใจ

เธอพาฉันขี่มอเตอร์ไซค์ออกมา ลัดเลาะมาตามทางเล็กๆ  โผล่สู่ถนนใหญ่นอกเมือง  รอบข้างของเราเป็นทุ่งนาที่กำลังถูกหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่

 

ุ"ไหนน๊อ รุ้งกินน้ำ”
ฉันรำพึงเบาๆ หมู่มวลก้อนเมฆและสายลม แทบจะไม่คลาดจากสายตา รุ้งกินน้ำ รุ้งกินน้ำ ฉันท่องเอาไว้ในใจ นานแค่ไหนที่ฉันไม่ได้เห็น เรื่องราวในอดีตไหลเลื้อยเข้ามาในความคิด

ตอนเด็กๆ ฉันชอบดูรุ้งกินน้ำเป็นที่สุด แม้พ่อจะบอกว่าห้ามชี้ เดี๋ยวนิ้วจะขาด ฉันก็จะชี้อยู่ร่ำไป รู้ว่าเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กแต่ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร

มีครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุราว 11 ขวบ แม่ชวนให้ดูรุ้งกินน้ำที่ทอดยาวอยู่กลางทุ่งนาด้านทิศตะวันออกของบ้าน

เวลานั้นแม่เพิ่งกลับจากการทำงาน สวมเสื้อขาดลุ่ยที่เก่ามอมแมม ลูกหมูในคอกกำลังร้องหิวข้าวเสียงดัง ฝูงไก่ในบ้านวิ่งไล่กัน เป็ดร้องก๊าบๆ รออยู่ในเล้า แม้เวลานั้นแสนจะวุ่นวาย แม่ก็ยังมีแก่ใจหยุดดูท้องฟ้า และเล่านิทานสั้นๆ ให้ฉันฟังว่า

แต่เดิมรุ้งนั้นมีสีเดียว คือสีโปร่งใส ยามหิวก็ทอดตัวลงมาแอบกินน้ำจากทุ่งนา จนวันหนึ่งเมื่อฝนตกจึงทำให้ปรากฏเห็นเป็นเส้นสีขาว  ทุกคนจึงเห็นหมด รุ้งอายมากที่คนอื่นรู้ว่าตนอยู่ตรงนี้ จึงร้องไห้ จนกระทั่งดวงตะวันสงสาร จึงเนรมิตให้เกิดสีแดง เขียว ฟ้า น้ำเงิน และสีอื่นๆ รวม 7 สีเข้าไปยังรุ้งจนเกิดสีสันสวยงาม โค้งเป็นวงกลม สร้างความตื่นใจแก่ต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่นั้นมา รุ้งก็ไม่ปรากฏตัวบ่อยนัก หรือแอบมาโดยไม่บอกใคร หากมีฝนตกครั้งใด ก็จะมีพระอาทิตย์คอยติดตามสาดแสงอยู่ร่ำไป หากดวงอาทิตย์ไม่มาเราก็จะไม่เห็นแสงสีรุ้งนั้น

“เล่าอีกแล้ว” คนข้างกายฉันแซว เมื่อเรื่องนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในชีวิตของเรา ฉันอมยิ้ม ก็อยากจะเล่านินา ว่าแล้วก็ยังกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ แม้ยังไม่มีวี่แววของสายรุ้งปรากฏ

20080220 ภาพประกอบนิทานท้องฟ้า (1)

“เธอดูสิ มีเทพมาทักทายโลกมนุษย์”
คนฟังทำสีหน้างงกับคำพูด ฉันจึงชี้ไปยังเมฆก้อนใหญ่บนท้องฟ้า
“นั่นไง ดูสิ มีคนอยู่ 3 คน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เหมือนกำลังมองอะไรอยู่”
“เห็นเป็นหน้าคนเหรอ”
เธอถาม ฉันอมยิ้ม
“คนที่หนึ่งขวาสุด น่าจะเป็นผู้หญิงนะ ดูสิผมยาวสยาย เหมือนเทพวีนัส ใส่มงกุฎไว้ด้วย บนหัว ส่วนคนที่สองกับสามก็ยืนเรียงกันอยู่ น่าจะเป็นผู้ชายนะ”

คนฟังหยุดรถ ยืนนิ่งพิจารณาด้วยกัน “อืม ใกล้เคียงทีเดียว” เธอว่าอย่างเอาใจ
งั้นก็ถ่ายรูปเต่าบินด้วยสิ
“หือ ไหนเหรอ”

20080220 ภาพประกอบนิทานท้องฟ้า (2)

ฉันดูตามเธอชี้ แล้วก็อมยิ้ม
“โอเค งั้นเดี๋ยวจะไปทักทายกระต่ายฝูงโน้นเสียหน่อย”

20080220 ภาพประกอบนิทานท้องฟ้า (3)

“ว่าแต่นกตัวนั้นตัวใหญ่จัง”

20080220 ภาพประกอบนิทานท้องฟ้า (4)

“แต่ฉันว่าตรงนั้นน่ากลัวที่สุดนะ จระเข้ไม่รู้จะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้”

20080220 ภาพประกอบนิทานท้องฟ้า (5)

บ่ายและเย็นวันนั้น ฉันจึงมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกมากมายในจินตนาการ
และได้แต่ยิ้มขำๆ กับนิทานท้องฟ้า แม้จะดูเหมือนไม่มีสาระ
แต่ก็ทำให้ฉันเข้าใจได้แล้ว ว่าทำไมแม่ถึงอธิบายเรื่องรุ้งกินน้ำได้เป็นวรรคเป็นเวรเพื่อฉันในวันเยาว์
ได้ขนาดนั้น.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"