Skip to main content

ในวาระที่กำลังจะมีการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะบุคคลากรของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ผู้หนึ่ง ผมขอเสนอ 5 เรื่องเร่งด่วนที่อธิการบดีคนต่อไปควรเร่งพิจารณา เพื่ิอกอบกู้ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลับมาเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นบ่อน้ำบำบัดผู้กระหายความรู้ และเป็นสถาบันที่เคียงข้างประชาชนต่อไป

(1) รื้อฟื้นเกียรติภูมิของธรรมศาสตร์และคณะราษฎร ในฐานะมหาวิทยาลัยที่เกิดมาเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย สิ่งหนึ่งที่จะต้องยืนหยัดคือ ธรรมศาสตร์และบุคคลากรธรรมศาสตร์จะต้องไม่ฝักใฝ่เผด็จการ ไม่ฝักใฝ่อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่รับใช้คณะรัฐประหาร กระทั่งจะต้องต่อต้านรัฐประหารด้วยซ้ำไป 

ตามหลักการดังกล่าว ผู้ตอบรับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนต่อไปจะต้องให้สัญญาต่อประชาคมธรรมศาสตร์ว่า หากเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อใดก็ตาม ผู้ที่ไปเข้าร่วมกับคณะรัฐประหารจะต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรงและได้รับโทษอาญาแผ่นดินตามกฎหมาย หากไม่สามารถต้านทานได้ อธิการบดีและคณะผู้บริหารก็สมควรเลือกที่จะลาออกจากตำแหน่งในทันทีโดยไม่เกรงกลัวกับอำนาจข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น ดีเสียกว่าเข้าไปอยู่ในวังวนของอำนาจอธรรมศาสตร์

(2) รักษาความเป็นอิสระในการบริหารมหาวิทยาลัย ด้วยการไม่โอนอ่อนให้กับหน่วยงานภายนอก กล้าต่อรองกับหน่วยงานประกันคุณภาพต่างๆ อย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นสถาบันอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็น สกอ. สมศ. กพร. ไม่ไหลตามองค์กรที่มีสติปัญญาจำกัด ไร้วิสัยทัศน์ แต่กลับมีอำนาจเหมือนสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะออกนอกระบบราชการ มหาวิทยาลัยก็จะต้องรักษาความเป็นอิสระให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้มหาวิทยาลัยพึ่งตนเองในทางเศรษฐกิจมากขึ้น ก็ย่ิงจะต้องเป็นอิสระในการบริหารมากขึ้น

ในระยะเฉพาะหน้านี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงสมควรที่จะเป็นผู้นำในการแก้ไขระบบการประกันคุณภาพ ต่อสู้เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการประกันคุณภาพ สร้างระบบประเมินคุณภาพการศึกษาที่เหมาะสมกับความก้าวหน้าของสายสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และบรรดาศาสตร์วิชาชีพ

(3) เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ทุกวันนี้ระบบที่บั่นทอนการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่งคือระบบการสอนปริญญาตรีภาคปกติ ที่ส่วนใหญ่ยังคงสอนในระบบคาบละชั่วโมงครึ่ง แทนที่จะเป็น 3 ชั่วโมงแบบมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วไป เหตุผลมากมายที่ควรปรับมีดังนี้ 

- ห้องเรียนชั่วโมงครึ่งไม่สามารถทำให้การเรียนการสอนต่อเนื่องได้ ยังไม่ทันที่จะเข้าประเด็นอะไรอย่างลึกซ้ำ ก็หมดเวลาเสยแล้ว หรือหากจะต่อเนื่องประเด็นยกยอดไปคาบถัดไป ก็จะต้องกลับมาย้อนเท้าความกันใหม่ การเรียนการสอนแบบครั้งละชั่วโมงจึงมีผลเสียต่อประสิทธิภาพของการเรียนการสอนในปัจจุบันอย่างยิ่ง 
- ข้ออ้างเรื่องสมาธิของนักศึกษาไม่สามารถใช้ได้ต่อไป เพราะหลักสูตรปริญญาตรีโครงการพิเศษล้วนใช้เวลาคาบละสามชั่วโมงทั้งสิ้น และยังมีบางคณะเริ่มจัดการเรียนการสอนคาบละ 3 ชั่วโมงในภาคปกติอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
- ทุกวันนี้เพื่อสอนวิชาหนึ่งให้ครบ 3 ชั่วโมง อาจารย์ต้องเดินทางไปรังสิตที่อาจใช้เวลาเดินทางถึง 4-5 ชั่วโมง เพื่อสอนเพียงชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ไหนจะต้องเสี่ยงกับการเดินทางไกลมากวันขึ้น ไหนจะสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น 

เหตุผลเหล่านี้น่าจะเพียงพอให้ลบคำกล่าวของบางหน่วยงานที่คอยบอกปัดที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ อาจเพียงเพราะขี้คร้านที่จะปรับเปลี่ยน

(4) ยกเลิกการมีชุดนักศึกษา มหาวิทยาลัยไม่ใช่โรงเรียนทหาร ไม่ใช่โรงงาน ไม่ใช่บริษัท ไม่ใช่ที่ฝึกงาน จึงไม่จำเป็นต้องบังคับเรื่องการแต่งกาย ชุดนักศึกษาเป็นการกดขี่ปิดกั้นการแสดงออกขั้นพื้นฐาน คือการแสดงออกในร่างกายตัวตนของนักศึกษา นักศึกษาต้องสามารถเลือกและตัดสินใจเองได้ว่า อะไรควรอะไรไม่ควร แม้ทุกวันนี้ผู้บริหารจะบอกว่าชุดนักศึกษาเป็นทางเลือก แต่หลายคณะก็ยังใช้อำนาจบังคับให้นักศึกษาสวมชุดนักศึกษา นักศึกษาต้องมีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งตัวตนของตนเอง ไม่ใช่ต้องให้ใครมาบอกว่าจะแต่งตัวอย่างไร 

หากจะอ้างเรื่องเศรษฐกิจ ทุกวันนี้เสื้อผ้าสุภาพถูกกาละ-เทศะที่มีราคาต่ำกว่าชุดนักศึกษามีมากมาย อันที่จริง หากใช้เกณฑ์ทางเศรษฐกิจ อาจารย์นั่นแหละที่ควรสวมชุดนักศึกษา เพราะอาจารย์มีรายได้ต่ำกว่านักศึกษาบางคนเสียอีก อีกประการหนึ่งคือ สมัยนี้ชุดนักศึกษากลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจในตัวของมันเอง กลายเป็นว่าใครได้ใส่ชุดนักศึกษาจะเป็นคนพิเศษ เป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง ทำให้นักศึกษาแปลกแยกจากประชาชนทั่วไป ปัจจุบันนี้ ชุดนักศึกษายังกลายเป็นวัตถุทางเพศ ไม่ได้มีอยู่เพื่อเหตุผลเรื่องความประหยัดหรือความเรียบร้อยอีกต่อไป

(5) อภิวัฒน์การเรียนการสอนวิชาการศึกษาทั่วไป (general education) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ริเริ่มจัดการศึกษาแบบ liberal arts ด้วยการยืนยันให้นักศึกษาต้องเรียนรู้กว้าง รู้ข้ามสาขา เพื่อให้นักศึกษาเป็นคนที่สมบูรณ์ ไม่เป็นคนมิติเดียว จึงเป็นผู้นำในการจัดการเรียนการสอนวิชาการศึกษาทั่วไป 

แต่ทุกวันนี้การจัดการเรียนการสอนกลุ่มวิชานี้ในปีหนึ่งกำลังเดินสวนทางกับความเป็น "วิชาการศึกษาทั่วไป"  ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเข้าใจผิดคิดว่าวิชาเหล่านี้เป็น "วิชาพื้นฐาน" วิชาเหล่านี้ส่วนมากมีห้องเรียนขนาดใหญ่ อาจารย์จะต้องให้ความรู้ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง เรื่องที่สอนจึงไม่สอดคล้องกับความชำนาญ ทั้งคนสอนและคนเรียนจึงสูญเสีย นอกจากนั้น ผู้เรียนยังไร้ฉันทะในการเรียน หรือยังไม่มีวุฒิภาวะและความรู้เพียงพอในการเรียนรู้ข้ามสาขาวิชา นี่ยังไม่นับว่าบางวิชาถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวนทางกับหลักการของ liberal arts จนกลายเป็นการลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการของผู้สอน บังคับให้ผู้สอนต้องสอนตามโพยของผู้ประสานงานวิชานั้น แล้วปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร

หากจัดให้การเรียนกลุ่มวิชาเหล่านี้เป็นการเรียนตลอดสี่ปี ไม่จำเป็นต้องเรียนให้หมดภายในหนึ่งปี และเปลี่ยนให้อาจารย์เลือกสอนวิชาที่ตนเองถนัด กลุ่มวิชานี้จึงจะพ้นสภาพการเป็นวิชาพื้นฐาน กลายเป็นการศึกษาทั่วไปได้อย่างแท้จริง

แน่นอนที่สุดว่าการบริหารมหาวิทยาลัยย่อมมีประเด็นใหญ่ๆ สำคัญๆ ที่ครอบคลุมผลกระทบต่อผู้คนและสังคมอื่นๆ อีกมาก และแน่นอนว่าข้อเสนอข้างต้นเป็นเพียงประเด็นเร่งด่วนพื้นฐาน ที่แม้หากจะไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ ข้างต้นเลย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะผู้บริหารใหม่ก็คงยังไม่เสื่อมสลายไป แต่ผมก็ยังเห็นว่า การที่จะให้ธรรมศาสตร์กลับมาเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่สามารถสร้างความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถดึงดูดทั้งนักศึกษา บุคคลากร และอาจารย์ที่มีคุณภาพให้มาร่วมพัฒนาธรรมศาสตร์ ที่สามารถกลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับนานาชาติได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ด้วยความรักธรรมศาสตร์

ยุกติ มุกดาวิจิตร

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากผมจะเลิกเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์เสีย ก็คงไม่มีใครใส่ใจอะไร เพียงแต่ผมเองต่างหากที่ยังใส่ใจว่า อาจารย์เคยสอนหนังสือผม และอาจารย์ก็ยังเป็นนักวิชาการรุ่นอาวุโสที่อยางน้อยก็มีศักดิ์ทางวิชาการที่โลกวิชาการในสายอาชีพเดียวกับผมเขายกย่องนับถือกัน ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงไม่ได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันสุดท้ายของการเดินทางในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม คณะเราเดินทางกลับฮานอย แต่เส้นทางที่กลับผ่านดินแดนในตำนานสำคัญที่ผมไม่เคยแวะมาก่อน คือศาลเจ้าหุ่งม์เวือง (Đền Hùng Vương) ที่เชื่อมโยงกับตำนานไข่ร้อยฟองและกำเนิดของกลุ่มชาติพันธ์ุไต
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตลอดการเดินทาง สิ่งหนึ่งที่หนักหนาเสมอคือการดื่มกินกับคนพื้นเมือง ในการเดินทางครั้งนี้ มื้อที่แสนสาหัสที่สุดคือมื้อที่ต้องทั้งประคองตัวเอง ทั้งไม่ให้เสียน้ำใจ และทั้งไม่ให้เพื่อนร่วมทางเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะร่วมทางกันต่อไปได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองไลเป็นเมืองสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์เวียดนาม สยาม และฝรั่งเศส คงเป็นคำถามที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเมืองไลปัจจุบันกำลังกลายเป็นอดีตที่ถูกกลบเกลื่อนลบเลือนไปจนเกือบหมดสิ้น ทั้งจากน้ำเหนือเขื่อน และจากการจัดการปกครองในปัจจุบัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองแถงมนดั่งขอบกระด้ง เมืองคดโค้งเยี่ยงเขาควาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสักเกือบ 15 ปีก่อน ผมไปเสาะหาบ้านนาน้อยอ้อยหนูที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) กับอาจารย์คำจอง นักชาติพันธ์ุวิทยาชาวไตดำ/เวียดนาม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองลา (Sơn La) ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แทบไม่มีใครรู้จักเมืองลาแม้ว่าเมืองนี้จะมีประวัติศาสตร์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดียนเบียนฟู เนื่องจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสใช้เป็นฐานในการปกครองเมืองคนไต แต่เดียนเบียนฟูโด่งดังขึ้นมาจากการที่ฝรั่งเศสแพ้พวกคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างราบคาบ ทำให้คนไม่ได้ทันสนใจว่า ก่อนหน้านั้นฝรั่งเศสปกครองเมืองคนไตอย่างไร แล้วมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่ไหนก่อนที่จะไปอยู่ที่เมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมมาเมืองมุน (Mai Châu, Hoà Bình) ครั้งแรกเมื่อปี 1998 มาเป็นผู้ช่วยวิจัย ตอนนั้นมาเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวมากแล้วเตรียมตัวไม่พอ ยังไม่รู้จักความหนาว เมื่อมาถึงที่นี่ ได้แต่นั่งผิงไฟ ขณะนั้นเมืองมุนเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวมาพัก มีโฮมสเตย์อยู่สัก 5-6 หลัง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทุนมหาวิทยาลัยเกียวโตนี่ดีกว่าที่ผมคิด เดิมทีแค่รู้ว่าได้ทุนมาเพื่อทำวิจัย ซึ่งก็จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตามข้อเสนอขอทุนที่เขียนไปไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ งานที่รับผิดชอบคือเสนองานสักสองครั้ง แล้วพยายามพิมพ์อะไรออกมาก็โอเคแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นทุนชั้นยอด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซนจากเกียวโตไปโตเกียว มีเรื่องราวมากมายที่น่าบันทึกไว้ ณ ที่นี่ แต่เบื้องต้นขอเล่าเพียงตลาด Tsukiji ก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตกใจเหมือนกันที่ Divas Cafe จะเลิกออกอากาศแล้ว อยากบันทึกสั้นๆ ว่าผมดีใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ ที่เคยได้เป็นแขกในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เป็นรายการที่ไปคุยด้วยสนุกมาก พิธีกรรุกเร้ามาก เวลาสั้นจนต้องปรับจังหวะการพูดให้เร็วมาก แถมบางครั้งยังต้องหาจังหวะแย่งพิธีกรพูดอีก