Skip to main content


"Quân đội nhân dân” (กวนโด่ยเยินเซิน) ภาษาเวียดนาม แปลตามตัวว่า “กองทัพประชาชน” ผมคิดว่าน่าจะหมายความได้ทั้งว่ากองทัพเป็นของประชาชน และการที่กองทัพก็คือประชาชนและประชาชนก็คือกองทัพ

นี่ชวนให้ผมลองนั่งนึกเปรียบเทียบกองทัพของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดู แล้วก็คิดเรื่อยเปื่อยไปว่า จะสรุปได้หรือไม่ว่า หากจะมีกองทัพของประเทศไหนที่เรียกตนเองว่าเป็น “กองทัพประชาชน" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำล่ะก็ เห็นจะมีก็แต่กองทัพเวียดนามนั่นแหละที่พอจะคุยได้

การเกิดของรัฐสมัยใหม่ในเอเขียตะวันออกเฉียงใต้ล้วนจำเป็นต้องมีทหารเป็นกำลังสำคัญ หากแต่กองทัพในแต่ละประเทศมีบทบาทเคียงข้างประชาชนหรือไม่ แตกต่างกันไป

หลังศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา การสงครามมีบทบาทน้อยกว่าการค้าทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จวบจนกระทั่งมีอำนาจอาณานิคมตะวันตกนั่นแหละ ที่จะมีการสงครามกันจริงจังอีกครั้งหนึ่ง หากจับประเด็นตามแอนโทนี รีดไม่ผิด (Anthony Ried. Southeast Asia in the Age of Commerce, 1988) การสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาคพื้นทวีปนั้น มีไปเพื่อการเสริมสร้างกำลังคน

ที่รบกันอย่างเอาเป็นเอาตายกันไปข้างหนึ่งแบบในภาพยนตร์ไทยย้อนยุคน่ะ เขาไม่ทำกันหรอก เพราะจะเสียโอกาสที่จะได้กวาดต้อนกำลังทหารของอีกฝ่ายหนึ่งมาเป็นแรงงาน มาเป็นไพร่ในสังกัดของตน ในแง่นี้ ตรรกของการยุทธหัตถีก็คือการที่มีเพียงผู้นำเท่านั้นที่จะมีเอาเป็นเอาตายกัน แต่ไพร่พลน่ะ ยืนดูแล้วรอว่าใครชนะก็ไปอยู่กับฝ่ายนั้น

แต่หลังจากศตวรรษที่ 18 กำลังการผลิตที่สำคัญได้รับการชดเชยไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการอพยพของแรงงานชาวจีน ปรกอบกับเกิดการขยายตัวของการค้าทั้งระหว่างยุโรป เอเชียตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกไกล เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โลกทั้งใบมุ่งค้าขายมากกว่าทำสงคราม ระยะนั้นบทบาททหารในภูมิภาคนี้ก็ลดน้อยลงไปด้วย

ในยุคอาณานิตมตะวันตกในศตวรรษที่ 19 กองทัพของเจ้าอาณานิคมและเจ้าศักดินาที่ร่วมมือกับชาติตะวันตกย่อมมีบทบาทหลักในการควบคุมประชาชนใต้อาณานิคม เช่น กองทัพฝรั่งเศสนำกำลังค่อยๆ คืบคลานยึดอำนาจเริ่มตั้งแต่ยึดไซ่ง่อน เว้ จรดฮานอยและหมดทั้งเวียดนามเหนือใข้เวลาถึงร่วม 30 ปี (1860-1890) ถ้าอยากรู้ว่ากองทัพดัชจัดการกับเจ้าครองนครต่างๆ อย่างไรในปลายศตวรรษที่ 19 ก็ลองอ่านฉากที่เจ้าครองนครเดินดาหน้าเข้าไปให้ทหารดัชฆ่าตายในบาหลีที่บรรยายโดยนักมานุษยวิทยาอเมริกันอย่างคลิฟเฟิร์ด เกีร์ยซดู (Clifford Geertz. Theartre State, 1980)

ส่วนสยามประเทศนั้น แม้จะถือว่า "ไม่เป็นอาณานิคมของใคร" แต่หากใครยืนอยู่ในฐานะเจ้าครองนครและประชาชนของเมืองแพร่ เมืองเชียงใหม่ ที่ไหนก็ตามในอีสาน และรัฐปาตานี ซึ่งเคยมีอำนาจเป็นเอกเทศจากสยาม ก็จะเห็นว่ากองทัพสยามเป็นเครื่องมือของขนขั้นนำสยามในการสร้างอำนาจรวมศูนย์ที่แปลงคนอื่นให้กลายเป็นไทย การปราบกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผีบุญต่างๆ ในอีสาน การผนวกปาตานีมาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามเพื่อสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นเหนือดินแดนที่ไม่เคยเป็นประเทศไทยอย่างทุกวันนี้มาก่อน (อ่าน ธงชัย วินิจจะกูล. กำเนิดสยามจากแผนที่, 2557)

ที่กองทัพสยามจะได้สู้กับอาณานิคมตะวันตกจริงๆ น่ะ มีไม่กี่ครั้งและทุกครั้งก็แพ้ราบคาบไป แม้แต่การไป “ปราบฮ่อ” ก็ไม่ได้ไปปราบจริง เพราะกว่าจะรวบรวมกำลังเดินทางไปถึงที่นั่น  ฝรั่งเศสก็ปราบฮ่อเสียราบคาบไปก่อนหน้าเป็นปีแล้ว มิพักต้องกล่าวว่าทหารหาญที่ถูกเกณฑ์ไปนั้นเป็นเหล่าไพร่-ทาสที่ล้มตายกลางทางเสียมากกว่าเจ็บตายจากการสู้รบ หากแต่กระบวนการสร้างรัฐรวมศูนย์และทำให้ทุกคนกลายเป็นไทยยังไม่จบสิ้น จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่จบ ทหารกับการสร้างความเป็นไทยจึงอยู่ยงคงต่อมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มสร้างชาติไทยในปลายคริสตศตวรรษที่ 19

สิ่งนี้ทำให้กองทัพไทยแตกต่างจากกองทัพประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กองทัพประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกับประขาชนในการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมเป็นสำคัญ นับตั้งแต่อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม สงครามปลดปล่อยประชาชน เพื่อสร้างชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือสงครามที่ประชาชนและทหารหรือจะกล่าวให้ถูกคือ การที่ประชาชนกลายเป็นทหาร ร่วมมือกันเพื่อปลดปล่อยตนเองจากอำนาจการปกครองของเจ้าอาณานิคมตะวันตก ทว่า ประสบการณ์นี้ไม่มีในประเทศไทย ประเทศไทยจึงไม่มีความรักชาติในความหมายของการปลดปล่อยตนเองออกจากตะวันตก ไม่มีตะวันตกเป็นศัตรูอย่างเป็นรูปธรรมที่ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมแบบเดียวกับที่ประเทศอื่นในภูมิภาคนี้เขามีกัน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้กองทัพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้มแข็งอย่างอินโดนีเซียและพม่า แตกต่างจากกองทัพเวียดนามคือ หลังการปลดปล่อยจากอาณานิคมตะวันตก กองทัพอินโดนีเซียและพม่าหักหลังประชาขน นี่รวมทั้งกองทัพฟิลิปปินส์ ที่ไม่น้อยหน้ากองทัพอินโดนีเซียและกองทัพไทย ที่ร่วมมือใกล้ชิดกัยสหรัฐอเมริกาในการปราบปรามประชาขนของตนเองที่เป็น "คอมมิวนิสต์" กองทัพพม่าต่างออกไปตรงที่กองทัพหักหลังชนกลุ่มต่างๆ ยึดอำนาจการปกครองแล้วสร้างรัฐรวมศูนย์ด้วยอำนาจเผด็จการทหารจวบจนทุกวันนี้ กองทัพของหลายๆ ประเทศจึงกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน การจะหากองทัพที่เป็นกองทัพประชาชนนั้น ยากเต็มที

กองทัพเวียดนามนั้นแตกต่างออกไป หลังทศวรรษ 1940s-1950s เมื่อชนะฝรั่งเศสแล้ว กองทัพเวียดนามเหนือทำสงครามต่อสู้กับกองทัพเวียดนามใต้ที่อเมริกันหนุนหลัง ต่างฝ่ายต่างอาศัยพลเรือนเป็นกำลังสำคัญทั้งในแง่ของกำลังแรงงาน กำลังรบ และการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ กองทัพต้องทำให้ตนเองใกล้ชิดเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน และทำให้กองกำลังของอีกฝ่ายกลายเป็นศัตรู แน่นอนว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งแพ้ คือฝ่ายเวียดนามใต้ ประชาชนของฝ่ายนั้นย่อมไม่อาจยอมรับว่ากองทัพเวียดนามเหนือเป็นกองทัพประชาชนได้ หากแต่สำหรับเวียดนามเหนือ กองทัพยังคงเป็นของประชาชน คือประชาชนฝ่ายตนที่ชนะ

กระนั้นก็ตาม ในระยะหลัง ก็เริ่มมีปัญญาชนในฝ่ายของเวียดนามเหนือเองเป็นจำนวนมากตั้งคำถามกับกองทัพและการนำประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมืองระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ นักเขียนเหล่านี้จำนวนมากประสบชะตากรรมแตกต่างกันไป บางคนถูกจองจำในบ้านตนเอง งานของบางคนกลายเป็น “ความลับของทางการ” ที่หากเล็ดรอดออกไปพิมพ์ในต่างประเทศก็จะกลายเป็นการขายความลับของทางราชการ งานของบางคนต้องเขียนเป็นสัญลักษณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนกระทั่งประชาชนทั่วไปอ่านไม่เข้าใจว่ากำลังวิจารณ์อะไร

ปัจจุบันในระยะที่ความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและสมาชิกระดับสูงบางคนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามถดถอยลง กองทัพเวียดนามก็ยังคงความเชื่อถือจากประชาชนเอาไว้ได้ เนื่องจากกองทัพหลีกเลี่ยงการปะทะกับประชาชน ด้วยการที่ให้ตำรวจทำหน้าที่ปราบปรามภัยความมั่นคงต่างๆ ในประเทศ เช่น การชุมนุมประท้วงรัฐ หรือการท้าทายอำนาจรัฐแบบอื่นๆ กองทัพจะไม่มายุ่งกับกิจการเหล่านี้ กองทัพทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยเป็นหลักอย่างเดียว กองทัพเวียดนามจึงยังคงบทบาท “กองทัพประชาชน” ไว้ได้ค่อนข้างเหนียวแน่น และเป้นเกราะปกป้องระบอบปัจจุบันเอาไว้ได้อีกทีหนึ่ง

ส่วนกองทัพไทยปัจจุบันเป็นอย่างไรน่ะ อย่าไปกล่าวถึงท่านเลย เพราะท่านกำลังคืนความสุขให้ประชาชนอยู่

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากผมจะเลิกเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์เสีย ก็คงไม่มีใครใส่ใจอะไร เพียงแต่ผมเองต่างหากที่ยังใส่ใจว่า อาจารย์เคยสอนหนังสือผม และอาจารย์ก็ยังเป็นนักวิชาการรุ่นอาวุโสที่อยางน้อยก็มีศักดิ์ทางวิชาการที่โลกวิชาการในสายอาชีพเดียวกับผมเขายกย่องนับถือกัน ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงไม่ได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันสุดท้ายของการเดินทางในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม คณะเราเดินทางกลับฮานอย แต่เส้นทางที่กลับผ่านดินแดนในตำนานสำคัญที่ผมไม่เคยแวะมาก่อน คือศาลเจ้าหุ่งม์เวือง (Đền Hùng Vương) ที่เชื่อมโยงกับตำนานไข่ร้อยฟองและกำเนิดของกลุ่มชาติพันธ์ุไต
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตลอดการเดินทาง สิ่งหนึ่งที่หนักหนาเสมอคือการดื่มกินกับคนพื้นเมือง ในการเดินทางครั้งนี้ มื้อที่แสนสาหัสที่สุดคือมื้อที่ต้องทั้งประคองตัวเอง ทั้งไม่ให้เสียน้ำใจ และทั้งไม่ให้เพื่อนร่วมทางเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะร่วมทางกันต่อไปได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองไลเป็นเมืองสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์เวียดนาม สยาม และฝรั่งเศส คงเป็นคำถามที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเมืองไลปัจจุบันกำลังกลายเป็นอดีตที่ถูกกลบเกลื่อนลบเลือนไปจนเกือบหมดสิ้น ทั้งจากน้ำเหนือเขื่อน และจากการจัดการปกครองในปัจจุบัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองแถงมนดั่งขอบกระด้ง เมืองคดโค้งเยี่ยงเขาควาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสักเกือบ 15 ปีก่อน ผมไปเสาะหาบ้านนาน้อยอ้อยหนูที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) กับอาจารย์คำจอง นักชาติพันธ์ุวิทยาชาวไตดำ/เวียดนาม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองลา (Sơn La) ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แทบไม่มีใครรู้จักเมืองลาแม้ว่าเมืองนี้จะมีประวัติศาสตร์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดียนเบียนฟู เนื่องจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสใช้เป็นฐานในการปกครองเมืองคนไต แต่เดียนเบียนฟูโด่งดังขึ้นมาจากการที่ฝรั่งเศสแพ้พวกคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างราบคาบ ทำให้คนไม่ได้ทันสนใจว่า ก่อนหน้านั้นฝรั่งเศสปกครองเมืองคนไตอย่างไร แล้วมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่ไหนก่อนที่จะไปอยู่ที่เมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมมาเมืองมุน (Mai Châu, Hoà Bình) ครั้งแรกเมื่อปี 1998 มาเป็นผู้ช่วยวิจัย ตอนนั้นมาเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวมากแล้วเตรียมตัวไม่พอ ยังไม่รู้จักความหนาว เมื่อมาถึงที่นี่ ได้แต่นั่งผิงไฟ ขณะนั้นเมืองมุนเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวมาพัก มีโฮมสเตย์อยู่สัก 5-6 หลัง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทุนมหาวิทยาลัยเกียวโตนี่ดีกว่าที่ผมคิด เดิมทีแค่รู้ว่าได้ทุนมาเพื่อทำวิจัย ซึ่งก็จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตามข้อเสนอขอทุนที่เขียนไปไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ งานที่รับผิดชอบคือเสนองานสักสองครั้ง แล้วพยายามพิมพ์อะไรออกมาก็โอเคแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นทุนชั้นยอด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซนจากเกียวโตไปโตเกียว มีเรื่องราวมากมายที่น่าบันทึกไว้ ณ ที่นี่ แต่เบื้องต้นขอเล่าเพียงตลาด Tsukiji ก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตกใจเหมือนกันที่ Divas Cafe จะเลิกออกอากาศแล้ว อยากบันทึกสั้นๆ ว่าผมดีใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ ที่เคยได้เป็นแขกในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เป็นรายการที่ไปคุยด้วยสนุกมาก พิธีกรรุกเร้ามาก เวลาสั้นจนต้องปรับจังหวะการพูดให้เร็วมาก แถมบางครั้งยังต้องหาจังหวะแย่งพิธีกรพูดอีก