Skip to main content

เพิ่งผ่านมาเพียง 5 เดือนอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะถามว่า หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วขบวนการประชาชนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะลองคิดถกเถียงกันบ้างว่า ขบวนการประชาชนน่าจะไปทางไหนต่อไป

ภายใต้เงื่อนไขการบังคับด้วยด้วยกฎอัยการศึก ในขณะนี้ ก็คงพอจะเห็นได้ไม่ยากว่า ขบวนการประชาชนหลังรัฐประหาร 2557 กำลังเงียบงันและแทบจะเรียกได้ว่าหมดน้ำยาไปเลยทีเดียว เดิมที่เคยเดินขบวนต้านการสร้างเขื่อน ก็เงียบสูญ ที่เคยต้านคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ต้านการนิรโทษกรรมตนเอง ต้านการแต่งตั้งคนในครอบครัว ต้านคนใกล้ชิดดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้านการโยกย้ายข้าราชการอย่างข้ามคืน ต้านอะไรต่างๆ นานา ก็ต้องเงียบงันกันไปหมด หากแต่การเงียบงันนั้นมีนัยเฉพาะบางอย่าง การเงียบงันนั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนขบวนการประชาชนได้ทั้งหมด การเงียบงันนั้นเป็นการเลือกที่จะไม่แสดงออกมากกว่าการถูกกำรายให้เงียบงันหรือไม่ 

แต่คำถามสำคัญยิ่งกว่านั้นคือขบวนการประชาชนจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปหรือไม่ ขบวนการประชาชนก่อนและหลังรัฐประหาร 2557 จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ หากยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว ขบวนการประชาชนจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิมหรือไม่ อดีตผู้สนับสนุนขบวนการ กปปส. ขบวนการพันธมิตรฯ และขบวนการคนเสื้อแดงจะยังคงมั่นคงเหมือนเดิมหรือไม่ การรัฐประหารครั้งนี้มีสาระสำคัญอะไรในการเปลี่ยนแปลงขบวนการประชาชนหรือไม่ ในอีกระดับหนึ่งที่ลึกกว่านั้น ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีพัฒนาการอะไรใหม่ๆ ในขบวนการประชาชนไทยหรือไม่ ความใหม่นั้นไปพ้นจากการรัฐประหารครั้งนี้หรือไม่ แล้วความใหม่นั้นจะข้ามพ้นภาวะกฎอัยการศึกหรืออยู่รอดตลอดจนกลับมาแสดงพลังอีกหลังกฎอัยการศึกอย่างไรหรือไม่

มองย้อนกลับไปตั้งแต่หลังขบวนการคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ2520 ขบวนการประชาชนเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในระบบโลกที่ทุนนิยมและเสรีนิยมเข้าครอบครอง ในประเทศไทย เห็นได้ชัดว่าขบวนการประชาชนในรูปแบบใหม่ซึ่งนำโดยองค์กรพัฒนาเอกชนหรือที่เรียกกันว่า "เอ็นจีโอ" นั้น ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มคนที่แปลงกายมาจากคนในขบวนการคอมมิวนิสต์เดิม เอ็นจีโอกลายมาเป็นทางเลือกของการดำรงชีวิตของคนหนุ่มสาวในทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา เมื่ออาชีพเอ็นจีโอตอบทั้งโจทย์ของอุดมการณ์และการเป็นแหล่งรายได้แก่ผู้ยึดการทำงานเอ็นจีโอเป็นอาชีพ ในทศวรรษ 2520-2530 เอ็นจีโอสามารถเลี้ยงตนเองได้จากเงินช่วยเหลือต่างประเทศ เอ็นจีโอจึงเสนอทางเลือกใหม่ๆ ในแง่ของการพัฒนาสังคมได้อย่างเป็นอิสระจากรัฐ

กระทั่งในระยะหลังทศวรรษ 2540 กล่าวได้ว่าเอ็นจีโอมีบทบาทสูงในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและการตรวจสอบการทำงานของรัฐด้านต่างๆจนกระทั่งถือได้ว่าเอ็นจีโอกลายเป็นสถาบันทางการเมือง ด้วยการเสนอประเด็นและต่อสู้เพื่อสร้างความตระหนักต่อประเด็นต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม เรื่องเพศภาวะและเพศวิถี เรื่องเด็ก เรื่องชุมชน เรื่องแนวทางการพัฒนาประเทศ เอ็นจีโอมีพลังต่อรองในการเมืองไทยสูงขึ้น และกลายเป็นพลังสำคัญของการเคลื่อนไหวบนท้องถนนในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับเนื่องมาได้ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเอ็นจีโอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชน หากจะประเมินเอ็นจีโอ ก็ควรประเมินในภาพรวมที่กว้างกว่านั้น ในภาพกว้างแล้ว ขบวนการประชาชนไทยในทศวรรษ 2550 มีความซับซ้อนหลายประการ

ประการแรก ขบวนการประชาชนไทยจำนวนมากกลายสภาพไปเป็น "ขบวนการประชาชนของรัฐ" เพราะเป็นขบวนการประชาชนที่แบมือขอเงินรัฐ ผ่านการเขียนโครงการขอแหล่งทุนขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นอิสระจากการตวจสอบของประชาชนองค์กรหนึ่ง องค์กรนี้ไม่ได้ทำรายได้อะไรของตนเอง หากแต่ผันเอาเงินภาษีของประชาชนมากระจายให้เอ็นจีโอที่อยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ของตน ขบวนการประชาชนและหน่วยงานของรัฐจึงเริ่มกำกวม แยกไม่ขาดจากกัน จนทำให้บางครั้งบรรดาคนในขบวนการประชาชนเองก็หลงลืมไปแล้วว่า ตนเองกำลังเสนอทางเลือกจากข้อเสนอกระแสหลักของรัฐ หรือกำลังรับใช้อุดมการณ์หลักของรับในอีกลักษณะหนึ่งกันแน่ ที่น่าเป็นห่วงคือ องค์กรที่เป็นแหล่งทุนนี้ย่อมมีข้อเรียกร้องของตนเอง ทำให้เอ็นจีโอที่แบมือขอเงินรัฐไม่สามารถทำงานที่เป็นอิสระจากข้อเรียกร้องเหล่านั้น ซึ่งหลายครั้งก็มีแนวโน้มสะท้อนค่านิยมอนุรักษนิยมและคับแคบขององค์กรอุปถัมภ์นั้นได้

ประการต่อมา"ขบวนการประชาชนแยกขาดกับรัฐสภา" ขบวนการประชาชนไทยส่วนหนึ่งยังมีความแยกขาดกับการเมืองในระบบรัฐสภาหรือเป็นเอกเทศจากการเมืองในระบบรัฐสภาข้อนี้ดูได้จากตัวอย่างจากการนำเสนอรายงานในการประชุมไทยศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมื่อวันที่ 17-19 ตุลาคมที่ผ่านมา มีงานศึกษา 3 ชิ้น ที่ชี้ให้เห็นถึงขบวนการประชาชนในทศวรรษ 2550 คือขบวนการนิติราษฎร์ ขบวนการต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ และขบวนการกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง ขบวนการแรกพยายามแยกตัวออกจากนักการเมือง พยายามสื่อให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวทางกฎหมายของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง และเคลื่อนไหวโดยลำพัง ขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา

ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการที่ประเด็นข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในระดับถึงรากถึงโคนจึงทำให้นักการเมืองเองก็ขลาดกลัวที่จะเข้าร่วมด้วย ในขณะที่อันที่จริงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าขบวนการประชาชนที่สนับสนุนนิติราษฎร์นั้นเป็นขบวนการที่สนับสนุนพรรคการเมืองด้วย ประเด็นนี้จะกล่าวถึงให้ชัดขึ้นในตอนท้าย ส่วนขบวนการที่สองพยายามยับยั้งโครงการเขื่อนแม่วงก์ โดยไม่อาศัยกระบวนการทางการเมืองแบบรัฐสภา ยิ่งกว่านั้น นักวิจัยที่นำเสนอยังชี้ว่า การเคลื่อนไหวต้านเขื่อนแม่วงก์เป็นขบวนการที่อาศัยโซเซียลมีเดียเป็นหลักด้วยซ้ำ จึงขาดการเชื่อมโยงกับการเมืองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

ส่วนการเรียกร้องสิทธิของชนบนที่สูงในขณะนี้กลับอาศัยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะอาศัยช่องทางการเมืองในระบบรัฐสภา เพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่มชนที่สูง

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ชี้ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขบวนการประชาชนไทยรังเกียจการเมืองระบอบรัฐสภา และแม้ว่าจะสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดก็กลับส่งเสริมภาพลักษณ์ที่เลวร้ายของการเมืองในระบบรัฐสภา หรืออาจมองอีกด้านหนึ่งได้ว่า การเมืองในระบบรัฐสภาปิดช่องทางที่จะให้ขบวนการประชาชนได้เข้าถึงทำให้ขบวนการประชาชนตัดขาดจากการเมืองระบบรัฐสภา

ประการที่สามสืบเนื่องจากข้างต้น เราจึงมี "ขบวนการประชาชนเลี้ยวขวา" ด้วยความที่เขาคิดว่า และข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นนั้นว่า การเมืองระบบรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งของขบวนการประชาชนได้ ขบวนการประชาชนไทยจึงมีโอกาสที่จะกลายเป็นขบวนการที่จับมือกับชนชั้นนำอนุรักษนิยมกลุ่มน้อย และกลายเป็นขบวนการประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเสียเองได้ และดังนั้น เอ็นจีโอก็ไม่จำเป็นต้องก้าวล้ำสมัยไปกันได้กับการเมืองที่ก้าวหน้าไปสู่การสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสมอไปข้อนี้อาจเปรียบเทียบกับในอดีตตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขบวนการประชาชนที่ชนชั้นนำอนุรักษนิยมมีส่วนสนับสนุนให้พัฒนาขึ้นมานั้นก็กลับเป็นขบวนการประชาชนเลี้ยวขวาที่นำมวลชนปิดล้อมและสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ใกล้เข้ามาในปัจจุบัน ในช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเอ็นจีโอหลายกลุ่มหลายคนเข้าร่วมเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร คนเหล่านี้ยอมดูดายกับการสังหารประชาชนโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ในแง่นี้ ขบวนการประชาชนในปัจจุบันจึงไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐเสมอไป หากแต่ขบวนการประชาชนไทยกลับกลายเป็นขบวนการที่มุ่งเข้าสู่อำนาจรัฐ สนับสนุนอำนาจรัฐบางกลุ่ม และยอมรับการยึดอำนาจรัฐด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือกระทั่งสนับสนุนการล้มการเลือกตั้ง ผลสุดท้ายจึงลงเอยแบบที่เห็นและต้องอยู่ร่วมกันไปในขณะนี้ คือขบวนการประชาชนที่โอนอำนาจให้ทหาร แล้วคิดว่าตนจะได้เข้ามาร่วมปฏิรูป แต่กลับทำลายกระบวนการประชาธิปไตย ทำลายการมีส่วนร่วมทางการเมือง ยอมดูดายเพิกเฉยกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประการที่สี่ "ขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง" ที่เห็นได้ชัดคือขบวนการ กปปส. และขบวนการคนเสื้อแดง ในส่วนของขบวนการ กปปส. ซึ่งแม้ว่าจะเป็นขบวนการที่แยกไม่ออกจากพรรคการเมือง แต่ในระดับหนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นพัฒนาการก้าวที่พรรคการเมืองเองมีส่วนสร้างพลังประชาชนนอกระบบการเมืองแบบรัฐสภาผ่านการเลือกตั้ง

หากแต่ว่าขบวนการ กปปส. กลับนำพลังไปใช้ในการสนับสนุนอำนาจนอกระบบรัฐสภา ล้มการเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาไปในที่สุด

อีกขบวนการหนึ่งที่ต้องถือว่าเป็นขบวนการประชาชนลักษณะนี้คือขบวนการ"คนเสื้อแดง" ถึงแม้จะมีความพยายามปรามาสกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นขบวนการที่ถูกจัดตั้งโดยพรรคการเมือง หากแต่มีข้อเท็จจริงหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้นสนับสนุนแนวทางของพรรค หากแต่ก็มีความเป็นเอกเทศของตนเอง เป็นต้นว่า ในการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนข้อเสนอให้แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของนิติราษฎร์ ขบวนการคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเลือกสนับสนุนการเสนอขอแก้ไข แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะคัดค้านการแก้ไขอย่างเต็มที่ ยิ่งกว่านั้น ในการเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม "ฉบับสุดซอย" ของพรรคเพื่อไทยนั้น ขบวนการคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็คัดค้านอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์และผู้สนับสนุนเขา หรือแม้แต่ นปช. ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นมวลชนหลักของพรรคเพื่อไทย ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ดังกล่าว

จึงกล่าวได้ว่า ขบวนการคนเสื้อแดงเป็นขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง หากแต่มีอุดมการณ์ทางการเมืองในบางลักษณะที่เป็นเอกเทศของตนเอ

หลายคนปรามาสว่าขบวนการประชาชนจบสิ้นแล้วหลังการรัฐประหารบางคนตั้งคำถามอย่างหมดหวังว่า ขบวนการประชาชนอย่างเสื้อแดง เสื้อเหลือง กปปส. (ไม่ว่าเราจะนิยมชมชอบพวกเขาหรือไม่ก็ตาม) จบสิ้นแล้วหลังการรัฐประหาร แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้วเราจะเห็นความหลากหลายของขบวนการประชาชน ที่ต่างก็มีแนวทางที่อาจขัดแย้งกัน มีหลักการในทางการเมืองแตกต่างกัน ขบวนการประชาชนไทยในทศวรรษ 2550 ไม่ได้มีแต่เอ็นจีโอ ไม่ได้มีเฉพาะขบวนการที่แยกขาดกับการเมือง ไม่ได้มีเฉพาะเอ็นจีโอเลี้ยวขวา แต่ยังมีขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง  

ในจำนวนนี้ ขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองน่าจะเป็นมิติใหม่ของขบวนการประชาชนในประเทศไทย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงตนได้ภายใต้กฎอัยการศึก หากแต่พวกเขาได้เติบโตตั้งมั่นขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว ลำพังการโฆษณาชวนเชื่อหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงก็ไม่สามารถกล่อมเกลาหรือบังคับให้พวกเขากลับไปหลับใหลงมงายอย่างเดิมได้อีกต่อไป  

ในทศวรรษต่อไปข้างหน้าหากขบวนการประชาชนจะยังคงพลังสร้างสรรค์สังคมต่อไป ก็น่าที่จะต้องปรับทิศทางการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับการพัฒนาประชาธิปไตยให้มากขึ้น กล้าและมีศรัทธาที่จะเชื่อมโยงตนเองเข้ากับพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภามากขึ้น หาไม่แล้วขบวนการประชาชนก็อาจจะทำได้แค่เพียงทอดสะพานให้กับการสืบทอดอำนาจของชนชั้นนำอนุรักษนิยม กลายเป็นขบวนการประชาชนเลี้ยวขวา ที่ยอมแลกการสูญเสียสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพียงหวังว่าตนจะได้ส่วนแบ่งอำนาจจากชนชั้นนำกลุ่มน้อย

(ที่มา:มติชนรายวัน 4 พ.ย.2557)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
นี่เป็นข้อเขียนภาคทฤษฎีของ "การเมืองของนักศึกษาปัจจุบัน" หากใครไม่ชอบอ่านทฤษฎีก็ขอร้องโปรดมองข้ามไปเถอะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จริงหรือที่นักศึกษาไม่สนใจการเมือง ขบวนการนักศึกษาตายแล้วจริงหรือ ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าการถกเถียงเรื่องเครื่องแบบ เรื่องทรงผม เรื่องห้องเรียน เป็นเรื่องการเมืองได้อย่างไร แล้วดูแคลนว่ามันเป็นเพียงเรื่องเสรีภาพส่วนตัว เรื่องเรียกร้องเสรีภาพอย่างเกินเลยแล้วล่ะก็ คุณตกขบวนการเมืองของยุคสมัยไปแล้วล่ะ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในวาระที่กำลังจะมีการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะบุคคลากรของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ผู้หนึ่ง ผมขอเสนอ 5 เรื่องเร่งด่วนที่อธิการบดีคนต่อไปควรเร่งพิจารณา เพื่ิอกอบกู้ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลับมาเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นบ่อน้ำบำบัดผู้กระหายความรู้ และเป็นสถาบันที่เคียงข้างประชาชนต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บันทึกประกอบการพูดเรื่อง "การศึกษาไทย" เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเสนอว่าเรากำลังต่อสู้กับสามลัทธิคือ ลัทธิบูชาชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ลัทธิล่าปริญญา และลัทธิแบบฟอร์ม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษาไทยไทย: ความสำเร็จหรือความล้มเหลว" เป็นโจทย์ที่นักกิจกรรมทางสังคมรุ่นใหม่ตั้งขึ้นอย่างท้าทาย พวกเขาท้าทายทั้งระบบการเรียนการสอน วัฒนธรรมการศึกษา เนื้อหาในหลักสูตร และระบบสังคมในสถานศึกษา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในฐานะที่ร่วมก่อตั้งและร่วมงานกับ "ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53" (ศปช.) ผมอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบสปิริตของการทำงานของ ศปช. กับของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่ามองหลักสิทธิมนุษยชนต่างกันอย่างไร อย่างไรก็ดี นี่เป็นทัศนะและหลักการของผมเองในการร่วมงานกับ ศปช. ซึ่งอาจแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นบ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คำตัดสินของศาลอาญาในกรณี 6 ศพวัดประทุมฯ ชวนให้นึกถึงภาพถ่ายเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ใต้ต้นมะขามต้นหนึ่งที่สนามหลวง นอกจากภาพชายคนที่ใช้เก้าอี้ตีศพที่ถูกแขวนคอใต้ต้นมะขามแล้ว ภาพผู้คนที่รายล้อมต้นมะขามซึ่งแสดงอาการเห็นดีเห็นงามหรือกระทั่งสนับสนุนอยู่นั้น สะเทือนขวัญชาวโลกไม่น้อยกว่าภาพชายใช้เก้าอี้ทำร้ายศพ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเคยนั่งในพิธีรับปริญญาบัตรในฐานะผู้รับและในมุมมองของผู้ให้มาแล้ว แต่ไม่เคยได้นั่งในพิธีในฐานะผู้สังเกตการณ์จากบนเวทีแบบเมื่อครั้งที่ผ่านมานี้มาก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปฐมลิขิต: ใครรังเกียจทฤษฎี เกลียดงานเขียนแบบหอคอยงาช้าง ไม่ต้องพลิกอ่านก็ได้นะครับ และเวลาผมใส่วงเล็บภาษาอังกฤษหรืออ้างนักคิดต่างๆ นี่ ไม่ได้จะโอ่ให้ดูขลังนะครับ แต่เพื่อให้เชื่อมกับโลกวิชาการสากลได้ ให้ใครสนใจสืบค้นอ่านต่อได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะว่าไป กสทช. คนที่แสดงความเห็นต่อเนื้อหาละครฮอร์โมนนั้น ดูน่าจะเป็นคนที่สามารถวิเคราะห์ เข้าใจสังคมได้มากที่สุดในบรรดา กสทช. ทั้ง 11 คน เพราะเขามีดีกรีถึงปริญญาเอกทางสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยโด่งดังในเยอรมนี ต่างจากคนอื่นๆ ที่ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นทหารหรือใครที่สมยอมกับการรัฐประหารปี 2549 แล้ว ก็เป็นช่างเทคนิคทางด้านการสื่อสาร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า "ไม่รู้อาจารย์ผู้ชายทนสอนหนังสือต่อหน้านักศึกษานุ่งสั้นที่นั่งเปิดหวอหน้าห้องเรียนได้อย่างไร" สำหรับผม ก็แค่เห็นนักศึกษาเป็นลูกเป็นหลานก็เท่านั้น แต่สิ่งยั่วยวนในโลกทางวิชาการมีมากกว่านั้นเยอะ และบางทีจะยิ่งหลบเลี่ยงยากยิ่งกว่าการสร้าง incest taboo ในจินตนาการขึ้นมาหน้าห้องเรียน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักเรียนมนุษยศาสตร์จำนวนมากสนใจวิธีการและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แต่นักสังคมศาสตร์เขาตั้งท่าทำวิจัยกันอย่างไร แล้วหากนักมนุษยศาสตร์จะใช้วิธีการและทฤษฎีแบบสังคมศาสตร์บ้างจะทำอย่างไร