Skip to main content


ยุกติ มุกดาวิจิตร

 

นักเคลื่อนไหวทางการเมืองในบ้านเราขณะนี้หลายคนชอบพูดกันถึงเรื่องประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ราวกับว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีกว่าประชาธิปไตยตัวแทน (representative democracy) ในการต่อกรกับการร่วมมือกันระหว่างรัฐกับทุน

เมื่อวานรับชวนไปคุยเรื่องวิกฤติประชาธิปไตยในยุคทุนนิยมปัจจุบันอะไรเนี่ยแหละ ผมบอกผู้จัดว่าไม่มีปัญญาพูดเรื่องอะไรใหญ่ๆ กับเขาหรอก ยิ่งได้ยินว่าเป็นการพูดเพื่อเปิดการบรรยายของนักปราชญ์รุ่นใหม่อย่างสลาวอย ชิเชค (ชื่อเขายังไม่รู้จะสะกดถูกหรือเปล่าเลย) ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ เพราะมีแต่คนคูลๆ เท่านั้นที่อ่านชิเชคกัน (จริงๆ นะครับ นี่ไม่ได้ประชดประชันอะไร) ผมเป็นคนไม่มีกระดูกสันหลัง ทุกวันนี้จะเดินยังต้องคอยเกาะกำแพงเรียกหาอ.อุบลช่วยเป็นระยะๆ อยู่เลย จะไปรู้เรื่องอะไร

แต่ก็เอาล่ะ ส่วนหนึ่งเพราะผมมีลิสต์งานเขียนที่คาใจต้องอ่านอยู่ คือการศึกษาสังคมทุนนิยมปัจจุบันโดยพวกนักมานุษยวิทยา และล่าสุดมีงานเขียนเกี่ยวกับ Occupy Movement และ Arab Spring ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว งานเขียนเรื่องนี้ในทางมานุษยวิทยาทยอยออกมาเรื่อยๆ ก็ถือซะว่า ยังไงก็ต้องอ่านอยู่ดี ช้ากว่านี้คงไม่มีใครคุยด้วย อีกอย่าง ผมถือว่าการถูกกระตุ้นโดยคนรุ่นใหม่เสมอๆ เป็นกิจกรรมทางปัญญาที่สำคัญไม่แพ้การวิจารณ์ครูบาอาจารย์หรือรุ่นพี่ๆ

ขอเล่าสั้นๆ เฉพาะประเด็นกระชับๆ ที่ผมพูดและส่วนใหญ่เรียนรู้จากเอกสารจำนวนเล็กน้อยที่อ่านแล้วกันครับ

ผมอ่านงานที่ศึกษา "ขบวนการยึดครอง" 3 ชิ้นด้วยกัน ทั้งหมดเป็นงานทางมานุษยวิทยา ใช้วิธีการศึกษาแบบ ethnography (ชาติพันธ์ุนิพนธ์ คืออะไร ขอให้ไปหาอ่านเอาเองครับ) พิมพ์ใน American Ethnologist ปี 2012 คือเพิ่งออกมาปีนี้เอง

ชิ้นแรกของ Maple Razsa และ Andrej Kurnik ศึกษาการยึดครองจัตุรัสหน้าตลาดหุ้นในเมืองลุเบียยา (Ljublijana มีคนช่วยถ่ายเสียงให้อย่างนั้น) บ้านเกิดของชิเชค ในประเทศสโลวาเนีย ชิ้นต่อมาของ Jeffrey Juris ศึกษาการยึดครองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ชิ้นที่สามของ Jane Collins เล่าเรื่องการยึดครองที่ทำการรัฐของรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา สรุปคือ 

(1) ในแง่ของกลุ่มคน กลุ่มที่ยึดครองที่สโลวาเนียคือกลุ่มคนใช้แรงงาน โดยเฉพาะคนอพยพและกลุ่มนักกิจกรรมทางการเมือง ส่วนที่บอสตัน เป็นคนขาวชนชั้นกลาง ผู้เขียนเขาไม่ได้เน้นอาชีพให้เห็นชัดเจน แน่นอนว่าบางคนอาจตกงานอยู่ ส่วนที่วิสคอนซิน คนที่ริเริ่มการยึดครองเป็นครูโรงเรียนมัธยมและประถม ต่อมาเจ้าหน้าที่รัฐและพวกคนใช้แรงงานมาร่วมด้วย

(2) ประเด็นเรียกร้อง คนใช้แรงงานที่สโลวาเนียต่อต้านการที่สโลวาเนียไม่ได้ผันทรัพยาการมาให้คนยากจน แต่กลับใช้เพื่อโอบอุ้มพวกนายทุนเป็นหลัก และต่อต้านการที่พรรคการเมืองฝ่ายขวา ที่ต่อต้านแรงงานอพยพกำลังเติบโต พวกที่บอสตันต่อต้านทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบตัวแทน ส่วนที่วิสคอนซิน ต่อต้านการลดสวัสดิการเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

(3) วิธีการรวมตัว ในสโลวาเนียอาศัยเครือข่ายที่ทำงานกันต่อเนื่องระหว่างคนใช้แรงงานกับนักกิจกรรม เรียกกิจกรรมพวกเขาว่าประชาธิปไตยทางตรง แต่ที่บอสตันเป็นการรวมตัวผ่านเครือข่ายออนไลน์ ที่วิสคอนซิน มีสหภาพแรงงานเข้ามามีบทบาท


ข้อสังเกตและประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจคิดต่อคือ

- กรณีศึกษาทั้งสามชี้ว่า ขบวนการยึกครองในที่ต่างๆ ต่างมีกลุ่มคน เป้าหมาย และวิธีการก่อตัวที่แตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือการยึดครองสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำการของรัฐหรือสัญลักษณ์ทางธุรกิจหรือระบบทุนนิยม และการต่อต้านการร่วมมือกันของรัฐและทุนเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจขบวนการยึดครองในแต่ละที่ ภายในบริบทของแต่ละท้องถิ่นเอง

- ที่สโลวาเนีย มีเกร็ดน่าสนใจคือ ราสซากับเคอร์นิคเล่าว่า เดิมทีชิเชคไม่ได้ใส่ใจกับขบวนการเหล่านี้เท่าใดนัก แต่ภายหลังชิเชคกลับสนับสนุนการยึดครองวอลล์สตรีท ส่วนในประเทศตนเอง ชิเชคดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญตั้งแต่แรก การยึดครองของพวกคนใช้แรงงานในสโลวาเนียจึงเหมือนย้อนศรความคิดทางการเมืองของนักคิดใหญ่อย่างชิเชคไปด้วยในตัว

- กรณีที่บอสตัน จูริสเห็นว่าการยึดครองบอสตันเกิดจาก "การรวมตัว" คือ แค่มาอยู่รวมๆ กัน บนเครือข่ายออนไลน์ก่อน แม้ "social media" มีส่วนสำคัญก็จริง แต่จูริสเห็นว่า ที่จริง social media อาจจะไม่ได้ก่อให้เกิด social network หรือ "เครือข่ายทางสังคม" อย่างแท้จริง เนื่องจากมันชั่วคราว เป็นการมาปรากฏตัวพร้อมๆ กันเท่านั้น 

ถ้าจะให้ผมเปรียบ ก็เหมือนการมากดไลค์กันมากๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดการสร้างกลุ่มอะไรขึ้นมา เป็นเพียงมีปัจเจกชนมากๆ มายืนรวมๆ กัน เท่านั้นเอง ดังนั้น ปัญหาคือ หากจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการรวมตัวทางการเมือง มันก็จะมีปัญหาในแง่ที่ว่า การรวมตัวนี้ยังไม่นำไปสู่อะไร และมันก็จะสาบสูญไร้ผลต่อเนื่องใดๆ หากไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นเครือข่ายได้

- หากจะเปรียบเทียบกับในประเทศไทย การเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะ 6-7 ปีที่ผ่านมานับได้ว่ามี "การยึดครอง" พื้นที่สำคัญๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็จะเห็นได้ว่า วิธีการยึดครองเป็นเพียงรูปแบบทางการเมืองที่แม้ว่าจะเรียกได้ว่าเป็น "ประชาธิปไตยทางตรง" แต่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่า ประชาธิปไตยทางตรงจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าหรือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทนเสมอไป

- หากจะนับขบวนการยึดครองในที่ต่างๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยแบบทางตรง ถึงที่สุดแล้วขบวนการประชาธิปไตยแบบทางตรงก็ไม่สามารถสืบทอดคงทนต่อเนื่องไปได้ง่ายๆ หากไม่ได้มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่มั่นคงขึ้นมา และในแต่ละที่ แม้ว่าจะมีการต่อต้านประชาธิปไตยแบบตัวแทน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครเสนอให้ใช้ระบอบเผด็จการไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร มาแทนที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน

ขอบคุณ The Reading Room, Bangkok และ Trin Aiyara ที่ชวนมาปวดขมอง และขอบคุณผู้ฟังและผู้ร่วมนำเสนอ ที่ให้ความรู้และประสบการณ์การพูดในที่กึ่งสาธรณะอีกแบบหนึ่ง

คำเตือน (สำหรับบางคนที่แยกแยะไม่ออก): นี่ไม่ใช่งานวิชาการ มันเป็นเสมือนข้อขีดเขียนบนกำแพงวัด ขอได้โปรดเข้าใจฐานะและพื้นที่ของมัน

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเลี่ยงที่จะอ่านข่าวเกี่ยวกับมติครม.งดเหล้าเข้าพรรษาเพราะไม่อยากหงุดหงิดเสียอารมณ์ ไม่อยากมีความเห็น และไม่อยากต้องโดนด่าหลังแสดงความเห็น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อต้องกลับมาชวนคนอ่านงานของบรมครูทาง "วัฒนธรรมศึกษา" คนหนึ่ง ที่ผมไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรนัก 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไปแม่ฮ่องสอนสามวัน ค้างสองคืน เพื่อร่วมงาน "ไทใหญ่ศึกษา" ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่รู้จักวัฒนธรรมไทใหญ่มาก่อน พอจะรู้จากการอ่านงานเรื่อง "ฉาน" เรื่องรัฐไทใหญ่ เรื่องประวัติศาสตร์บ้างนิดหน่อย จึงมิอาจให้ความเห็นใดๆ กับอาหารไทใหญ่ได้ ทำได้แค่เพียงบอกเล่า "ความประทับใจแรกเริ่ม" ในแบบที่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ทั่วไปมักทำกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่รู้เป็นอะไรกันนักหนากับเครื่องแต่งกายนักศึกษา จะต้องมีการประจาน จะต้องมีการให้คุณค่าบวก-ลบ จะต้องถือเป็นเรื่องจริงจังกันจนบางคณะถึงกับต้องนำเรื่องนี้เข้ามาเป็นวาระ "เพื่อพิจารณา" ในที่ประชุมคณาจารย์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ชาญวิทย์เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม วันที่ 22 มิถุนายนนี้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดงานครบรอบ 72 ปีให้อาจารย์ที่คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน 2556) อาจารย์ที่คณะท่านหนึ่งเชิญไปบรรยายในวิชา "มนุษย์กับสังคม" หัวข้อ "สังคมศาสตร์กับความเข้าใจผู้คนและสังคม" ให้นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปี 1 ในห้องเรียนมีนักศึกษาราว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้ถูกเผยแพร่ในอีกพื้นที่หนึ่งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเห็นว่าเข้ากับโอกาสของการเปิดภาคการศึกษาของมหาวิทยาลัย จึงขอนำมาเสนออีกครั้งในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธ์ุอยู่หลากหลายกลุ่ม พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และร่วมสร้างสังคม สร้างประวัติศาสตร์โบราณและสมัยใหม่อย่างขาดไม่ได้ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยมีนโยบายกลุ่มชาติพันธ์ุมาก่อน (ยาวนะครับ ถ้ายังอยู่ในโลก 8 บรรทัดโปรดอย่าอ่าน)
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 มีคนบ่นว่า "ผ่านมาสามปีแล้ว ทำไมคนเสื้อแดงยังไปรวมตัวกันที่ราชประสงค์กันอีก นี่พวกเขาจะต้องระลึกถึงเหตุการณ์นี้กันไปจนถึงเมื่อไหร่" แล้วลงท้ายว่า "รถติดจะตายอยู่แล้ว ห้างต้องปิดกันหมด ขาดรายได้ นักท่องเที่ยวเดือดร้อน" นั่นสิ น่าคิดว่าทำไมการบาดเจ็บและความตายที่ราชประสงค์เมื่อพฤษภาคม 2553 มีความหมายมากกว่าโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เรียน ศาสตราจารย์ ดร. อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เห็นนักคิดไทยสองคนออกมาเทศนาแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า "ทำไมนักคิดไทย พอแก่ตัวลงต้องไปจนแต้มที่วิธีคิดแบบพุทธๆ"