Skip to main content

หลายวันมานี้ มีนักคิดหลายๆ คนเสนอวิธีทำความเข้าใจสังคมไทยใหม่ๆ มากมาย หลายคนพยายามไม่ตัดสินว่านี่คือการถอยหลังหรือย้อนรอยกลับไปในอดีต เพราะนักศึกษาประวัติศาสตร์สังคมย่อมทราบดีว่า สังคมเปลี่ยนแปลงเสมอ และในเมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนไป เราจะเข้าใจสังคมปัจจุบันอย่างไร ผมคนหนึ่งล่ะที่พยายามไม่คิดว่านี่เป็นการ "ถอยหลัง" หรือซ้ำรอยอดีตอย่าง deja vu 

 
หากพิจารณาอะไรหลายๆ อย่างในปัจจุบัน นักวิเคราะห์สังคมบางคนอาศัยคำอธิบายที่เคยใช้อธิบายสังคมไทยราวกับว่าจะใช้ได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น คำเรียกกลุ่มการเมืองฝ่ายหนึ่งว่าอนุรักษ์นิยม อีกฝ่ายหนึ่งว่าก้าวหน้า/ประชาธิไตย/เสรีนิยม หรือแยกฝ่ายขวา-ฝ่ายซ้าย หรือบางคนมองสังคมไทยขณะนี้ว่าอยู่ในภาวะคล้ายยุคสงครามเย็น หรือแม้แต่ใช้คำว่าทุนสามานย์ กรอบนักการเมืองคอร์รัปชั่น กรอบคนส่วนใหญ่ไร้การศึกษาจึงยังเลือกตั้งไม่ได้ ฯลฯ นักวิชาการหลายคนระมัดระวังในการใช้คำว่าสถาบันกษัตริย์ ที่ต้องอธิบายกันให้เข้าใจอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
 
กรอบความคิดเหล่านี้โลดเแล่นเป็นคำอธิบายสังคมไทยปัจจุบัน ทั้งในฝ่ายที่ต้องการเน้นความสงบเหนือสิทธิเสรีภาพ และฝ่ายที่ต้องการเน้นสิทธิเสรีภาพพร้อมๆ กับความสงบ
 
ทั้งหมดนั้น ผมว่าเราใช้กันจนติดปาก เสมือนเป็นอุปลักษณ์ (metaphor) ใช้อธิบายสังคม ที่ว่าเป็นเหมือนอุปลักษณ์ก็เพราะ เมื่อเราหากรอบการทำความเข้าใจใหม่ยังไม่ได้ เราก็จะกลับไปหยิบกรอบที่คุ้นเคยมาใช้ในการอธิบายสังคม วิธีการแบบนี้ไม่ว่าจะนักวิชาการ นักการเมือง หรือใครต่อใครก็ใช้กันทั้งนั้น แต่สำหรับนักวิเคราะห์สังคม บางทีเราต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่า คำอธิบาย คำศัพท์ กรอบความคิดที่เราใช้นั้น ยังคงตามทันความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอยู่หรือไม่
 
เมื่อไม่กี่วันก่อน นักวิชาการรุ่นเยาว์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า นักวิชาการรุ่นใหญ่คนหนึ่งชวนเสวนาเรื่องการเข้าใจสังคมไทยปัจจุบัน (ขอไม่เอ่ยชื่อทั้งหมดนั่นแหละ ผมไม่ได้ฟังมาเอง แล้วก็ไม่อยากอ้างชื่อเขาโดยเจ้าตัวไม่รู้เห็นได้ อีกอย่างคือ อยากปล่อยให้เป็นความเห็นล่องลอยไปอย่างนี้แหละ) เสนอว่า ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือ normalization (ที่จริงผมควรสงวนความคิดนี้ไว้ เพราะนักวิชาการคนนี้กำลังจะนำความคิดนี้ไปเสนอต่อเป็นงานวิจัย แต่ในเมื่อได้ยินมาแล้วผมก็พยายามคิดต่อ ก็ถือว่าฟังแล้วคิดต่อแล้วมาเล่าสู่กันฟังอีกต่อก็แล้วกัน อาจจะไม่ได้ตรงกับความคิดของเขานักก็ได้)
 
โดยที่ยังไม่ทันได้สนทนากับเขาโดยตรง และไม่ได้ถามรายละเอียดเพิ่มเติม ผมมานั่งนึกดูว่า "การทำให้เป็นปกติ" ที่ว่านั้น นักวิชาการคนนั้นกำลังหมายถึงอะไร
 
การสถาปนาอำนาจของคณะรัฐประหารนี้คือการอ้างอิงอยู่กับเรื่องใหญ่ 2 เรื่อง หนึ่งคือเรื่องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งผมขอละไว้ไม่กล่าวถึง ไม่ใช่เพราะกลัวหรือไม่เห็นความสำคัญ แต่เพราะมีคนรู้ดีอยู่แล้ว ไปอ่านที่เขาเขียนดีกว่า อีกเรื่องคือความสงบเรียบร้อย (ทหารไม่ค่อยใช้คำว่า "สันติภาพ" คงเพราะเป็นคำของฝ่ายประชาชนมากกว่า) ทั้งสองเรื่องอาจเป็นเรื่องเดียวกัน คือทหารถือว่าเป็นเรื่อง "ความมั่นคงของชาติ" ทั้งคู่ แต่ผมว่าทหารแยกความสงบเรียบร้อยของสังคมออกจากการปกป้องสถาบันกษัตริย์
 
ข้ออ้างเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นข้ออ้างเดียวกันกับการรัฐประหารครั้งก่อนหน้านี้ เพียงแต่ครั้งนี้แนบเนียนกว่าเพราะมีกลุ่มการเมืองที่สร้างความไม่สงบขึ้นมา (ก็กลุ่ม กปปส. กับพรรคพวกชื่อย่ออื่นๆ นั่นแหละครับ) เพื่อให้ทหารสถาปนาอำนาจขึ้นมาโดยนัยว่าเพื่อรักษาความสงบ ผมว่านี่เป็นข้ออ้างที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการรัฐประหารครั้งนี้ จนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อใดที่มีการโต้แย้งกันเรื่องการใช้อำนาจของทหาร คนที่สนับสนุนการรัฐประหารครั้งนี้ก็จะยังยืนยันว่า เป็นความจำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อย
 
ประเด็นคือ เมื่อไหร่สังคมไทยจะสงบเรียบร้อยโดยไม่ต้องมีทหาร โดยไม่ต้องมีอำนาจดิบเพื่อรักษาความสงบ ผมกำลังสงสัยว่าภาวะแบบนั้นจะไม่มีในหัวของทหาร สังคมไทยที่ทหารไม่ได้ปกครองจะเป็นสังคมไทยที่ "ไม่สงบเรียบร้อย" เสมอ จินตนาการทางสังคมที่ทหารกำลังสร้างขึ้นแล้วกล่อมเกลาให้สังคมยอมรับในขณะนี้ก็คือ การสร้างสภาวะวิกฤตวุ่นวายไร้ขื่อแปที่คุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลา และดังนั้นหากไม่มีอำนาจปืนแล้ว สังคมก็จะไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้ ทหารกำลังสร้างภาพ (โดยไม่จำเป็นต้องลงมือให้เกิดความรุนแรงจริงๆ) ให้สังคมยอมรับว่า สภาวะวุ่ยวายคือสภาวะปกติ ทำให้ทหารต้องใช้อำนาจพิเศษอย่างเป็นปกติ
 
ความแยบยลของกระบวนการสร้างรัฐเผด็จการคือ การแปลงให้สภาวะยกเว้นกลายเป็นสภาวะปกตินี่แหละ การแปลงกฎอัยการศึกให้เป็น ม. 44 และคำอธิบายอย่างหน้าด้านๆ ของคณะรัฐประหารต่อประชาคมโลกก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้แหละ และเมื่อนานวันเข้า สังคมก็จะยอมรับได้ว่า ไม่ต้องมีเลือกตั้งก็ได้ ไม่ต้องมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ก็ได้ ไม่ต้องตรวจสอบวิจารณ์รัฐบาลก็ได้ ไม่ต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองก็ได้ ขอให้บ้านเมืองสงบสุขก็พอแล้ว อารมณ์นี้ไม่ใช่ไม่มีอยู่จริง ดูคำอธิบายของนักแต่งเพลงชื่อดัง กับนักร้องลูกครึ่งไทย-อังกฤษเชื้อเจ้าก็น่าจะสะท้อนอารมณ์นี้ของสังคมส่วนหนึ่งได้
 
หลายเดือนที่ผ่านมา ผมนั่งทบทวนเหตุการณ์ในประเทศไทยอยู่แทบทุกลมหายใจ แล้วเมื่อฟังการเสวนาทางวิชาการที่ไหนเรื่องใดก็ตาม ก็มักคิดเทียบเคียงกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน อย่างในประเทศเวียดนามที่ผมคุ้นเคย ผมเห็นกระบวนการในการสถาปนาอำนาจเผด็จการของคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามายึดกุมอำนาจารัฐ (state ไม่ใช่ government) อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในที่สุด อำนาจเผด็จการนั้นจะสมบูรณ์เบ็ดเสร็จจนสังคมทั้งสังคม (civil society) ขยับตัวไม่ได้ มันจะใหญ่โตเป็นระบบเสียจนเมื่อสังคมรู้ตัวแล้วว่าถูกอำนาจนั้นครอบงำ สังคมก็แทบจะดิ้นรนหาทางออกไม่ได้อีกต่อไป
 
เมื่อกลับมาคิดในกรอบ state and civil society แล้ว นักทฤษฎีรัฐศาสตร์และสังคมวิทยาการเมืองคงขำว่า กลับมาใช้กรอบเก่านี้อีกแล้วหรือ ก็ไม่รู้สิครับ แต่ที่ผมนึกขำอีกต่อก็คือ คนที่เคยเทศนาเรื่อง "สังคมเข้มแข็ง" ในขณะนี้เขากลับไปช่วยเสริมสร้าง "รัฐเข้มแข็ง" เสียแล้ว รัฐไทยขณะนี้กำลังเข้มแข็งถึงขนาดเข้ามากำหนดวิธีการฉลองเทศกาลสงกรานต์กันแล้ว มีสมัยไหนกันบ้างที่รัฐจะก้าวก่ายกรอบทางวัฒนธรรมอย่างเข้มแข็งโดยไม่ยี่หระใครต่อใครมากเท่านี้ มีสมัยไหนกันที่ผู้นำรัฐบาลและผู้กุมอำนาจสูงสุดของรัฐอยู่ในตัวคนเดียวกัน มีสมัยไหนกันที่คนนี้นั้นจะหยาบคายกับสังคมผ่านการใช้ความกักขฬะกับสื่อมวลชนได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่สมัยเผด็จการเบ็ดเสร็จ 
 
คิดแล้วผมก็หนาวสะท้านขึ้นมา นึกถึงเพลง Dịt Mẹ Cộng Sản ที่วัยรุ่นเวียดนามเรียกกันติดปากว่า DMCS (หาดูวีดีโอได้ไม่ยาก) ที่ผมใช้วิเคราะห์สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมในโลกอินเทอร์เน็ตของเวียดนามเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าอีกหลายปีให้หลัง วัยรุ่นไทยคงตาสว่างแล้วแต่งเพลงทำนองนี้บ้าง แต่เมื่อถึงตอนนั้น ลุงป้าน้าอาที่ช่วยกันสร้างมรดกเผด็จการให้คนรุ่นหลังก็คงเฒ่าชราจนรับผิดชอบในความผิดพลาดของตนเองไม่ได้ หรือไม่ก็กลายไปเป็นผู้ครองอำนาจเผด็จการ กดทับลูกหลานตัวเองต่อไป ส่วนคนที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้ ก็ทยอยลงโลงหรือไม่ก็กลายเป็นผักดิบบนเตียงนอนกันไปหมด ทิ้งมรดกความสงบสุขใต้อำนาจเผด็จการให้ลูกหลานทุกข์ทรมาณอย่างเป็นปกติกันต่อไป
 
 
 
 

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อโต้แย้งต่อความเห็นผมจากของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่ลงในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=&subcatid=) ย้ำให้เห็นชัดถึงความอับจนของกรอบคิดของคนกลุ่มนี้ต่อไปนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้ามประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวมเลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทัศนะของนายแพทย์ที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงความคิดคับแคบของผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มักใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตผู้คน บนความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่อยากรับผิดชอบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน และบนกรอบข้ออ้างเรื่องคุณธรรมความดีที่ยกตนเองเหนือคนอื่น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แทนที่จะเถียงกับอีกท่านหนึ่งที่วิจารณ์ผมต่อหน้ามากมายเมื่อวาน ผมขอใช้พลังงานเถียงกับข้อเสนอล่าสุดของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีจากข่าวในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354935625&grpid=01&catid=&subcatid=) ดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นึกไม่ถึงและนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมคนเปิดร้านขายหนังสือในปลายศตวรรษที่ 20 - ต้น 21 จะมีความคิดแบบนี้ได้ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาขายบ้างเลย หรือนี่แสดงว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยจรรโลงจิตใจนายทุนบางคนขึ้นมาได้เลย*
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่ออ่านข่าวแอร์โฮสเตสที่เพิ่งถูกให้ออก ผมมีคำถามหลายข้อ ทั้งในมิติของโซเชียลมีเดีย hate speech และสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ดี ขอเคลียร์ก่อนว่าหากใครทราบจุดยืนทางการเมืองของผม ย่อมเข้าใจดีว่าความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่เอนเอียงไปในทางเดียวกับพนักงานสายการบินคนนี้แต่อย่างใด ข้อสังเกตคือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขณะกำลังนั่งกินหอยแครงลวกอยู่เวลานี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำพูดของนักวิชาการกัมพูชาคนหนึ่ง ที่เคยนั่งต่อหน้าอาหารเกาหลีจานพิเศษ คือหนอนทะเลดิบตัดเป็นชิ้นๆ ขยับตัวดึบๆ ดึบๆ อยู่ในจานแม้จะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ตอนนั้น ผมบ่ายเบี่ยงไม่กล้ากินอยู่นาน แม้จะรู้ว่าเป็นอาหารพิเศษราคาแพงที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีสรรหามาเลี้ยงต้อนรับการมาเกาหลีครั้งแรกของพวกเราหลายคน เพื่อนกัมพูชาบอกว่า "กินเถอะพี่ หอยแครงลวกในเมืองไทยน่ากลัวกว่านี้อีก" ผมจึงหาเหตุที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมนั่งดูบันทึกรายการ The Voice Thailand (เดอะวอยซ์) เป็นประจำ แม้ว่าจะเห็นคล้อยตามคำนิยมของโค้ชทั้ง 4 อยู่บ่อยๆ แถมยังแอบติดตามความเห็นเปรี้ยวๆ ของนักเขียนบางคนที่ชอบเรียกตนเองสวนทางกับวัยเธอว่า "ป้า" ซึ่งหมดเงินกดโหวตมากมายให้นักร้องหนุ่มน้อยแนวลูกทุ่ง แต่ผมไม่ได้รับความบันเทิงจากเดอะวอยซ์เพียงจากเสียงเพลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมพยายามถามตัวเองว่า การจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย "เสธ.อ้าย" จะมาจากเหตุผลประการใดบ้าง แต่ผมก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เข้าร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้ายจะมีเหตุผลหรือไม่ หรือหากมี พวกเขาจะใช้เหตุผลชุดไหนกันในการเข้าร่วมชุมนุม ยังไงก็ตาม อยากถามพวกคุณที่ไปชุมนุมว่า พวกคุณอยากให้ประเทศเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (20 พฤศจิกายน 2555) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญไปบรรยายในงานสัมมนา "การเมืองเรื่องคนธรรมดา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอตัดส่วนหนึ่งของบทบรรยายของผมที่ใช้ชื่อว่า "การเมืองวัฒนธรรมดา: ความไม่ธรรมดาของสามัญชน" มาเผยแพร่ในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์