เขียนเรื่องอากง ส่งให้อาจารย์ "ลมหายใจสุดท้าย...ฝากไว้ที่เรือนจำ"

26 September, 2012 - 14:20 -- yongyee

  เนื่องจากเป็นวิชาเรียน ชื่อวิชาการเขียนสารคดี เพื่ออรรถรสจึงต้องมีการเพิ่มลดรายละเอียดของเรื่อง ให้เข้ารูปแบบสารคดีสมัยใหม่ และพยายามเขียนอย่างไม่เข้าข้างความคิดตัวเองมากที่สุด

 

ก่อนเขียนอาจารย์ให้อ่านงานที่รุ่นพีเขียนไว้ เป็นเรื่องลุงขายของเล่นเด็กทำจากท่อพีวีซีที่เรียก "ป๋องแป๋ง" แถวองค์พระปฐมเจดีย์คนหนึ่ง ข้อคิดหลักของเรื่องนี้คือ การทำงานนั้นน่าภาคภูิมิใจ แม้ว่าจะรายได้น้อย ทำแล้วหนื่อย แต่ถ้าเป็นงานสุจริต ทำแล้วเราพอใจ เลี้ยงชีพได้ งานนั้นก็คืองานที่ดี

 

หนูเห็นด้วยและไม่เถียงเรื่องการทำงานที่ชอบ แต่หนูสนใจประเด็นที่มากไปกว่านี้ ในงานของหนู หนูต้องการจะบอกอาจารย์ว่า ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเราเสมอไป ตราบใดที่เรายังเป็นพลเมือง ยังอยู่ภายใต้กฏหมาย อยู่ภายใต้อำนาจต่างๆนานา

 

แต่สุดท้ายตอนแจกงานคืน อาจารย์ก็ดูจะสนใจแต่สิ่งที่อาจารย์สนใจอยู่เหมือนเดิม ซ้ำยังมาบอกคนอื่นว่าให้สนใจแบบตัวเอง หลังได้ตรวจงานแล้วพบว่านักศึกษาเขียนถึงความเจ็บความลำบากของคนจน อาจารย์ก็บอกว่าไม่อยากให้คิดว่าเงินสำคัญ ความสุขใจต่างหากที่สำคัญกว่า

 

โอ้! แบบนี้หนูว่ามันเป็น"กับดัก" ทัศนคติชัดๆเลยอาจารย์  หนูไม่ได้บอกว่าเงินสำคัญที่สุดหรอกนะ ความสุขมันก็สำคัญนั่นแหละ ความสุขมันก็สร้างมาจากใจเรานั่นแหละ แต่ถ้าสาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ดี อดมื้อกินมื้อ อาจารย์จะมีความสุขได้ไหมล่ะ  คนรวยก็พูดได้สิว่าให้พอเพียง คนจนมันจะพอยังไง ในเมื่อมันขาดแคลน ถ้าอยากให้คนจนพอก็แบ่งมาให้สิคะ อย่ามีเยอะแล้วไปบอกคนอื่นให้พอ 

 

เรื่องความพอใจในความสุขที่อาจารย์พูดมานี่ อาจารย์บอกว่าเป็นปรัชญานะคะ (คล้ายกับอยากจะให้คนจนทำใจยอมรับความจนของตัวเอง) แต่หนูไม่เห็นว่ามันเป็นปรัชญาตรงไหนเลย หนูไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะ

 

นอกจากนี้เรื่องหน้าที่ตามอวัยวะ ที่ว่าทุกส่วนของร่างกายนั้นสำคัญเท่ากัน เพราะต่างประกอบขึ้นเป็นร่างกายและมีหน้าเป็นของตัวอง เพียงแต่สูงต่ำไม่เท่ากันก็เท่านั้น หนูไม่คิดว่ามันควรจะเอามาเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของคนในสังคม กระบวนทัศน์การมองสังคมการมองโลกมีตั้งหลายแบบ และยุคนี้มันก็โลกาภิวัตน์แล้ว แนวคิดเก่าๆมันไม่เหมาะสมหรอกค่ะ

 

   เรื่องการคิดต่างเห็นต่าง เพราะเราต่างวัย เพราะเจออะไรมาต่างกันจึงคิดต่างกัน  หนูว่าคนเรามันเรียนรู้ได้นี่คะ ไม่ใช่อ้างว่า ประสบการณ์ต่างเลยคิดต่าง มันอยู่ที่ว่าจะเปิดใจรับหรือไม่ต่างหาก 

 

บ่นมาตั้งนาน หนูไม่ได้มีทัศนคติที่ไม่ดีกับอาจารย์นะคะ ถ้าไม่เห็นด้วยก็วิจารณ์เป็นเรื่องๆไป และยังรู้สึกชื่นชมวิธีการสอน การอธิบายงานที่ทำให้เข้าใจได้ง่าย และมักอธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยู่ตลอด อาจารย์มีความเป็นอาจารย์ในความคิดหนู  แต่เเรื่องที่ไม่ชอบก็ต้องบอกว่าไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย การเรียนการสอนควรจะถ่ายทอดความรู้มาเป็นหลัก ส่วนทัศนคติหรือการมองโลก ปล่อยให้เด็กๆคิดเองจะดีกว่า เอาล่ะๆ เข้าเรื่องกันเถอะค่ะ

 

 

ลมหายใจสุดท้าย...ฝากไว้ที่เรือนจำ

                ชีวิตที่เดินทางผ่านเวลามาถึงหกสิบปี ย่อมเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงบั้นปลาย เป็นไม้ใกล้ฝั่งที่เอียงลงๆ นับวันน้ำเซาะตลิ่งไม้ก็จะล้ม เปรียบกับผู้ชราทั้งหลายที่มีลมหายใจอยู่ แต่ปราศจากความหวังความฝันเพื่อตัวเอง เมื่อถามถึงความสุขของคนแก่ โดยมากไม่มีอะไรเกินไปกว่าการได้อยู่กับคนที่รัก มองดูลูกหลานเติบโตมีอนาคตที่ดีจนลมหายใจสุดท้ายหมดลง แต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเช่นนั้น มีสักกี่คนที่จากลูกหลานไปด้วยเงื่อนไขความชราเพียงอย่างเดียว หากการจากไปตามเหตุผลอันสมควรเป็นสิ่งที่ทำให้คนอยู่ข้างหลังพอจะทำใจได้ “อากง” ก็ไม่ใช่หนึ่งในผู้จากไปเหล่านั้น

               

 “อากง” มีชื่อจริงว่า อำพล ตั้งนพคุณ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน อายุปี ๖๑ ปี บ้านของอากงฐานะยากจน เป็นเพียงห้องเช่าแคบๆ อยู่ในย่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ อากงยึดอาชีพขับรถรับจ้างตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มรุ่นๆจนถนัดช่ำชองเป็นอย่างดี หากเมื่อแก่ตัวลง ทั้งโรคชราและมะเร็งในช่องปากรุมเร้าจนไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้อีก คงเหลือแต่หน้าที่ดูแลหลานๆเท่านั้นที่พอจะทำได้ หลานที่อากงต้องดูแล ส่งไปโรงเรียนมีทั้งหมดสี่คน คนโตสุดอายุไม่ถึงสิบสองขวบ และคนเล็กสุดอายุราวหกขวบ รายได้ทั้งหมดที่อากงนำมาเลี้ยงชีพจึงไม่ได้มาจากไหนเลยนอกจากอาศัยเงินที่ลูกๆส่งให้คนละเล็กละน้อย กระนั้นก็ตามชีวิตอากงก็ดูสงบเรียบร้อยดี ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบความเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ต้องไปจบชีวิตในคุก

 

เมื่อกลางปี ๒๕๕๓ ตำรวจเกือบ ๒๐ นาย บุกไปที่ห้องเช่าเล็กๆของอากง พวกเขาจับกุมอากงด้วยข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พร้อมกับรื้อค้นข้าวของในบ้านจนได้หลักฐานการกระทำผิดคือโทรศัพท์มือถือ ตำรวจควบคุมตัวอากงตั้งแต่นั้นและแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา๑๑๒ ว่าด้วยการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีโทษจำคุก ๓ – ๑๕ ปี โดยกระทำการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ คือใช้โทรศัพท์มือถือส่งข้อความที่มีลักษณะความผิดไปยังโทรศัพท์มือถือเลขาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

 

หลังถูกจับกุม อากงปฏิเสธข้อกล่าวหา อากงยืนยันว่าเขารักพระมหากษัตริย์ เขาส่งข้อความโทรศัพท์มือถือหรือข้อความเอสเอ็มเอสไม่เป็น แต่ศาลก็มีคำสั่งควบคุมตัวเขาไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพนานถึงสองเดือน และก่อนที่อาการมะเร็งช่องปากจะลุกลามหนักขึ้นทำให้ลิ้นคับปากจนอากงพูดไม่ได้ ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวออกไปรักษา  แต่แล้วในต้นปีถัดมา ช่วงกลางเดือนมกราคม อากงถูกเรียกตัวกลับ ศาลสั่งฟ้องการกระทำความผิด ทนายจึงต้องยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต ทนายพยายามหาทางช่วยอากง นักวิชาการด้านสิทธิ์และเสรีภาพหลายคนก็รวมตัวกันช่วยเขาโดยใช้ตำแหน่งงานเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน  ทว่าศาลก็ยังคงไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลว่าการกระทำผิดเช่นนี้เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ กระทบความรู้สึกของประชาชน “หากให้ประกันตัวไม่น่าเชื่อว่าจะไม่หลบหนี”

 

ช่วงเวลาที่ได้ออกไปรักษาโรคมะเร็ง รวมกับวันที่ศาลเรียกตัวกลับ เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างอากงได้อยู่กับภรรยาและลูกหลาน แม้ว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ศาลยังไม่มีคำพิพากษา แต่ชีวิตที่เหลือของอากงกลับต้องอยู่แต่ในห้องขัง จะได้ออกมาก็ต่อเมื่อศาลมีคำสั่งให้เข้าห้องพิจารณาคดี เมื่อนั้นจึงได้เห็นว่า การอยู่อย่างไร้อิสรภาพ อยู่ไกลลูกหลานนั้นสร้างความทุกข์ให้อากงเพียงใด หากมีใครสนใจคดีนี้ ก็จะเห็นภาพชายชรารูปร่างผ่ายผอม  สวมชุดผู้ต้องขัง เป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลแดง เสื้อสีน้ำตาลส้มบางเบา ไม่ได้สวมรองเท้า ผมสีขาวแซมดำ ใบหน้าเหี่ยวย่น แววตาเศร้าสร้อยเหมือนหัวใจร้องไห้อยู่ทุกขณะยืนอยู่หน้าห้องพิจารณาคดีกับผู้คุมหนึ่งนาย แวดล้อมด้วยหลานตัวน้อยสามสี่คนกับ “ป้าอุ๊” ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่ด้วยกันมากว่า ๔๔ ปี บ้างก็เป็นภาพขณะที่ผู้คุมพาอากงมาเข้าห้องพิจารณาคดี แต่สำหรับป้าอุ๊และหลานคงจะมีภาพใด ที่น่าโศกเศร้าชวนอาลัยไปกว่าการมองเห็นอากงอยู่อยู่หลังม่านเหล็กยามที่ไปเยี่ยมไปหา

 

ครั้งหนึ่งในห้องพิจารณาคดี ศาลให้อากงอ่านข้อความที่กล่าวหาว่าอากงเป็นผู้ส่ง แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไร อากงอ่านข้อความนั้นตามคำสั่งศาล แล้วตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ผมเสียใจมากครับ...ก็เขาด่าในหลวง” และอากงก็ยังยืนยันต่อศาลว่า “ผมรักในหลวงครับ” แต่คำพูด น้ำตาและข้ออ้างว่าส่งข้อความไม่เป็นไม่สามารถใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ท้ายที่สุดศาลพิพากษาจำคุก ๒๐ ปี ด้วยวิธีการคำนวณแบบคูณเลข จำนวนข้อความที่ส่ง ๔ ข้อความ คูณด้วยโทษข้อความละ ๕ ปี ทั้งที่จริงคดีนี้มีข้อกังขาหลายประการ ตั้งแต่การพิสูจน์การกระทำความผิด ศาลพิสูจน์หมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์หรือเลขอีมี(ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์) พบว่าตรงกับหมายเลขเครื่องโทรศัพท์ของอากง แต่ทว่าก็มีเสียงทัดทานมากมาย ว่าเลขอีมีเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ง่าย หากมีความรู้เรื่องโทรศัพท์ก็สามารถทำได้ ที่สำคัญเลขอีมีของข้อความที่ผิดกฎหมาย กับเลขอีมีของโทรศัพท์อากง ไม่ได้ตรงกันทั้งหมด ดังนั้นคำพิพากษาของศาลจึงไม่ได้วางอยู่บนหลักการทางกฎหมายที่ว่า หากการพิสูจน์ความผิดยังไม่สิ้นสงสัย จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับเป็นว่า หากจำเลยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ไม่ได้ จำเลยมีความผิด

 

หลังถูกศาลพิพากษา อากงป่วยหนักมากขึ้น เมื่อพบหน้าภรรยา เขามักพูดว่า “อุ๊ อั๊วไม่ไหวแล้ว” ใครๆต่างก็คิดว่าชายชรากับโรคมะเร็งไม่มีทางอยู่ได้ถึง ๒๐ ปี  อากงต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเรือนจำ หรือทัณฑสถาน-โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แพทย์ตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งในช่องท้อง และแม้ว่าทนายจะพยายามยื่นอุทธรณ์คดี และยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อให้อากงได้ออกมารักษาที่โรงพยาบาลนอกเรือนจำ ออกมาอยู่กับลูกลูกหลาน แต่ศาลก็ไม่อนุญาต ดังนั้นทนายจึงดำเนินการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ กระทั่งเวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือน กระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษอันล่าช้าก็มาไม่ทัน อากงไม่อาจรอได้ วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ อากงนอนอยู่ในโรงพยาบาลเรือนจำ ร้องไห้เพราะรู้สึกปวดท้องอย่างหนัก ในที่สุดก็เสียชีวิตลงก่อนที่ป้าอุ๊จะไปเยี่ยมเพียงไม่กี่นาที

 

แม้ว่าอากงจะไม่ใช่บุคคลตัวอย่าง ไม่ใช่คนร่ำรวยมีชื่อเสียง ไม่เคยทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศ หากเป็นเพียงชาวบ้านยากจน แก่ชรา เจ็บป่วย อ่อนแอและหัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่การตายของอากงกลับเป็นที่น่าเศร้าสลดสำหรับคนที่รู้ข่าว จุดประกายให้คนมากมายหันมาสนใจกฎหมาย สนใจกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ว่าอากงจะทำผิดจริงหรือไม่ ไม่ว่าอากงจะเป็นคนส่งข้อความหรือไม่ แต่ใครจะใช้ใจเมตตาธรรมปฏิเสธได้ว่า อากงไม่สมควรจะได้รับการประกันตัวเพื่อมารักษานอกเรือนจำ เพื่อมาอยู่กับครอบครัวที่มีคนดูแล หากคิดต่อสักนิด คงจะตั้งคำถามกับมาตรฐานของโรงพยาบาลเรือนจำ ว่าปฏิบัติกับผู้ต้องขังอย่างไร มีมาตรฐานเทียบเท่ากับโรงพยาบาลทั่วไปหรือไม่ ใครจะยังปฏิเสธว่าโทษของการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงถึง ๒๐ ปีนั้นไม่มากเกินไป  นอกจากนี้การพิจารณาคดีของศาล ทั้งคดีอากงและคดีอื่นๆที่เคยเกิดความผิดพลาดในการพิสูจน์หลักฐานจนผู้บริสุทธิ์ต้องกลายเป็นแพะรับบาป ถูกจำคุกโดยไม่ได้กระทำความผิด หรือแม้กระทั่งถูกประหารชีวิตไปแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงอย่างเดียว ความสุขสงบในชีวิตอาจเริ่มได้ที่ใจของเรา แต่ก็ไม่เสมอไปในบริบทของสังคมที่ประชาชนยังอยู่ภายใต้กฎหมาย ตราบใดที่ประชาชนยังถูกปกครองโดยกลไกต่างๆของรัฐ ก็ไม่มีใครมั่นใจได้เต็มที่ว่าจะมีชีวิตที่ดีเพียงแค่เพราะตั้งใจทำความดีเสมอมา

 

อากงอาจเป็นคนธรรมดาที่ชีวิตมีทั้งทุกข์และสุข และโชคดีที่มีครอบครัวอบอุ่น มีภรรยาที่รักห่วงใยกันมาตลอด มีลูกที่ไม่เคยทอดทิ้งพ่อแม่ และหลานๆที่น่ารักอีกหลายคน หากอากงเป็นต้นไม้ วันคืนก็พาให้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตเต็มที่และหยุดนิ่งแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตน้อยๆได้อาศัยแล้ว หากไม้จะล้มลงก็เป็นเพราะการเวลา เป็นเพราะกฎธรรมชาติ เป็นเพราะถูกสายน้ำซัดเซาะ  ใครไหนเลยจะคิดว่าไม้ใหญ่ต้องถูกถอนออกจากฝั่งอย่างสิ้นราก จนต้องไปแห้งตายอยู่ไกลบ้าน ใครไหนเลยจะคิดว่าคนแก่อย่างอากงของหลานๆจะถูกคุมขังและไปล้มตายในคุก

 

ก่อนศพผู้ต้องขังจะถูกนำออกจากจากโรงพยาบาลเรือนจำเพื่อไปชันสูตรสาเหตุการตายที่โรงพยาบาลตำรวจ ป้าอุ๊บอกสามีว่า “กลับบ้านเรานะ ตอนนี้เค้าปล่อยตัวลื้อแล้ว” ฉันเข้าใจว่าเธอพูดด้วยความรู้สึกโศกเศร้าสุดจะพรรณนา แต่เบื้องลึกของหัวใจคนเป็นภรรยาย่อมรู้ดี ว่าเขาจะมีอิสรภาพเพียงร่างกาย เพราะจนถึงลมหายใจสุดท้าย อากงยังรับรู้ว่าตัวเองอยู่ในเรือนจำ

 

หมายเหตุ เรื่องนี้ได้ ๘ คะแนน จากคะแนนเต็มสิบค่ะ

 

ความเห็น

Submitted by dk on

กระบวนการยุติธรรม แบบ กล่าวหา แล้วให้ อีกฝ่ายแก้ข้อกล่าวหา สะท้อน ฐานอำนาจนิยมของระบบ

ซึ่งรัฐไทย เป็น รัฐราชการ บน รากอำนาจนิยมมาแต่ไหนแต่ไร

ปากบอกชาวโลกว่า กม.ใช้แบบ Civil Law เวลาปฏิบัติกลับใช้ Common Law

เรียกว่า เลือกใช้ตามใจฉัน ของ อำนาจสถาปนา
สร้างความคลุมเครือแบบสองมาตรฐานไปทั่ว

Submitted by น้ำลัด on

ผมคงไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องของอากงอีก เพราะมีคนเอ่ยถึงกันมากแล้ว
อากงเป็นเพียงคนโชคร้ายคนหนึ่ง เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู
และมันเป็นมาตรฐานที่เหนือมาตรฐานไปแล้ว สำหรับคดีแบบนี้
ที่จะไม่มีการให้ประกันตัว เพื่อต้องการให้คนเกรงกลัวมากเป็นพิเศษ

ผมไปสนใจตรงเรื่องการเขียนสารคดีจากผู้ที่กำลังศึกษานี่แหละ
บังเิอิญผมก็ไม่เคยรู้เรื่องการเขียนสารคดีเสียด้วยว่าเป็นยังไง
ไอ้การเขียนแบบไหนถึงจะอยู่ในเงื่อนไขและกำหนดของการเขียนสารคดี
สารคดีมีกี่แบบ มีแบบใส่ไข่ ไม่ใส่ไข่ ใส่นมใส่เนยใส่พริกได้ไหม?

ได้คะแนนมาตั้ง ๘ คะแนนก็ไม่น่าจะเลวนี่นา แล้วมีคนได้เต็ม ๑๐ ไหม?
ถ้ามีคนได้เต็มสิบ ก็อาจจะเพียงเพราะใจตรงกันกับอาจารย์ผู้ให้คะแนนเท่านั้นเอง
สารคดีมันเขียนขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปอ่าน ไม่ได้ให้อาจารย์อ่านคนเดียว
แล้วอาจารย์สามารถจะเป็นตัวแทนความพึงพอใจของผู้อ่านคนอื่นๆได้ไหม?

เท่าที่อ่านดูคร่าวๆ ในบางตอน มีความรู้สึกเหมือนกำลังดู
รายการ "กระจกหกด้าน" ด้วยความรู้สึกถึงท่วงทำนองการเล่า
เพียงแต่เป็นกระจกหกด้านภาคพิศดาร
ที่มานำเสนอเรื่องการเมือง ไม่เหมือนกับกระจกหกด้านปรกติ

ขอย้ำ...ผมก็ว่าไปตามความรู้สึกเท่านั้น
ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับการเขียนสารคดีสักนิดเดียว

Submitted by yongyee on

ตามตำราและครูอาจารย์ว่าไว้คือเขียนให้รู้และให้น่าอ่าน ไม่น่าเบื่อค่ะ ฉะนั้น ก็ต้องประอบด้วยข้อเท็จจริงหรือเรื่องจริง ส่วนประเภทของสารคดีมีเยอะมากค่ะ สำหรับงานเขียนแบ่งออกได้สามประเภท คือ บันเทิงคดี (เป็นเรื่องแต่งล้วนๆ) สารคดี ก็อย่างที่บอกไป สุดท้ายคือตำรา จะให้่ข้อมูลอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องมีความสนุกสนาน

 

เรื่องคะแนน เรียนว่าไม่มีใครได้เต็มค่ะ จะเขียนดีระดับเทพระดับมารก็ไม่มีใครได้เต็ม เพราะอาจารย์ไม่ให้ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าอาจารย์มีเหตุผลอะไร แต่ไม่เคยเห็นอาจารย์ให้คะแนนใครเต็ม คะแนนสูงสุดของอาจารย์ ก็คือ 90 - 95 %

 

แน่นอนว่าอาจารย์เป็นตัวแทนของใครไม่ได้ค่ะ อาจารย์ก็ตรวจจากมุมมองของอาจารย์ ตอนเขียนหนูชั่งใจนานมาก ว่าควรเขียนเรื่องนี้มั๊ย อาจารย์ท่านนี้เคยพูดถึงมาตรา112 โดยไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยการแก้หรือไม่ บอกเพียงแต่ว่า ให้เราศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ แต่จากหลายๆสิ่งที่อาจารย์พูดมาก็อาจสะท้อนว่าไม่เห็นด้วยที่จะแก้ อาจารย์เคยยกตัวอย่างสารคดีของต่างชาติที่พูดถึง ความลำบากยากเข็นของคนที่ต้องทนอยู่ในประเทศที่แร้นแค้น หรือสังคมที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง และบอกว่า ดังนั้นที่บ้านเรามาเรียกร้องกันนี่ จิ๊บจ๊อยมาก เราดีกว่าเค้าตั้งเท่าไร 
 

แต่ในที่สุดหนูก็ตัดสินใจเขียน เพราะเชื่อในความเป็นกลางทางวิชาการ ว่าไม่ว่าอาจารย์จะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ต้องประเมินตามหลักวิชา ซึ่งพอคะแนนอกมาหนูก็เฉยๆ เนื่องจากไม่ซีเรียสเรื่องคะแนนอยู่แล้ว แค่ได้เขียนได้เล่าให้คนอื่นฟังก็รู้สึกดี

 

ส่วนที่คุณน้ำลัดบอกว่าเป็นกระจกหกด้าน ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ โตมาแล้วไม่มีเวลาดูทีวี รายการกระจกหกด้านก็ออกจะลืมๆไปบ้าง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาแสดงความคิดเห็นค่ะ นอกจากในห้องเรียนแล้วก็ยังมีที่นี่เองที่ให้โอกาส ไม่เพียงแต่ได้เผยแพร่ แต่มีคนมาคอมเม้นท์ด้วย รู้สึกดีจริงๆค่ะ

Submitted by น้ำลัด on

รายการกระจกหกด้าน
เป็นรายการสารคดีสั้นที่มีชื่อเสียงของช่อง7สีทีวีเพื่อคุณ
(ไม่ใช่ทีวีเพื่อผม ไม่ใช่เพื่อฉัน ไม่ใช่เพื่อเธอ แต่มันเพื่อคุณเท่านั้น)
มีมานานนนนน......มากแล้ว หรือว่านานโคตรๆ
ก็ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า ผมก็ไม่ค่อยได้ดูทีวีเช่นกันครับ

ผมคงเขียนสารคดีไม่เป็น
ถ้าเขียนสารคเลวละก็พอได้นะ

Submitted by ชินวัตร โกงทั้งโคตร on

อดีตชายชุดดำคนหนึ่ง'เล่าให้ฟังว่าทักษิณเป็นคนจัดคนชุดดำมายิงผู้ชุมนุมเสื้อแดงกะว่าจะให้มีคนตายสักพันคนแล้วในหลวงจะออกมาไกล่เกลี่ยเหมือนคราวพฤษภาทมิฬแต่แผนผิดพลาดเสธแดงรู้แผนชั่วร้ายนี้จึงไม่ยอมทักษิณเลยต้องสั่งเก็บเสธแดงและทำคนตายไม่ถึงร้อย และขณะนี้ก็ป้ายความผิดให้ทหาร

Submitted by ชายชุดดำ on

ทหารเป็นคนจัดชายชุดดำมายิงทหารกันเองเพื่อจะได้สลายการชุมนุมโดยใช้กำลังได้โดยมีข้ออ้างว่าอีกฝ่ายมีอาวุธ เสธแดงกับพลเอกพัลลภนั้นถูกส่งมาเป็นไส้ศึกเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงขึ้นหรือทำการประกาศจัดตั้งเป็นกองกำลังขึ้น เพื่อให้คนเสื้อแดงดูคล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต เพื่อเหตุผลในการเอาผิดและทำการปราบปรามอย่างรุนแรง เสธแดงถูกเก็บก็เพื่อปิดปากรักษาความลับไว้ และทหารก็ได้ยิงคนเสื้อแดงแบบเดียวกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ชุมนุมกลัวแล้วสลายตัวกันไป

Submitted by ชินวัตร โกงทั้งโคตร on

เนื่องจากคนเสื้อแดงทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล บัดซบ และเป็นควายปัญญาอ่อนจึงหลงเชื่อทักษิณ แค่นี้ จบบบบ

Submitted by ชินวัตร โกงทั้งโคตร on

ไอ้กง มัน ก็ คือ ไอ้แป๊ะแก่ ที่โง่ บ้า เซ่อ และอยากดัง แต่ต้องดับ อย่างหมาขี้เรื้อน ถ้ามันสารภาพว่าลูกหลานของมันเองเป็นคนส่งsmsด่าในหลวงเรื่องก็คงจบดีกว่านี้แต่เสือกเล่นลิ้นเพราะไปเชื่อพวกนักปลุกระดม นี่พูดความจริงไม่ได้อคติ

Submitted by โง่ทั้งแผ่นดิน on

จะผิดหรือจะถูกนั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
ประเด็นคือ "สิทธิการประกันตัว" ในระหว่างการต่อสู้ทางคดี
ประเด็นสำคัญที่เขาท้วงติงกันคือในเรื่องของ "สิทธิมนุษยชน"
ในทางปฏิบัติสำหรับคดีประเภทนี้ถือว่าเป็นการ "ละเมิดสิทธิมนุษยชน"
ทุกคดีจะไม่มีการให้ประกันตัว (ยกเว้นท่านหลานเขยพาร์ทไทม์)

คนส่วนใหญ่อาจจะโชคร้ายเกิดมาแล้วต้องถูกยัดเยียดว่าเป็นควายปัญญาอ่อน
อาจจะถูกด่าถูกว่าเป็นคนโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล บัดซบ
ถึงจะโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล กันแค่ไหน
มันก็ล้วนเกิดจากโคตรพ่อโคตรแม่ของใครไม่รู้
อบรมสั่งสอน สร้างตำรับตำราให้เล่าเรียนกัน ให้รับรู้กัน
สร้างวัฒนธรรมความเชื่ออย่างต่อเนื่องให้เป็นไปในแบบที่ต้องการให้เป็น

แล้วมันก็เป็นผลสะท้อนเป็นผลลัพท์ออกมาต่อคุณภาพประชากรของตนเอง
เมื่อผู้คนกลายเป็นคนโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล บัดซบ และเป็นควายปัญญาอ่อนทั้งแผ่นดิน
จะไปโทษใครได้ ไปโทษทักษิณอย่างนั้นหรือ? อนาคตมันก็ต้องมีคนทำแบบทักษิณอีกอยู่ดี
บ้านนี้เมืองนี้มันก็จะต้องมีคนอย่างทักษิณเกิดขึ้นอีกนับไม่ถ้วน นี่มันคือวิถีทางการเมืองที่ถูกหล่อหลอมมา
แล้วก็จะต้องทำการปฏิวัติรัฐประหารโดยใช้กำลังทหารต่อไปไม่สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ
แล้วก็ทำการเสกเป่าอำนาจศาลให้ยิ่งใหญ่ครอบจักรวาลเหนือทุกสิ่ง
อีกหน่อยใครจะขี้จะเยี่ยวจะเข้าห้องน้ำคงต้องขออนุญาตศาลก่อนแน่ๆ

วันหนึ่งบ้านนี้เมืองนี้ก็คงจะได้เป็นเมืองควายปัญญาอ่อนแบบเต็มตัว

Submitted by จิตร on

อดีตชายชุดดำ คือใคร ชุดดำฝ่ายไหน การ์ด นปช. หรือการ์ดพันธมิตร หรือชุดดำที่มากับทหาร ความชัดเจนไม่มี แหล่งข่าวเชื่อถือไม่ได้ค่ะ ประเภทเขาเล่าว่า ใครๆ ก็พูดได้

Submitted by ทัศนีย์ on

เห็นด้วยค่ะเรื่องกับดักความคิด ความเห็นเรื่องประเด็นความพอใจเรื่องรายได้นั้น มันต้องมากับโอกาสในสังคมเท่าเทียมกันด้วย คือจะมาบอกให้คนที่รายได้น้อยพอใจในรายได้ที่ตนมีนั้นทำได้ ในกรณีเดียวคือ รายได้ขั้นตำ่นั้นพอเพียงต่อการให้เขาและครอบครัวสามารถมีโอกาสทางสังคมใด้เหมือนคนอื่น คืออยู่ได้ ส่งลูกเรียนได้ หาหมอได้ มีตังค์เก็บไว้เกษีรณได้ ไปเที่ยวอย่างสมฐานะได้ และสามารถอยู่ได้ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเท่ากับผู้อื่น

หากสังคมมีให้โอกาสพื้นฐานกับคนในสังคมอย่างเท่าเทียมแล้ว จึงจะนำปรัชญาที่ว่าให้พอใจในสิ่งที่ตนมีมาใช้ได้ เท่านั้น

นี่คนส่วนใหญ่อยู่แบบหาเช้ากินคำ่ ตังค์เก็บไม่ต้องพูด ไปเที่ยวก็กู้เอา แบบนี้ถึงเขาจะพอใจของเขาเอง ประเทศโดยรวมก็จะไม่เจริญเพราะกำลังบริโภคของปชช. เงินออมตำ่เหลือเกิน

เช่นคนชนชั้นกลางของประเทศญี่ปุ่นสามารถเน้นเรื่องความพอใจในเรื่องรายได้ เอาแค่พอดีพอ เพราะไม่อยากเป็นคนรวยเพราะคนรวยภาระภาษีหนัก ถูกตรวจสอบมากกว่าคนอื่น รวยมากครองที่ดินมากภาษียิ่งหนักมาก เป็นคนธรรมดาสามารถของประเทศญี่ปุ่นอยู่ได้ หาหมอได้ เรียนหนังสือได้ เที่ยวได้ มีชีวิตได้ จึงมีคนมีคนหลายคนตัดสินใจว่าไม่อยากรวย

ของเรามันไม่ใข่เรื่องอยากไม่อยาก เรื่องรายได้บ้านเราเเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ เป็นเรื่องความเป็นความตายสำหรับหลายครอบครัว มันไม่ใช้ทางเลือกการดำเนินชีวิต มันเป็นเรื่องของการไม่มีทางออกของบางคน ดังนั้นปรัชญาที่อาจารย์ว่ามันใช้ไม่ได้ที่บ้านเรา มีไว้เอาไว้เป็นกับดักเท่านั้น

Submitted by ชินวัตร โกงทั้งโคตร on

สังคมไทยหมักหมมความสกปรกโสโครกมาเป็นร้อยเป็นพันปีทำให้เกิดเชื้อโรคคือปัญหาต่างๆมากมายรักษาโรคก็เจออีกสิบโรค หมอเก่งอย่างไงก็คงไม่มีปัญญา

Submitted by ชายชุดดำ on

เรื่องกับดักความคิด มันเป็นไปได้ว่ามุมมองของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงนั้นมองไปในทิศทางเดียวกัน ปากก็บอกว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ ในขณะที่ภารกิจทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนั้นเพื่อเงิน แม้กระทั่งอาจารย์สอนหนังสืออยู่ก็เพื่อเงินเป็นอันดับแรก จะมีอาจารย์สักกี่คนสอนหนังสือด้วยอุดมการณ์อยากจะสอน สถานศึกษาใดให้ค่าตอบแทนสูงกว่าอาจารย์ก็ย้ายที่ทำการสอนกันอยู่ดี

จริงอยู่ระดับความพึงพอใจของแต่ละคนนั้นมันแตกต่างกันไป ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมก็อาจช่วยกล่อมเกลาลดระดับความพึงพอใจของคนเราให้ลดต่ำลงได้ ด้วยการปลอบใจตัวเองประเภทองุ่นเปรี้ยวมะนาวหวาน แต่อย่างไรเสียคนเรามันก็มีขีดจำกัดล่างของความพึงพอใจอยู่ดี จากความต้องการพื้นฐานปัจจัยสี่ของคนเราที่จะต้องมี ถ้าปัจจัยพื้นฐานไม่พอเพียงเสียแล้ว ความพึงพอใจมันก็จะเกิดยาก ถึงแม้จะใช้ศาสนาและวัฒนธรรมกดระดับความพึงพอใจให้ลดต่ำลงไปแล้วก็ตาม

ถามว่าทำไมรัฐบาลทักษิณจึงครองใจคนระดับรากหญ้าได้ รัฐบาลจะปฏิบัติดีหรือเลวแค่ไหนก็ยังครองใจคนได้อย่างแน่นหนา เพราะรัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลแรกที่เอาจริงเอาจังกับการที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของรากหญ้า เอาจริงเอาจังกับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานปัจจัยสี่ของผู้คนที่ปรกติมันไม่ค่อยจะพอเพียงต่อความต้องการ บ้านเอื้ออาทรจะทำได้ดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่ก็เป็นการตั้งใจทำเกี่ยวกับปัจจัยสี่ทางด้านที่อยู่อาศัย 30 บาทรักษาทุกโรค อาจจะไม่ได้ดีเลิศหรูแต่ก็ได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางด้านยารักษาโรคอันเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ในเมื่อนโยบายของรัฐบาลทักษิณมันเหมือนมีเทวดามาโปรด เทวดาตัวใหม่ตัวเป็นๆมาโปรดให้เห็นๆ แล้วประชาชนที่ถูกสั่งสอนกันทุกวี่ทุกวันให้รู้จักบุญคุณคนนั้น เขาผิดอะไรรึที่เขาดันรู้บุญคุณของเทวดาตัวใหม่ขึ้นมา (เทวดาจะมาฟ้องหมิ่นประมาทไหมเนี่ย โทษฐานใช้ลักษณะนามเทวดาไม่ถูกไม่บังควร) หรือว่าการรู้บุญคุณคนแล้วมันต้องกลายเป็นคนโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล บัดซบ และเป็นควายปัญญาอ่อนกัน ถ้าอย่างนั้นใครทำประโยชน์อะไรไว้ให้แก่ประชาชนของบ้านนี้เมืองนี้แล้วประชาชนอยากจะยกย่องและนิยมชมชอบขึ้นมาบ้าง ก็หมายความว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นคนโง่ บ้า เซ่อ เหี้ย เลว ถ่อย สถุล บัดซบ และเป็นควายปัญญาอ่อนกันทั้งแผ่นดินละสิ

กองทุนหมู่บ้านเป็นตัวเสริมให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงทุนถึงจะเล็กๆน้อยๆก็ตาม ถึงแม้มันจะดูเหมือนเป็นการให้เปล่า แต่วิธีปฏิบัติแล้วมันไม่ใช่การให้เปล่ารายบุคคล แต่มันจะทำให้ชุมชนต้องคิดต้องช่วยในการควบคุมกองทุนกันให้มันงอกเงยได้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนทางด้านการเงินในชุมชนได้ ดีกว่าการไปกู้เงินนอกระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยโหดๆ มันน่าจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งมากขึ้นมิใช่หรือ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยก็อาจคิดว่าเป็นการให้เปล่า และจะเห็นได้ว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ดรีมทีมมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลจึงมีการแจกเงินหัวละสองพัน ซึ่งมันเป็นวิธีการให้ความช่วยเหลือที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันจึงดูเหมือนเป็นการซื้อเสียงหัวละสองพันไปในทันที มันกลายเป็นเหมือนการดูถูกผู้คนด้วยซ้ำไปว่าซื้อได้ด้วยเงินเพียงสองพันบาทเท่านั้น สมัยหน้าถ้าประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะแจกเงินหัวละสองพันบาทได้อีกอย่างนั้นรึเปล่า

ดูเหมือนคนที่มันไม่เข้าใจทำยังไงมันก็ไม่เข้าใจ เหมือนเป็นพวกคนพิการใจบอด ซึ่งมันเป็นความพิการอย่างหนึ่งของคนที่แย่เสียยิ่งกว่าพิการตาบอดเสียอีก การลามปามไปถึงสถาบันนั้นมันเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาโต้ตอบ เมื่อมีคนนำสถาบันลงมาเล่นกับการเมืองก็เท่านั้น ถ้าไม่มีคนดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง มันก็ไม่มีอะไรกันอยู่แล้ว คนเราเกิดมาเมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวมาสักระยะหนึ่งก็ย่อมรู้ก็ย่อมเข้าใจกันเองอยู่แล้ว ว่าคนทุกคนในโลกนี้ล้วนมีส่วนที่ดำมีส่วนที่ขาว มีส่วนที่หอมมีส่วนที่เหม็น มีทั้งส่วนดีและไม่ดีเหมือนๆกันทั้งสิ้น นอกจากคนปัญญาอ่อนหรือคนพิการใจบอดเท่านั้นที่จะไม่รู้ไม่เข้าใจความเป็นไปในชีวิตของคนบนโลกใบนี้ คนๆหนึ่งย่อมมีดีและไม่ดี ซึ่งคนเราย่อมยอมรับกันได้อยู่แล้ว ตัวเราเองก็ล้วนเคยทำผิดและก็ยกโทษให้ตนเองเสมอ หรือไม่งั้นก็อาจจะปฏิเสธหน้าด้านๆว่าไม่ผิดก็แค่นั้น คนที่ไม่ยกโทษให้ตัวเองนั้นมีน้อยหรือแทบจะไม่มี ถ้ามีก็อาจฆ่าตัวตายหรือไปบวชอะไรทำนองนั้น

...ยิ่งเขียนยิ่งพาไปสู่หลุมดำ...พอก่อนดีกว่า

Submitted by Old Writer on

ได้อ่านสารคดีและความในใจของย้งยี้แล้วรู้สึกดีใจและมีความหวังกับเยาวชนมากขึ้น
ทำให้อคติส่วนตัวที่เคยมีต่อเด็กสมัยนี้ลดลงเยอะ การที่หนูสามารถมองเห็นและไม่ติด "กับดัก"​ ทางทัศนคติของอาจารย์ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องค่ะ

อ่าน "ฟ้าจรดทราย" ได้มากกว่าความ "ฟิน"

เดี๋ยวนี้หันมาสนใจตะวันออกกลาง ทั้งด้านสงคราม ศาสนา วัฒนธรรม เสรีภาพ ฯลฯ บวกกับชอบคราวน์ปริ๊นซ์เมืองดูไบ ตามประสาเด็กผู้หญิงที่โตมากับละครหลังข่าว ก็เลยยืมฟ้าจรดทรายจากห้องสมุดม

i am sam กับความยุติธรรมของศาล

30 November, 2012 - 22:03 -- yongyee

 

*** ปรับแก้จากการบ้านวิชากระบวนการสร้างความหมายในสังคม Construction of meanings in society คณะอักษรศาสตร์