Skip to main content

ใครที่รู้จักอาคารดังๆ ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frak Lloyd Wright) อย่าง Guggenhiem Museum ที่นิวยอร์ค บ้านน้ำตกที่เพลซิลวาเนีย Imperial Hotel ที่โตเกียว อาจจะนึกไม่ถึงว่า บ้านที่ไรท์เรียกว่าเป็นบ้านของเขานั้นอยู่ในชนบทที่ Spring Green มลรัฐวิสคอนซิน

 
 

ผมอ่านเรื่องราวแนวคิดทางสถาปัตยกรรมของไรท์จากงานเขียนของแสงอรุณ รัตกสิกร สถาปนิกไทยที่เขียนหนังสืออ่านสนุกและฝีปาก(กา)กล้าคนหนึ่งตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยปีแรก หากใครสนใจควรหาเล่มที่พิมพ์ครั้งแรกๆ ที่รูปเล่มเหมือนหนังสือเขียนภาพนะครับ จะจัดรูปเล่มกับใช้ฟอนต์ที่น่าอ่านกว่าที่มาพิมพ์กันทีหลังมาก 

ที่ชวนฉงนมากคือเมื่อแสงอรุณเล่าถึงการไปใช้ชีวิตที่ Taliesin (ทาลิเอซิน) ซึ่งตอนนั้นผมก็งงๆ สับสนระหว่าง ทาลิเอซินกับทาลิเอซินตะวันตก ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้จักมลรัฐวิสคอนซิน (ที่ตั้งของทาลิเอซิน) อีกส่วนเพราะคุ้นชื่อมลรัฐแอริโซนามากกว่า (ที่ตั้งทาลิเอซินตะวันตก) แต่ที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่าไรท์เกิดที่วิสคอนซิน ณ ที่ซึ่งทาลิเอซินตั้งอยู่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1911 จนถึงปัจจุบันนี้ 

ชื่อทาลิเอซินมาจากภาษาเวลช์ที่แปลว่า หน้าผากแจ่มจ้า ซึ่งไม่น่าจะหมายถึงหัวเถิกในภาษาไทย แต่น่าจะเนื่องจากเพราะตัวอาคารหลักของสถาบันนี้ คือบ้านบนเนินสูง ตั้งตระหง่านดั่งหน้าผากแจ่มจรัสอยู่บนเนิน ที่ตั้งชื่อเป็นภาษาเวลช์ก็เพราะครอบครัวไรท์เป็นชาวเวลช์ที่อพยพมาอยู่ที่วิสคอนซิน

ทาลิเอซินทั้งสองที่ไม่ใช่เพียงบ้านพักของไรท์ แต่ยังเป็นสถาบันสอนสถาปัตยกรรม โดยที่นักเรียนต้องมาอยู่กินที่ทาลิเอซินที่วิสคอนซิน แล้วในฤดูหนาวก็ย้ายลงไปอยู่ที่ทาลิเอซินตะวันตกที่แอริโซนา ซึ่งก็ไม่ได้อุ่นกว่ากันเท่าใดนัก 

เมื่อปี 1999 คราวที่มาเรียนที่นี่ ผมมีโอกาสไปทาลิเอซินที่วิสคอนซินเป็นครั้งแรก จึงทำให้เข้าใจขึ้นมาว่าทาลิเอซินไม่ได้มีเพียงบ้านหลังเดียว วานนี้มีโอกาสได้ไปอีกครั้งก็ยิ่งทำให้เข้าใจมากขึ้นเมื่อได้ไปดูอาคารหลังอื่นๆที่ทาลิเอซิน นอกจากบ้านหลังเด่นนั่นแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ สำหรับกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอีกมาก 



 

เช่นว่า มีห้องสตูดิโอที่หลังคาออกแบบพิศดารมาก มีหอพักที่ไม่สบายนัก เพราะนักเรียนจะได้ไม่หมกตัวในห้อง มีโรงละคร มีกังหันลม มีโรงนา รวมทั้งบ้านหลังอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ ที่ครอบครัวไรท์มาตั้งรกรากอยู่จนให้กำเนิดไรท์ ณ ลุ่มน้ำวิสคอนซินนี่เอง 

แสงอรุณจึงเล่าในหนังสือว่า เมื่อมาเรียนที่นี่ ก็ต้องทำนา ปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อเก็บเกี่ยวกินไปพร้อมๆ กับการศึกษาสถาปัตยกรรม ที่เป็นอย่างนี้เพราะสำหรับไรท์แล้ว สถาปัตยกรรมไม่ได้โดดเดี่ยวหลุดลอยออกจากสิ่งแวดล้อมและชีวิต การเรียนกับการดำรงชีวิตก็ต้องควบคู่กันไป นักเรียนที่นี่จึงต้องเรียนรู้ที่จะทั้งดำรงชีพตนเองและทำงานสถาปัตยกรรม

 


แน่นอนว่า ค่าตอบแทนจากผลงานของไรท์มีค่ามากกว่าการทำนามากนัก คำสอนอันเป็นอุดมคติของเขาไม่น่าจะไปกันได้กับการใช้ชีวิตของเขา ที่ลำพังของสะสมที่มักมาจากเอเชียตะันออก ทั้งญี่ปุ่น และกระทั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่น่าจะได้มาจากการเป็นเกษตรกร แต่หลักปรัชญา การออกแบบสถาปัตยกรรม และหลักสูตรของเขาก็กลายมาเป็นแนวทางของวิธีคิดสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลมากในศจวรรษที่ 20

สถาปัตยกรรมที่เข้ากับธรรมชาติจึงไม่ใช่แค่การออกแบบที่นำเอาวัสดุ รูปทรง และแรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบข้างมาเป็นส่วนประกอบของอาคาร ไม่ใช่แค่การผสานอาคารเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่อาคารตั้งอยู่ แต่ยังเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในอาคาร ที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมไปด้วยในตัว

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
 การที่ประธานรัฐสภาปัดข้อเรียกร้องของประชาชนกว่า 3 หมื่นคน ที่นำโดยคณะนิติราษฎร์และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ด้านหนึ่งนับเป็นความขลาดเขลาของประธานรัฐสภา ด้านหนึ่งสะท้อนความขลาดเขลาของพรรครัฐบาลที่บอกปัดข้อเสนอนี้มาตั้งแต่ ครก.112 เริ่มรณรงค์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 บ้านเก่าเมืองหลัง เป็นสำนวนของคนไทดำในเวียดนาม เมื่อก่อน พอได้ขึ้นไปเยี่ยมเยือนพี่น้องชาวไทดำที่เซอนลาแต่ละครั้ง ก็จะถูกพวกคนเฒ่าคนแก่ล้อว่า “เหมือนพวกหลานๆ กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าเมืองหลังสินะ” ในความหมายที่ว่า เหมือนผมได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนนั่นเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ก็ห่างหายไปแค่เพียงหลายเดือน หรืออย่างมากก็ในรอบปี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
  ขอบอกว่า วันนี้นอยกับบูราวอย (Michael Burawoy) พอสมควร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมติดตามละคร "แรงเงา" อย่างใกล้ชิด...จากที่เพื่อนๆ เล่ากันน่ะ ไม่ได้ดูเองหรอก (เพราะไม่มีทีวีดู ไม่ชอบดูทีวี และไม่ดูทีวีมาหลายปีแล้ว) แต่ก็เกิดสงสัยว่า "ทำไมไอ้ผอ.มันโง่งี้(วะ)" ถ้าจะตอบว่า "ผู้ชายหล่อก็เหมือนผู้หญิงสวยนั่นแหละ มันโง่" ก็คงจะดูโง่ไปหน่อย ก็เลยลองคิดต่อดูว่า หนึ่ง ที่จริงไม่ได้มีแต่ ผอ.ในละครแรงเงาโง่อยู่คนเดียวหรอก พระเอกละครไทยกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง มันก็โง่แบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ส่วนใหญ่เลยนะผมว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปิดเทอมนี้อดพานักอ่านตัวยงคนหนึ่งที่บ้านไปงานสัปดาห์หนังสือ เพราะเธอขาแพลง เจ็บถึงขั้นเข้าเฝือกและใช้ไม้เท้าเดิน เธอบอก "เอาไว้มีงานอีกครั้งลุงต้องพาหนูไปนะ" วันนี้ก็เลยขอเขียนอวยนักเขียนสักหน่อย (คนเราไม่ต้องคอยหาทางวิจารณ์ข้อด้อยคนอื่นกันทุกเมื่อเชื่อวันก็คงสามารถจรรโลงสังคม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาสี่วัน ถ้าจะให้บอกว่าประทับใจอะไรกับปราสาทหินบ้าง คงยากที่จะบอก เพราะวิ่งผ่านหินก้อนต่างๆ มากมายเสียจนไม่ทันได้หยุดคิดกับอะไรต่างๆ ดีที่ได้นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักมานุษยวิทยามากมายมาให้ความรู้ข้างๆ หูเวลาท่านถกเถียงกัน จึงพอจะเก็บเกี่ยวเชื่อมโยงอะไรมาได้บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยุกติ มุกดาวิจิตร