Skip to main content

ตลกที่เวลาผมชื่นชมผู้ใหญ่ในวงการบางคนในบางโอกาส มีคนว่าผมประจบผู้ใหญ่ ไม่รู้จักวิพากษ์ ก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนตัวผมและกับคนในวงการเดียวกันคงจะรู้สึกว่า ที่พูดถึงผมแบบนั้นน่ะเพี้ยนแล้ว เพราะผมวิพากษ์ "ผู้ใหญ่" ในวงวิชาการเดียวกันมาเสียจนลูกศิษย์ลูกหาของท่านๆ เหล่านั้นสุดจะทน จนขณะนี้ ผมยังนึกไม่ออกว่ายังเหลือผู้ใหญ่ในวงการท่านใดบ้างที่ผมยังไม่วิพากษ์

    (3) ช่างวิพากษ์
 
ในโลกวิชาการสังคมศาสตร์ไทย ผมเห็นการไม่ยอมรับการวิพากษ์ใน 2 ลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรก เป็นแบบที่จำกัดอยู่ในกรอบของระบบอาวุโส เป็นระบบอำนาจนิยมในวงวิชาการ อีกลักษณะหนึ่ง คับแคบไม่แพ้กัน คือแบบที่ปฏิเสธการวิพากษ์เพราะคิดว่าการวิพากษ์วางอยู่บนอคติ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
 
นักวิชาการไทยบางคนไม่ชอบที่คนรุ่นหลังต้องวิพากษ์คนรุ่นก่อนหน้า เพราะคิดว่า "นักวิชาการรุ่นใหม่ตั้งหน้าตั้งตาข้ามหัวเหยียบหัวนักวิชาการรุ่นเก่าตลอดเวลา" แต่ผมว่า การไม่วิพากษ์นักวิชาการรุ่นก่อนหน้าหลายกรณีมันเกินไปกว่าการเคารพกันในทางวิชาการ แต่แสดงลักษณะอำนาจนิยมหรืออย่างเบาคือระบบอุปถัมภ์ในวงวิชาการมากกว่า
 
การไม่ยอมรับการวิพากษ์อันเนื่องมาจากระบบอุปถัมภ์ในวงวิชาการนั้น บางที่ไปไกลขนาดที่ว่า "ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันไม่ควรวิจารณ์กันเอง" บางคนหลีกเลี่ยงที่จะวิพากษ์คนอื่นเนื่องจาก "ไม่อยากเสียมิตรภาพ" หรือที่แย่กว่านั้นคือ กลัวว่าหากท่านๆ ผู้ใหญ่จะต้องมาเป็นผู้ประเมินผลงานทางวิชาการของตนแล้ว จะทำให้เกิดปัญหา หมดอนาคตไปได้
 
แต่แปลกที่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่ได้ถือสาอะไรเป็นการส่วนตัวว่าผมหรือคนรุ่นใหม่คนไหนจะวิพากษ์ท่านเพื่อลบหลู่ดูถูกท่าน เพราะส่วนตัวผมเคารพท่านเหล่านั้น ชื่นชม อ่านงาน และได้เรียนรู้อะไรมากมายจากงานท่านเหล่านั้นเสมอๆ เห็นมีแต่พวกลูกศิษย์ของท่านๆ เหล่านั้นต่างหากที่ดูจะเดือดร้อนเกินครู
 
ผู้ใหญ่ทางวิชาการในวัฒนธรรมทางวิชาการแบบที่ผมเติบโตมา คือที่ธรรมศาสตร์ ไม่เคยมีปัญหากับการทำงานเชิงวิพากษ์ของผม ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่ที่ที่ผมทำงานอยู่ ผมไม่รู้สึกถึงการข่มกันด้วยวัยวุฒิ หรือแม้แต่คุณวุฒิ ผมเริ่มทำงานที่ํรรมศาสตร์ไม่นานหลังจากที่เรียนจบจากที่นี่ อาจารย์ผมทุกท่านก็ปฏิบัติกับผมเสมือนผมเปลี่ยนสถานภาพจากลูกศิษย์ เป็นเพื่อนร่วมงานโดยอัตโนมัติทันที ครูบาอาจารย์ผมเปิดรับการวิพากษ์ การแลกเปลี่ยนความเห็น การเสนอความเห็น โดยไม่คำนึกถึงความอาวุโส วิถีนี้จึงเป็นวัฒนธรรมทางวิชาการที่ผมว่ายเวียนอยู่เป็นปกติวิสัย
 
จะว่่าไปก็มี "ผู้ใหญ่" ในวงวิชาการบางคนที่ไม่ชอบการวิพากษ์บ้างเหมือนกัน แบบเบาๆ ท่านก็ว่าผมเป็นคนก้าวร้าว อย่างแรงๆ ก็ว่าผมวิพากษ์แบบบ่อนทำลาย ไม่สร้างสรรค์ แต่นั่นยังไม่น่ารำคาญเท่าสำนวนประเภท "เอาแต่วิพากษ์น่ะ เสนอทางออกอะไรบ้าง" ผมนึกในใจ "ขอโทษ การวิพากษ์ก็เป็นงานนะครับ อยากได้ข้อเสนออะไร ก็ช่วยไปคิดทำงานต่อกันเอาเองบ้างสิครับ"
 
คนที่ทำงานวิชาการย่อมรู้ดีว่า การวิพากษ์เป็นจิตวิญญาณของการทำงานทางวิชาการ บางคนไม่ชอบการทำงานวิชาการเพราะการฝึกฝนแบบฝรั่งที่ต้องวิพากษ์ตลอดเวลา สำหรับผม ที่แย่ยิ่งกว่าการเกรงกลัวระบบอุปถัมภ์จนละเว้นการวิพากษ์คือ การไม่อ่านงานนักวิชาการไทยด้วยกันเอง อ่านและอ้างแต่งานต่างประเทศ จึงไม่วิพากษ์นักวิชาการไทยด้วยกันเอง อย่างนี้แล้วจะทำให้งานวิชาการในโลกภาษาไทยก้าวหน้าได้อย่างไร
 
การรังเกียจการวิพากษ์ในอีกลักษณะหนึ่งมาจากเหตุผลที่ว่า การทำงานทางวิทยาศาสตร์ต้องปลอดอคติ จึงไม่ควรวิพากษ์สังคม เพราะการวิพากษ์สังคมจะมาจากฐานทางศีลธรรมและการเมืองบางอย่าง ว่าสังคมที่ดีกว่าเป็นอย่างไร นักวิชาการที่ฝึกฝนมาแบบ "วิทยาศาสตร์" มักตั้งข้อรังเกียจต่อการศึกษาเชิงวิพากษ์แบบนี้ 
 
ทัศนะแบบนี้เองมองข้ามไปว่า การละเว้นไม่ศึกษาสังคมเชิงวิพากษ์ก็วางอยู่บนอคติที่ว่า นักวิชาการยอมรับสภาพความเป็นไปของสังคมที่ศึกษาอยู่แล้ว การไม่ตัดสินเชิงคุณค่าก็คือการยอมรับเชิงคุณค่าแบบหนึ่ง เป็นการยอมรับว่าสัวคมที่เป็นอยู่สมควรดำเนินต่อไปอย่างนั้น ใหม่ควรเข้าไปวิพากษ์อะไร ไม่ควรคาดหวังสังคมที่ดีกว่่าอย่างไร การไม่วิพากษ์จึงไม่ใช่การปลอดอคติ แต่มีอคติของความเฉยเมย ไม่นำพาต่อความเหลื่มล้ำไม่เป็นธรรมในสังคม
 
มีครั้งหนึ่ง ผมตกใจที่นักวิชาการเพื่อนร่วมวิชาชีพบางคนไม่รู้จักการวิพากษ์แบบนี้ เขาคิดว่าการทำงานวิชาการคือการเข้าใจหรืออธิบายสังคมเท่านั่น แต่ที่จริงมีการศึกษาเชิงวิพากษ์เพื่อชีวิตที่ดีกว่าด้วย ที่ชัดเจนคือนักทฤษฎีสังคมกลุ่ม "ทฤษฎีวิพากษ์" (critical theory) หากใครอ่านหนังสือทฤษฎีสังคมอยู่บ้าง ย่อมผ่านหูผ่านตากับประโยคที่คาร์ล มาร์กซกล่าวไว้ทำนองที่ว่า "งานวิชาการไม่ได้เพียงต้องการอธิบายสังคม แต่งานวิชาการต้องเปลี่ยนโลกด้วย" 
 
หากคุณรังเกียจ "มาร์กซ" ผมผมว่าพระพุทธเจ้า นะบี จีซัส ขงจื่อ โมเสส หรือศาสดาท่านอื่นใดคงพูดอะไรทำนองนี้ไว้เช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นท่านเหล่านั้นจะเสนอทางออกให้มนุษยชาติได้อย่างไร
 
อย่างไรเสีย คุณจะเปลี่ยนโลกได้ก็ต้องรู้ก่อนว่าจะเปลี่ยนไปทางไหนดี นั่นคือ คุณต้องมียูโทเปีย หรือเฮ็ทเทอโรเปีย (พหุสังคมอุดมคติ) อยู่เป็นธง แล้ววิพากษ์ว่าสังคมปัจจุบันมันเลวร้ายอย่างไร แล้วจึงหาแนวทางที่จะบรรลุสังคมที่ดีกว่า ใช่เลยที่ว่า การวิพากษ์แนวนี้คล้ายคลึงกับศาสนา ที่ต้องมีการตัดสินเชิงคุณค่า การมีเป้าหมายเชิงศีลธรรมบางอย่าง
 
ที่จริงการวิพากษ์แนวนี้ทำให้วิชาการติดดิน เป็นการนำวิชาการไปสู่สาธารณะ เพราะต้องตอบโจทย์ของสังคม ต้องลงจากหอคอยงาช้าง ต้องคลุกคลีกับผู้คน เพียงแต่ว่า จุดตั้งต้นของการวิพากษ์แนวนี้มีฐานทางวิชาการที่อยู่บนหอคอยงาช้าง นักวิพากษ์แนวนี้ต้องทั้งเข้าใจสังคมและต้องเสนอทิศทางการเปลี่ยนแปลงสังคม 
 
ด้วยการวิพากษ์ไม่ใช่หรือที่ทำให้โลกก้าวหน้ามาจนปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นก็คงมีแต่คนนิพพานแล้วมนุษย์ก็สูญพันธ์ุไปตั้งแต่เมื่อพันปีที่แล้ว หรือไม่ก็ฝึกจิตจนบินได้กันเต็มไปหมดเนื่องจากไม่มีใครวิพากษ์ความรู้โบราณที่มีฐานอยู่ที่ศาสนา หรือไม่อย่างนั้น เราคงยังควงขวานหิน แล่ปลาด้วยหินกระเทาะกันอยู่ 
 
หรือถ้าจะไม่วิพากษ์กัน ทำไมเราไม่รื้อฟื้นภูมิปัญญามนุษย์ยุคหิน เลิกกระทั่งการถลุงเหล็กหรือการทำกลองสำริด แล้วกลับไปเขวี้ยงหินใส่กันเสียเลยดีกว่าไหม เลิกขีดเขียนแล้วกลับไปเล่านิทานกันดีกว่าไหม หรือไม่ก็กลับไปปีนป่ายต้นไม้กันดีกว่าไหม
 
หากใครจะทำงานวิชาการแล้วไม่ทำงานวิพากษ์งานก่อนหน้าอย่างตรงไปตรงมา ไม่เดือดร้อนกับความอยุติธรรมของสังคมแล้ววิพากษ์สังคม ผมก็ไม่รู้ว่าจะยังเรียกตนเองว่านักวิชาการอยู่ได้อย่างไร 
 
แต่หากใครจะบอกว่า วัฒนธรรมวิชาการแบบไทยๆ ก็ต้องเป็นแบบอุปถัมภ์ เป็นแบบปลอดอคติหม่วิพากษ์สังคม ผมก็จะขอถอนสัญชาติทางวิชาการของผมเสีย ส่วนใครจะตั้งหน้าตั้งตาต่อต้านการวิพากษ์ของผมทั้งที่ลับและที่แจ้ง ทั้งเอ่ยชื่อตรงๆ หรือไม่เอ่ยชื่อ ก็แล้วแต่เขา ตามสะดวก เพราะผมไม่ได้มีหน้าที่ไปตั้งด่านตรวจจับทัศนะคับแคบทางวิชาการเหล่านั้น

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพ่ิงกินอาหารเย็นเสร็จ วันนี้ลงมือทำสเต็กเนื้อ เนื้อโคขุนไทยๆ นี่แหละ ต้องชิ้นหนาๆ หน่อย ย่างบนกะทะเหล็กหนาๆ ที่หอบหิ้วมาจากอเมริกา เป็นกะทะเทพมากๆ เพราะความร้อนแรงดีมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เกรียมได้ที่ทั้งสองด้าน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษา" ต้องการพื้นที่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อความรู้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของสถาบันการศึกษาเพียงเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้ ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้นขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 แน่นอนว่าโฆษณาโปรแกรมเรียนภาษาไทย (บางคนบอกเป็นแค่ตลกล้อเลียน?) ที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนอคติทางเพศ ดูถูกเพศหญิงว่าเป็นวัตถุทางเพศ ดูถูกเพศชายว่าจ้องเสพสุขทางเพศท่าเดียว (หรือหลายท่า?) สร้างภาพเหมารวมให้คนไทยและสังคมไทยไร้ศีลธรรม (ดูสิ เราออกจะเมืองพุทธ เมืองพระ) แต่ที่ยังน่าจะต้องทำความเข้าใจคือ ปฏิกิริยาที่คนไทยมีต่อวิดีโอล้อเลียนนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้พยายามทำความเข้าใจตรรกะของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงไว้ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าพระองค์มีทัศนะต่อแนวคิด The King Can Do No Wrong อย่างไร และมาตรา 112 ควรแก้ไขเพราะเหตุใด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายๆ คดีก่อนหน้านี้ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม.112) ชี้ให้เห็นยิ่งขึ้นทุกวันว่า รัฐไทยกำลังสร้างความรักด้วยการใช้กำลังข่มเหงให้ประชาชนรักประมุขของประเทศ หาใช่การส่งเสริมให้เกิดความรักประมุขจากใจจริงของประชาชนไม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะงานทางมานุษยวิทยา มักมีแรงขับจากอารมณ์ใคร่บางอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์พัฒนา กิติอาษาเมื่อเช้าตรู่วานนี้ (10 มกราคม 2556) คงไม่เป็นที่สนใจของใครต่อใครนอกแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์มากนัก แต่นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงสังคมศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากพวกคุณวิจัยสำรวจอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ พวกคุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ชัยชนะจากคะแนนเสียงที่ "ไม่่่ท่วมท้นนัก" ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มาจากกลุ่มคนที่มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเป็นเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สังคมไทยมีสังคมแบบหนึ่งที่แทรกซ้อนอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ คือสังคมดัดจริต สังคมดัดจริตไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่เป็นสังคมของคนชั้นกลางและคนใหญ่คนโตที่กำลังเสื่อมอำนาจ สังคมดัดจริตคอยผลิตวัฒนธรรมดัดจริตเพื่อทำให้ตนเองดูดีมีหลักการ เพื่อให้ตนเองอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีจริตจะดัด และเหนืออื่นใดคือเพื่อปกป้องฐานะอำนาจของตนเอง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยามปีใหม่ ยากที่จะหาของขวัญที่ไม่กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนได้ เพื่อนชาวอเมริกันที่ผมรู้จักหลายคน ซึ่งดูท่าจะทั้งเป็นนักช้อปและเป็นคนช่างมีเหตุผล ก็เลยใช้วิธีให้เด็กๆ เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่อยากได้ยามสิ้นปี เพื่อเป็นหลักประกันว่าของที่ซื้อมาให้จะถูกใจผู้รับสักชิ้นหนึ่ง