Skip to main content

เพิ่งผ่านมาเพียง 5 เดือนอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะถามว่า หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วขบวนการประชาชนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะลองคิดถกเถียงกันบ้างว่า ขบวนการประชาชนน่าจะไปทางไหนต่อไป

ภายใต้เงื่อนไขการบังคับด้วยด้วยกฎอัยการศึก ในขณะนี้ ก็คงพอจะเห็นได้ไม่ยากว่า ขบวนการประชาชนหลังรัฐประหาร 2557 กำลังเงียบงันและแทบจะเรียกได้ว่าหมดน้ำยาไปเลยทีเดียว เดิมที่เคยเดินขบวนต้านการสร้างเขื่อน ก็เงียบสูญ ที่เคยต้านคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ต้านการนิรโทษกรรมตนเอง ต้านการแต่งตั้งคนในครอบครัว ต้านคนใกล้ชิดดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้านการโยกย้ายข้าราชการอย่างข้ามคืน ต้านอะไรต่างๆ นานา ก็ต้องเงียบงันกันไปหมด หากแต่การเงียบงันนั้นมีนัยเฉพาะบางอย่าง การเงียบงันนั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนขบวนการประชาชนได้ทั้งหมด การเงียบงันนั้นเป็นการเลือกที่จะไม่แสดงออกมากกว่าการถูกกำรายให้เงียบงันหรือไม่ 

แต่คำถามสำคัญยิ่งกว่านั้นคือขบวนการประชาชนจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปหรือไม่ ขบวนการประชาชนก่อนและหลังรัฐประหาร 2557 จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ หากยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว ขบวนการประชาชนจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิมหรือไม่ อดีตผู้สนับสนุนขบวนการ กปปส. ขบวนการพันธมิตรฯ และขบวนการคนเสื้อแดงจะยังคงมั่นคงเหมือนเดิมหรือไม่ การรัฐประหารครั้งนี้มีสาระสำคัญอะไรในการเปลี่ยนแปลงขบวนการประชาชนหรือไม่ ในอีกระดับหนึ่งที่ลึกกว่านั้น ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีพัฒนาการอะไรใหม่ๆ ในขบวนการประชาชนไทยหรือไม่ ความใหม่นั้นไปพ้นจากการรัฐประหารครั้งนี้หรือไม่ แล้วความใหม่นั้นจะข้ามพ้นภาวะกฎอัยการศึกหรืออยู่รอดตลอดจนกลับมาแสดงพลังอีกหลังกฎอัยการศึกอย่างไรหรือไม่

มองย้อนกลับไปตั้งแต่หลังขบวนการคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ2520 ขบวนการประชาชนเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในระบบโลกที่ทุนนิยมและเสรีนิยมเข้าครอบครอง ในประเทศไทย เห็นได้ชัดว่าขบวนการประชาชนในรูปแบบใหม่ซึ่งนำโดยองค์กรพัฒนาเอกชนหรือที่เรียกกันว่า "เอ็นจีโอ" นั้น ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มคนที่แปลงกายมาจากคนในขบวนการคอมมิวนิสต์เดิม เอ็นจีโอกลายมาเป็นทางเลือกของการดำรงชีวิตของคนหนุ่มสาวในทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา เมื่ออาชีพเอ็นจีโอตอบทั้งโจทย์ของอุดมการณ์และการเป็นแหล่งรายได้แก่ผู้ยึดการทำงานเอ็นจีโอเป็นอาชีพ ในทศวรรษ 2520-2530 เอ็นจีโอสามารถเลี้ยงตนเองได้จากเงินช่วยเหลือต่างประเทศ เอ็นจีโอจึงเสนอทางเลือกใหม่ๆ ในแง่ของการพัฒนาสังคมได้อย่างเป็นอิสระจากรัฐ

กระทั่งในระยะหลังทศวรรษ 2540 กล่าวได้ว่าเอ็นจีโอมีบทบาทสูงในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและการตรวจสอบการทำงานของรัฐด้านต่างๆจนกระทั่งถือได้ว่าเอ็นจีโอกลายเป็นสถาบันทางการเมือง ด้วยการเสนอประเด็นและต่อสู้เพื่อสร้างความตระหนักต่อประเด็นต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม เรื่องเพศภาวะและเพศวิถี เรื่องเด็ก เรื่องชุมชน เรื่องแนวทางการพัฒนาประเทศ เอ็นจีโอมีพลังต่อรองในการเมืองไทยสูงขึ้น และกลายเป็นพลังสำคัญของการเคลื่อนไหวบนท้องถนนในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับเนื่องมาได้ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเอ็นจีโอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชน หากจะประเมินเอ็นจีโอ ก็ควรประเมินในภาพรวมที่กว้างกว่านั้น ในภาพกว้างแล้ว ขบวนการประชาชนไทยในทศวรรษ 2550 มีความซับซ้อนหลายประการ

ประการแรก ขบวนการประชาชนไทยจำนวนมากกลายสภาพไปเป็น "ขบวนการประชาชนของรัฐ" เพราะเป็นขบวนการประชาชนที่แบมือขอเงินรัฐ ผ่านการเขียนโครงการขอแหล่งทุนขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นอิสระจากการตวจสอบของประชาชนองค์กรหนึ่ง องค์กรนี้ไม่ได้ทำรายได้อะไรของตนเอง หากแต่ผันเอาเงินภาษีของประชาชนมากระจายให้เอ็นจีโอที่อยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ของตน ขบวนการประชาชนและหน่วยงานของรัฐจึงเริ่มกำกวม แยกไม่ขาดจากกัน จนทำให้บางครั้งบรรดาคนในขบวนการประชาชนเองก็หลงลืมไปแล้วว่า ตนเองกำลังเสนอทางเลือกจากข้อเสนอกระแสหลักของรัฐ หรือกำลังรับใช้อุดมการณ์หลักของรับในอีกลักษณะหนึ่งกันแน่ ที่น่าเป็นห่วงคือ องค์กรที่เป็นแหล่งทุนนี้ย่อมมีข้อเรียกร้องของตนเอง ทำให้เอ็นจีโอที่แบมือขอเงินรัฐไม่สามารถทำงานที่เป็นอิสระจากข้อเรียกร้องเหล่านั้น ซึ่งหลายครั้งก็มีแนวโน้มสะท้อนค่านิยมอนุรักษนิยมและคับแคบขององค์กรอุปถัมภ์นั้นได้

ประการต่อมา"ขบวนการประชาชนแยกขาดกับรัฐสภา" ขบวนการประชาชนไทยส่วนหนึ่งยังมีความแยกขาดกับการเมืองในระบบรัฐสภาหรือเป็นเอกเทศจากการเมืองในระบบรัฐสภาข้อนี้ดูได้จากตัวอย่างจากการนำเสนอรายงานในการประชุมไทยศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมื่อวันที่ 17-19 ตุลาคมที่ผ่านมา มีงานศึกษา 3 ชิ้น ที่ชี้ให้เห็นถึงขบวนการประชาชนในทศวรรษ 2550 คือขบวนการนิติราษฎร์ ขบวนการต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ และขบวนการกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง ขบวนการแรกพยายามแยกตัวออกจากนักการเมือง พยายามสื่อให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวทางกฎหมายของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง และเคลื่อนไหวโดยลำพัง ขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา

ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการที่ประเด็นข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในระดับถึงรากถึงโคนจึงทำให้นักการเมืองเองก็ขลาดกลัวที่จะเข้าร่วมด้วย ในขณะที่อันที่จริงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าขบวนการประชาชนที่สนับสนุนนิติราษฎร์นั้นเป็นขบวนการที่สนับสนุนพรรคการเมืองด้วย ประเด็นนี้จะกล่าวถึงให้ชัดขึ้นในตอนท้าย ส่วนขบวนการที่สองพยายามยับยั้งโครงการเขื่อนแม่วงก์ โดยไม่อาศัยกระบวนการทางการเมืองแบบรัฐสภา ยิ่งกว่านั้น นักวิจัยที่นำเสนอยังชี้ว่า การเคลื่อนไหวต้านเขื่อนแม่วงก์เป็นขบวนการที่อาศัยโซเซียลมีเดียเป็นหลักด้วยซ้ำ จึงขาดการเชื่อมโยงกับการเมืองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

ส่วนการเรียกร้องสิทธิของชนบนที่สูงในขณะนี้กลับอาศัยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะอาศัยช่องทางการเมืองในระบบรัฐสภา เพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่มชนที่สูง

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ชี้ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขบวนการประชาชนไทยรังเกียจการเมืองระบอบรัฐสภา และแม้ว่าจะสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดก็กลับส่งเสริมภาพลักษณ์ที่เลวร้ายของการเมืองในระบบรัฐสภา หรืออาจมองอีกด้านหนึ่งได้ว่า การเมืองในระบบรัฐสภาปิดช่องทางที่จะให้ขบวนการประชาชนได้เข้าถึงทำให้ขบวนการประชาชนตัดขาดจากการเมืองระบบรัฐสภา

ประการที่สามสืบเนื่องจากข้างต้น เราจึงมี "ขบวนการประชาชนเลี้ยวขวา" ด้วยความที่เขาคิดว่า และข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นนั้นว่า การเมืองระบบรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งของขบวนการประชาชนได้ ขบวนการประชาชนไทยจึงมีโอกาสที่จะกลายเป็นขบวนการที่จับมือกับชนชั้นนำอนุรักษนิยมกลุ่มน้อย และกลายเป็นขบวนการประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเสียเองได้ และดังนั้น เอ็นจีโอก็ไม่จำเป็นต้องก้าวล้ำสมัยไปกันได้กับการเมืองที่ก้าวหน้าไปสู่การสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสมอไปข้อนี้อาจเปรียบเทียบกับในอดีตตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขบวนการประชาชนที่ชนชั้นนำอนุรักษนิยมมีส่วนสนับสนุนให้พัฒนาขึ้นมานั้นก็กลับเป็นขบวนการประชาชนเลี้ยวขวาที่นำมวลชนปิดล้อมและสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ใกล้เข้ามาในปัจจุบัน ในช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเอ็นจีโอหลายกลุ่มหลายคนเข้าร่วมเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร คนเหล่านี้ยอมดูดายกับการสังหารประชาชนโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ในแง่นี้ ขบวนการประชาชนในปัจจุบันจึงไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐเสมอไป หากแต่ขบวนการประชาชนไทยกลับกลายเป็นขบวนการที่มุ่งเข้าสู่อำนาจรัฐ สนับสนุนอำนาจรัฐบางกลุ่ม และยอมรับการยึดอำนาจรัฐด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือกระทั่งสนับสนุนการล้มการเลือกตั้ง ผลสุดท้ายจึงลงเอยแบบที่เห็นและต้องอยู่ร่วมกันไปในขณะนี้ คือขบวนการประชาชนที่โอนอำนาจให้ทหาร แล้วคิดว่าตนจะได้เข้ามาร่วมปฏิรูป แต่กลับทำลายกระบวนการประชาธิปไตย ทำลายการมีส่วนร่วมทางการเมือง ยอมดูดายเพิกเฉยกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประการที่สี่ "ขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง" ที่เห็นได้ชัดคือขบวนการ กปปส. และขบวนการคนเสื้อแดง ในส่วนของขบวนการ กปปส. ซึ่งแม้ว่าจะเป็นขบวนการที่แยกไม่ออกจากพรรคการเมือง แต่ในระดับหนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นพัฒนาการก้าวที่พรรคการเมืองเองมีส่วนสร้างพลังประชาชนนอกระบบการเมืองแบบรัฐสภาผ่านการเลือกตั้ง

หากแต่ว่าขบวนการ กปปส. กลับนำพลังไปใช้ในการสนับสนุนอำนาจนอกระบบรัฐสภา ล้มการเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาไปในที่สุด

อีกขบวนการหนึ่งที่ต้องถือว่าเป็นขบวนการประชาชนลักษณะนี้คือขบวนการ"คนเสื้อแดง" ถึงแม้จะมีความพยายามปรามาสกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นขบวนการที่ถูกจัดตั้งโดยพรรคการเมือง หากแต่มีข้อเท็จจริงหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้นสนับสนุนแนวทางของพรรค หากแต่ก็มีความเป็นเอกเทศของตนเอง เป็นต้นว่า ในการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนข้อเสนอให้แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของนิติราษฎร์ ขบวนการคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเลือกสนับสนุนการเสนอขอแก้ไข แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะคัดค้านการแก้ไขอย่างเต็มที่ ยิ่งกว่านั้น ในการเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม "ฉบับสุดซอย" ของพรรคเพื่อไทยนั้น ขบวนการคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็คัดค้านอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์และผู้สนับสนุนเขา หรือแม้แต่ นปช. ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นมวลชนหลักของพรรคเพื่อไทย ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ดังกล่าว

จึงกล่าวได้ว่า ขบวนการคนเสื้อแดงเป็นขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง หากแต่มีอุดมการณ์ทางการเมืองในบางลักษณะที่เป็นเอกเทศของตนเอ

หลายคนปรามาสว่าขบวนการประชาชนจบสิ้นแล้วหลังการรัฐประหารบางคนตั้งคำถามอย่างหมดหวังว่า ขบวนการประชาชนอย่างเสื้อแดง เสื้อเหลือง กปปส. (ไม่ว่าเราจะนิยมชมชอบพวกเขาหรือไม่ก็ตาม) จบสิ้นแล้วหลังการรัฐประหาร แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้วเราจะเห็นความหลากหลายของขบวนการประชาชน ที่ต่างก็มีแนวทางที่อาจขัดแย้งกัน มีหลักการในทางการเมืองแตกต่างกัน ขบวนการประชาชนไทยในทศวรรษ 2550 ไม่ได้มีแต่เอ็นจีโอ ไม่ได้มีเฉพาะขบวนการที่แยกขาดกับการเมือง ไม่ได้มีเฉพาะเอ็นจีโอเลี้ยวขวา แต่ยังมีขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง  

ในจำนวนนี้ ขบวนการประชาชนที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองน่าจะเป็นมิติใหม่ของขบวนการประชาชนในประเทศไทย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงตนได้ภายใต้กฎอัยการศึก หากแต่พวกเขาได้เติบโตตั้งมั่นขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว ลำพังการโฆษณาชวนเชื่อหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงก็ไม่สามารถกล่อมเกลาหรือบังคับให้พวกเขากลับไปหลับใหลงมงายอย่างเดิมได้อีกต่อไป  

ในทศวรรษต่อไปข้างหน้าหากขบวนการประชาชนจะยังคงพลังสร้างสรรค์สังคมต่อไป ก็น่าที่จะต้องปรับทิศทางการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับการพัฒนาประชาธิปไตยให้มากขึ้น กล้าและมีศรัทธาที่จะเชื่อมโยงตนเองเข้ากับพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภามากขึ้น หาไม่แล้วขบวนการประชาชนก็อาจจะทำได้แค่เพียงทอดสะพานให้กับการสืบทอดอำนาจของชนชั้นนำอนุรักษนิยม กลายเป็นขบวนการประชาชนเลี้ยวขวา ที่ยอมแลกการสูญเสียสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพียงหวังว่าตนจะได้ส่วนแบ่งอำนาจจากชนชั้นนำกลุ่มน้อย

(ที่มา:มติชนรายวัน 4 พ.ย.2557)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อโต้แย้งต่อความเห็นผมจากของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่ลงในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=&subcatid=) ย้ำให้เห็นชัดถึงความอับจนของกรอบคิดของคนกลุ่มนี้ต่อไปนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้ามประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวมเลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทัศนะของนายแพทย์ที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงความคิดคับแคบของผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มักใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตผู้คน บนความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่อยากรับผิดชอบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน และบนกรอบข้ออ้างเรื่องคุณธรรมความดีที่ยกตนเองเหนือคนอื่น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แทนที่จะเถียงกับอีกท่านหนึ่งที่วิจารณ์ผมต่อหน้ามากมายเมื่อวาน ผมขอใช้พลังงานเถียงกับข้อเสนอล่าสุดของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีจากข่าวในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354935625&grpid=01&catid=&subcatid=) ดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นึกไม่ถึงและนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมคนเปิดร้านขายหนังสือในปลายศตวรรษที่ 20 - ต้น 21 จะมีความคิดแบบนี้ได้ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาขายบ้างเลย หรือนี่แสดงว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยจรรโลงจิตใจนายทุนบางคนขึ้นมาได้เลย*
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่ออ่านข่าวแอร์โฮสเตสที่เพิ่งถูกให้ออก ผมมีคำถามหลายข้อ ทั้งในมิติของโซเชียลมีเดีย hate speech และสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ดี ขอเคลียร์ก่อนว่าหากใครทราบจุดยืนทางการเมืองของผม ย่อมเข้าใจดีว่าความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่เอนเอียงไปในทางเดียวกับพนักงานสายการบินคนนี้แต่อย่างใด ข้อสังเกตคือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขณะกำลังนั่งกินหอยแครงลวกอยู่เวลานี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำพูดของนักวิชาการกัมพูชาคนหนึ่ง ที่เคยนั่งต่อหน้าอาหารเกาหลีจานพิเศษ คือหนอนทะเลดิบตัดเป็นชิ้นๆ ขยับตัวดึบๆ ดึบๆ อยู่ในจานแม้จะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ตอนนั้น ผมบ่ายเบี่ยงไม่กล้ากินอยู่นาน แม้จะรู้ว่าเป็นอาหารพิเศษราคาแพงที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีสรรหามาเลี้ยงต้อนรับการมาเกาหลีครั้งแรกของพวกเราหลายคน เพื่อนกัมพูชาบอกว่า "กินเถอะพี่ หอยแครงลวกในเมืองไทยน่ากลัวกว่านี้อีก" ผมจึงหาเหตุที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมนั่งดูบันทึกรายการ The Voice Thailand (เดอะวอยซ์) เป็นประจำ แม้ว่าจะเห็นคล้อยตามคำนิยมของโค้ชทั้ง 4 อยู่บ่อยๆ แถมยังแอบติดตามความเห็นเปรี้ยวๆ ของนักเขียนบางคนที่ชอบเรียกตนเองสวนทางกับวัยเธอว่า "ป้า" ซึ่งหมดเงินกดโหวตมากมายให้นักร้องหนุ่มน้อยแนวลูกทุ่ง แต่ผมไม่ได้รับความบันเทิงจากเดอะวอยซ์เพียงจากเสียงเพลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมพยายามถามตัวเองว่า การจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย "เสธ.อ้าย" จะมาจากเหตุผลประการใดบ้าง แต่ผมก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เข้าร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้ายจะมีเหตุผลหรือไม่ หรือหากมี พวกเขาจะใช้เหตุผลชุดไหนกันในการเข้าร่วมชุมนุม ยังไงก็ตาม อยากถามพวกคุณที่ไปชุมนุมว่า พวกคุณอยากให้ประเทศเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (20 พฤศจิกายน 2555) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญไปบรรยายในงานสัมมนา "การเมืองเรื่องคนธรรมดา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอตัดส่วนหนึ่งของบทบรรยายของผมที่ใช้ชื่อว่า "การเมืองวัฒนธรรมดา: ความไม่ธรรมดาของสามัญชน" มาเผยแพร่ในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์