Skip to main content
บทสนทนาระหว่าง นายอานันท์ ปันยารชุน กับนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2557 ที่โรงแรมมณเฑียร มีสาระที่น่าสนใจหลายประการต่อการเข้าใจการเมืองไทย 

 
ที่สำคัญประการหนึ่งคือ ในการรัฐประหารครั้งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 นายอานันท์ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนอะไร แต่ในครั้งนี้จะด้วยเพราะคณะรัฐประหารได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หรือจะด้วยเพราะรัฐประหารครั้งนี้ยังไม่เข้มแข็งพอก็แล้วแต่ นายอานันท์ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างเต็มตัวว่าตนเองมีท่าทีตอบรับด้วยดีต่อการรัฐประหารครั้งนี้ ในอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาในประเทศไทยยังไม่พ้นจากยุคของการผลัดกันรุกผลัดกันรับหรือวงจรอุบาทว์ของอำนาจรัฐราชการและอำนาจประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
 
นายอานันท์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ครั้งแรกหลังรัฐประหาร 2534 โดยการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ครั้งที่สองหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ซึ่งเกิดการชุมนุมประท้วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกสุจินดา คราประยูร หลังการเลือกตั้งทั่วไป จนเกิดการปราบปรามการชุมนุมโดยทหาร ทำให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต พลเอกสุจินดาลาออก แล้ว นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ก็เสนอชื่อนายอานันท์แทนที่จะเป็น พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ ที่แต่งตัวรอเก้อ จากนั้นนายอานันท์จึงเริ่มกระบวนการปฏิรูปการเมือง จนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีกระทั่งเกิดดอกผลสำคัญในสมัยรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งสมัย นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยและทักษิณ ชินวัตร ขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมา
 
การดำรงตำแหน่งทั้งสองครั้งของนายอานันท์จึงแตกต่างกัน ครั้งแรก นายอานันท์มีอำนาจจากการรัฐประหาร ครั้งที่สอง นายอานันท์มีอำนาจจากรัฐสภา เนื่องจากรัฐธรรมนูญขณะนั้นไม่ได้ระบุว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ในแง่นี้ ความชอบธรรม การได้รับความยอมรับของนายอานันท์จากสาธารณชนจึงดูเสมือนเป็นความนิยมอันเนื่องมาจากการเป็นปฏิปักษ์กับการรัฐประหาร คนนิยมนายอานันท์ไม่ใช่เพราะเขาช่วยคณะรัฐประหาร แต่เพราะเขามากอบกู้สถานการณ์ที่ทหารทำเลวร้ายเอาไว้ก่อนต่างหาก แต่แล้วทำไมในขณะนี้นายอานันท์จึงมาแสดงท่าทีเห็นดีเห็นงามกับคณะรัฐประหารครั้งนี้ จนชวนให้คิดไปได้ว่า นายอานันท์ดูจะเห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหารครั้งก่อนๆ นี้ด้วย
 
ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก นายอานันท์เข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ของคณะรัฐประหารดีขึ้น แต่นายอานันท์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ พูดง่ายๆ คือ นายอานันท์ไม่ได้สามารถช่วยให้การรัฐประหารเป็นรัฐประหารที่ดีได้ ครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่านายอานันท์เข้ามาเป็นปฏิปักษ์กับคณะรัฐประหาร ทั้งในแง่ที่เข้ามาขัดผลประโยชน์อันอาจจะเกิดจากการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารผ่านพรรคการเมืองที่คณะรัฐประหารหนุนหลัง และเป็นปฏิปักษ์กับคณะรัฐประหารด้วยการมีส่วนวางพื้นฐานไปสู่การสร้างรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เน้นการกระจายอำนาจและการสร้างความเข้มแข็งให้การเมืองระบอบรัฐสภา เห็นจะมีก็แต่การสร้างระบบการตรวจสอบด้วยองค์กรอิสระนั่นแหละ ที่นายอานันท์อาจจะภาคภูมิใจมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การที่นายอานันท์ยกการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการรัฐประหารของตนเองมาเพื่อเป็นตัวอย่างของ "การรัฐประหารที่อาจจะดี" นั้นจึงค่อนข้างผิดฝาผิดตัว
 
การเมืองไทยก่อนและหลังพฤษภาคม 2535 แตกต่างกันอย่างยิ่ง ทำให้เราไม่สามารถเทียบเคียงการเมือง 2 ยุคอย่างตรงไปตรงมาได้ง่ายๆ และการรัฐประหารปี 2534 ก็แทบจะเป็นคนละเรื่องกันกับการรัฐประหาร 2557 ที่สืบทอดต่อยอดการรัฐประหาร 2549 แต่ก็กล่าวได้เช่นกันว่าการรัฐประหาร 2557 คือความสืบเนื่องกันของการรัฐประหารปี 2535 และอีกหลายครั้งก่อนหน้านั้น นั่นคือการสืบทอดอำนาจของ "นักการเมืองรัฐราชการ"
 
นายอานันท์ยืนอยู่ตรงไหนกันแน่ในการรัฐประหารเหล่านี้ ย่อมปรากฏจุดยืนของเขาอย่างชัดเจนในการสนทนาของเขากับนายภิญโญล่าสุดนี่เอง
 
ถ้าจะสรุปย่อง่ายๆ การเมืองแบบรัฐราชการ (bureaucratic  polity) ก็คือการเมืองที่อำนาจการบริหาร การกำหนดนโยบาย และการใช้กำลัง อยู่ในมือของข้าราชการเสียเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด อำนาจในการบริหารอาจเป็นของนักการเมืองส่วนหนึ่ง แต่หัวหน้าคณะรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลในตำแหน่งสำคัญๆ มักจะเป็นตำแหน่งของข้าราชการ และส่วนใหญ่แล้วคือนายทหารในราชการ ส่วนฝ่ายใช้กำลัง ตั้งแต่กำลังอาวุธสงครามไปจนถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แน่นอนว่าอยู่ในมือของข้าราชการ ส่วนฝ่ายมันสมองที่เรียกกันว่าเทคโนแครต (technocrats) หรือที่ อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เคยเรียกว่า "ขุนนางนักวิชาการ" เป็นกลุ่มคนที่เสนอนโยบาย คนเหล่านี้อาจเป็นข้าราชการหรือใครก็ตามที่ข้าราชการเชิญมาช่วยงาน แต่ที่สำคัญคือ ขุนนางนักวิชาการเหล่านี้มักไม่มีศรัทธาต่อการเลือกตั้ง ไม่เอาตัวเองไปคลุกคลีกับการเมืองของการเลือกตั้ง ไม่คิดจะลงเลือกตั้ง แต่รอคอยเวลาที่จะถูกใช้โดยนักการเมืองรัฐราชการ นายอานันท์นับเป็นนักการเมืองรัฐราชการคนหนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นขุนนางนักวิชาการ
 
สรุปรวมความแล้ว ผู้กุมอำนาจที่เป็นข้าราชการและผู้ได้รับเชิญเข้ามาเกี่ยวข้อกับผู้กุมอำนาจในระบอบนี้ ก็ล้วนเป็น "นักการเมือง" ด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่พวกเขารังเกียจที่จะนับตัวเองอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พวกเขาก็เข้าสู่เวทีอำนาจ ช่วงชิงอำนาจกับนักการเมืองในระบบเลือกตั้งเช่นกัน พวกเขาเพียงแต่เป็นนักการเมืองในคราบข้าราชการ อิงแอบอำนาจกับรัฐราชการ จึงเรียกได้ว่าเป็น "นักการเมืองรัฐราชการ" (bureaucratic politicians)
 
ในระบอบการเมืองแบบรัฐราชการ ประชาชนถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในการปกครอง นโยบายประเทศถูกกำหนดมาแล้วโดยขุนนางนักวิชาการ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่มีโอกาสได้นำเสนอนโยบายที่ตนไปหาเสียงเข้าสู่สภาได้เต็มที่นัก ในระบอบรัฐราชการ พรรคการเมืองจึงเล็ก ลีบ และแตกกระสานซ่านเซ็นไม่เป็นปึกแผ่น มีแนวโน้มแก่งแย่งอำนาจกันเพื่อเป็นใหญ่เพียงส่วนตัวชั่วคราว มีแนวโน้มที่นักการเมืองจากการเลือกตั้งจะเข้ามาสู่ตำแหน่งเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ รัฐราชการจึงเป็นที่มาของการฉ้อฉลของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เพราะนักการเมืองจากการเลือกตั้งไม่มีความจำเป็นในระบบเท่านักการเมืองรัฐราชการ นักการเมืองจากการเลือกตั้งในที่สุดก็กลายเป็นเพียงผู้รับใช้นักการเมืองรัฐราชการ และเพราะการเลือกตั้งไม่สามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้ ดังนั้น การเลือกตั้งจึงไม่มีความหมาย การซื้อเสียงขายเสียงจึงเกิดขึ้นทั่วไป อันเนื่องมาจากการกระจุกตัวของอำนาจในหมู่ข้าราชการ อันเนื่องมาจากการตรวจสอบควบคุมจากประชาชนไม่มีความหมายนี่เอง
 
หากแต่หลังการสร้างระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองแบบใหม่ พร้อมทั้งการออกแบบให้อำนาจการบริหารและการกำหนดนโยบายกระจายไปสู่การเมืองท้องถิ่นมากขึ้น ผ่านการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามวาระและผ่านการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนการกระจายงบประมาณ เงินทุนลงสู่ท้องถิ่น และให้ท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีท้องถิ่นไว้บำรุงตนเองได้มากขึ้น ส่งผลให้องค์กรท้องถิ่นเหล่านี้สามารถดำเนินนโยบายตอบสนองท้องถิ่นได้มากขึ้น การเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจึงมีความหมายมากยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อพรรคการเมืองใหญ่อย่างไทยรักไทยดำเนินนโยบายที่ส่งผลให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างกว้างขวาง พรรคการเมือง นักการเมือง และการเมืองระบอบรัฐสภาจึงมีความหมายมากขึ้น
 
กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การสลายอำนาจของนักการเมืองรัฐราชการส่งผลให้การเมืองไทยพัฒนาไปสู่สิ่งที่ อาจารย์ประภาส ปิ่นตบแต่ง เรียกว่า "ประชาธิปไตยที่กินได้" ในแง่นี้ สิ่งที่ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" จึงเปลี่ยนไป รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่นี้นักการเมืองรัฐราชการมีอำนาจน้อยลง มีการยอมรับอำนาจของประชาชนมากขึ้น ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น ประชาชนเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งมากขึ้น
 
ประชาชนเชื่อมั่นในอำนาจของตนเองมากขึ้น เพราะประชาธิปไตยกินได้ เพราะเสียงจากการกากบาทแล้วหย่อนบัตรลงไปถูกนับรับรู้ มีตัวมีตนมากขึ้น เพราะนโยบายพรรคการเมืองสะท้อนเสียงของพวกเขาเหล่านั้นมากขึ้น     
 
อย่างไรก็ดี ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่ยังมีกลไกของรัฐราชการซุกซ่อนอยู่ กลไกที่ว่านั้นคือองค์กรอิสระ ที่ช่วยให้นักการเมืองรัฐราชการสืบทอดอำนาจต่อไปได้ ในบทสนทนากับ นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา นายอานันท์ ปันยารชุน แสดงให้เห็นอย่างเดนชัดว่านายอานันท์เชื่อมั่นในระบบ "ธรรมาภิบาล" เหนือระบบการเลือกตั้ง ธรรมาภิบาลของเขาจะหมายถึงอะไรหากไม่ใช่รัฐราชการ นั่นเพราะเขาเชื่อว่าการรัฐประหารโดยทหารในครั้งนี้มีโอกาสที่จะนำมาซึ่งระบบธรรมาภิบาลที่ดีได้ นายอานันท์จึงไม่เชื่อในธรรมาภิบาลที่วางอยู่บนระบบการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่เชื่อในระบบการตรวจสอบด้วยอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เชื่อในระบบตัวแทน นายอานันท์จึงเป็นปากเป็นเสียงให้กับนักการเมืองรัฐราชการอย่างเต็มที่
 
เมื่อผสานกับรัฐธรรมนูญฉบับทางการที่มีระบบการตรวจสอบนักการเมืองผ่านองค์กรอิสระแล้ว ทำให้อำนาจของประชาชนที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนหลัง 2540 กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอำนาจรัฐราชการ ที่คอยเข้ามากระแซะบ่อนเซาะทำลายอำนาจประชาชนทั้งในการรัฐประหาร 2534, 2549 และ 2557 เมื่อมองย้อนกลับไปโดยตลอดของประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้ว เราคงจะยังต้องอยู่กับการต่อสู้ขับเคี่ยวกันระหว่างนักการเมืองจากการเลือกตั้งกับนักการเมืองรัฐราชการอันมีนายอานันท์เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดไปอีกนาน
 
มติชนรายวัน 20 สิงหาคม 2557

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงเป็นแบบผม คือพยายามข่มอารมณ์ฝ่าฟันการสบถของท่านผู้นำ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตั้งแต่ที่ผมรู้จักงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์มา มีปีนี้เองที่ผมคิดว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่มีความหมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปี 2558 เป็นปีที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีอายุครบ 50 ปี นับตั้งแต่เริ่มเป็นแผนกอิสระในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2508
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เปิดภาคการศึกษานี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นคือ วันแรกที่ไปสอน (ผมสอนอังคาร, พฤหัสบดี ครั้งละ 1 ชั่วโมง 15 นาที) มีนักเรียนมาเต็มห้อง เขากำหนดโควต้าไว้ที่ 34 คน แต่หลังจากผมแนะนำเค้าโครงการบรรยาย คงเพราะงานมาก จุกจิก ก็มีคนถอนชื่อออกไปจำนวนหนึ่ง คืนก่อนที่จะไปสอนครั้งที่สอง ผมก็เลยฝันร้าย คือฝันว่าวันรุ่งขึ้นมีนักเรียนมาเรียนแค่ 3 คน แล้วเรียนๆ ไปนักเรียนหนีหายไปเหลือ 2 คน แต่พอตื่นไปสอนจริง ยังมีนักเรียนเหลืออีก 20 กว่าคน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อได้ทราบว่าอาจารย์เก่งกิจทำวิจัยทบทวนวรรณกรรมด้านชนบทศึกษา โดยลงแรงส่วนหนึ่งอ่านงาน “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “ทบทวนภูมิทัศน์ฯ”) (อภิชาต ยุกติ นิติ 2556) ที่ผมมีส่วนร่วมกับนักวิจัยในทีมทั้งหมด 6 คนในตอนแรก และ 9 คนในช่วงทำวิจัยใหญ่ [1] ผมก็ตื่นเต้นยินดีที่นานๆ จะมีนักวิชาการไทยอ่านงานนักวิชาการไทยด้วยกันเองอย่างเอาจริงเอาจังสักที 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะให้ผมเขียนเรื่องอุปสรรคขัดขวางโลกวิชาการไทยต่อการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศในระดับนานาชาติไปอีกเรื่อยๆ น่ะ ผมก็จะหาประเด็นมาเขียนไปได้อีกเรื่อยๆ นั่นแหละ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ถ้านับย้อนกลับไปถึงช่วงปีที่ผมเริ่มสนใจงานวิชาการจนเข้ามาทำงานเป็นอาจารย์ ก็อาจนับได้ไปถึง 25 ปีที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในโลกวิชาการไทย ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สำคัญคือการบริหารงานในมหาวิทยาลัย แต่ขอยกเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะหากค่อยๆ ดูเรื่องย่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็น่าจะช่วยให้เห็นอะไรมากขึ้นว่า การบริหารงานวิชาการในขณะนี้วางอยู่บนระบบแบบไหน เป็นระบบที่เน้นสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการในเชิงปริมาณหรือคุณภาพกันแน่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บอกอีกครั้งสำหรับใครที่เพิ่งอ่านตอนนี้ ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 5 แล้ว ถ้าจะไม่อ่านชิ้นอื่นๆ (ซึ่งก็อาจชวนงงได้) ก็ขอให้กลับไปอ่านชิ้นแรก ที่วางกรอบการเขียนครั้งนี้เอาไว้แล้ว อีกข้อหนึ่ง ผมยินดีหากใครจะเพิ่มเติมรายละเอียด มุมมอง หรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ขอให้แสดงความเห็นแบบ "ช่วยกันคิด" หน่อยนะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงวิทยานิพนธ์เป็นส่วนน้อยๆ ของโลกวิชาการอันกว้างใหญ่ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิชาการ แต่วิทยานิพนธ์ก็เป็นผลงานที่อาจจะดีที่สุดของนักวิชาการส่วนใหญ่ แต่สังคมวิชาการไทยกลับให้คุณค่าด้อยที่สุด พูดอย่างนี้เหมือนขัดแย้งกันเอง ขอให้ผมค่อยๆ อธิบายก็แล้วกันครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนเริ่มพูดเรื่องนี้ ผมอยากชี้แจงสักหน่อยนะครับว่า ที่เขียนนี่ไม่ใช่จะมาบ่นเรื่อยเปื่อยเพื่อขอความเห็นใจจากสังคม แต่อยากประจานให้รู้ว่าระบบที่รองรับงานวิชาการไทยอยู่เป็นอย่างไร ส่วนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร อย่าถามผมเลย เพราะผมไม่มีอำนาจ ไม่ต้องมาย้อนบอกผมด้วยว่า "คุณก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปให้ดีที่สุดก็แล้วกัน" เพราะถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่เล่าไปเป็นประเด็นก็อย่าสนใจเสียเลยดีกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมขอเริ่มที่เรืองซึ่งถือได้ว่าเป็นยาขมที่สุดของแวดวงมหาวิทยาลัยไทยเลยก็แล้วกัน ที่จริงว่าจะเขียนเรื่องการผลิตความรู้ก่อน แต่หนีไม่พ้นเรื่องการสอน เพราะนี่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการทำงานวิชาการในไทยมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อผมมาสอนหนังสือถึงได้รู้ว่า วันครูน่ะ เขามีไว้ปลอบใจครู ก็เหมือนกับวันสตรี เอาไว้ปลอบใจสตรี วันเด็กเอาไว้หลอกเด็กว่าผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ แต่ที่จริงก็เอาไว้ตีกินปลูกฝังอะไรที่ผู้ใหญ่อยากได้อยากเป็นให้เด็ก ส่วนวันแม่กับวันพ่อน่ะอย่าพูดถึงเลย เพราะหากจะช่วยเป็นวันปลอบใจแม่กับพ่อก็ยังจะดีเสียกว่าที่จะให้กลายเป็นวันฉวยโอกาสของรัฐไทยอย่างที่เป็นอยู่นี้