Skip to main content

กรณีการออกเสียงชื่อชาว Rohingya ว่าจะออกเสียงอย่างไรดี ผมก็เห็นใจราชบัณฑิตนะครับ เพราะเขามีหน้าที่ต้องให้คำตอบหน่วยงานของรัฐ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงให้ตายตัวเบ็ดเสร็จว่าควรจะออกเสียงอย่างไรกันแน่ ยิ่งอ้างว่าออกเสียงตามภาษาพม่ายิ่งไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลดังนี้ครับ 

1) หากยึดหลักว่าเสียงภาษาพม่าเรียกชื่อชนกลุ่มนี้อย่างไรก็ออกเสียงตามนั้นดังที่ราชบัณฑิตอ้างแล้วล่ะก็ หลักนี้ก็คงใช้กับเฉพาะประเทศพม่าหรืออย่างไร เพราะเพียงแค่ชื่อ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ตรงกับการออกเสียงชื่อชนชาติของเจ้าของภาษาเองแล้ว คนไทยเคยใช้กันอย่างนี้มาจนเคยชินติดปากติดหูแล้ว หากจะให้พยายามไปออกเสียงและเขียนแบบเจ้าของภาษา ก็คงจะโกลาหล  

กรณีโรฮิงญาก็เหมือนกัน ผมเห็นด้วยกับที่มีคนแสดงความเห็นว่า น่าจะออกเสียงและเขียนตามที่เคยทำกันมาอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้สังคมไทยเขารู้จักชนกลุ่มนี้กันมากขึ้นแล้ว คงมีเพียงบางหน่วยงานของรัฐและราชบัณฑิตที่เพิ่งตื่นขึ้นมาสนใจเรื่องนี้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็เลยเพิ่งสนใจว่าจะออกเสียงอย่างไร 

แต่หากจะยืนยันว่าต้องเรียกตามภาษาทางการของประเทศนั้นๆ ถ้าอย่างนั้น ก็คงจะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกชนชาติอีกมากมายในโลกที่คนไทยเรียกอย่างเคยชินอยู่แล้วไปตามการออกเสียงของภาษาที่รัฐบาลใช้เรียกกันมากมาย เช่น ก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเรียกชาวเย้าในเวียดนามตามรัฐบาลเวียดนามว่าชาว "ซาว" เรียกชาวไทในเวียดนามตามภาษารัฐบาลเวียดนามว่า "ถาย" ฯลฯ จะเอาอย่างนั้นก็คงจะวุ่นวายน่าดู 

2) อันที่จริง หากจะราชบัณฑิตจะแสดงบทบาทเป็นผู้รู้ของสังคม ก็ควรจะค้นคว้าดูว่า ชื่อเรียกชนชาตินี้ที่เจ้าของสังคมนี้หรือเจ้าตัวของคนในชนชาตินี้เองเขาเรียกน่ะ เขาเรียกตัวเขาเองว่าอย่างไร มากกว่าจะไปพยายามออกเสียงจากเสียงภาษาพม่า ข้อนี้เป็นประเด็นเรื่องการเมืองของชื่อเรียกชนชาติ  

หากราชบัณฑิตจะไม่สนใจอ่านเอกสารภาษาอังกฤษที่มีข้อเสนอเรื่องนี้มากมายจนลงตัวแล้ว ก็โปรดลองอ่านงานของจิตร ภูมิศักดิ์เรื่อง "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" (พิมพ์ครั้งแรกปี 2519) อ่านดูว่าชื่อเรียกชนชาติมีความเหลื่อมล้ำทางอำนาจแฝงอยู่อย่างไร อย่างชื่อ "ไท" กับชื่อ "สยาม" จิตรสันนิษฐานว่าชื่อแรกเป็นชื่อที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกตนเองอย่างภูมิใจ แปลว่า "คน" ส่วนอีกชื่อหนึ่งน่าจะเป็นชื่อที่คนอื่น เช่นชาวจีน ชาวพม่า เรียกชนกลุ่มนี้ ซึ่งมักจะมีนัยเป็นลบ  

หากเราจะเรียกชื่อใครอย่างเคารพศักดิ์ศรีกัน ก็ควรเรียกชื่อที่เขาอยากให้เรียก มากกว่าจะเรียกชื่อที่คนมีอำนาจเหนือเขาและดูถูกเขาเรียกไม่ใช่หรือ การเมืองเรื่องชาวโรฮิงญาในพม่านั้นเป็นการเมืองของการไม่ยอมรับการมีอยู่อย่างเป็นทางการของกลุ่มชาติพันธ์ุนี้ และจึงมีทั้งการใช้ความรุนแรงจากสังคมและรัฐในการบีบบังคับให้ชาวโรฮิงญาไร้ตัวตน จนทำให้พวกเขาต้องหลบหนีออกนอกประเทศ เราควรเรียกชื่อคนที่ถูกรัฐบาลประเทศนั้นรังแกตามที่รัฐบาลนั้นเรียก หรือเรียกตามที่คนกลุ่มนั้นเขาเรียกตัวเองกันแน่ 

อันที่จริง ถ้ายึดตามหลักข้อนี้ ไม่ใช่เฉพาะชื่อกลุ่มชนในภาษาอื่น ในภาษาไทยเองก็มีชื่อที่เป็นปัญหา ไม่ใช่ชื่อที่เจ้าของชนชาติเขาเรียกตัวเองอยู่มาก เช่น ชื่อ เย้า เจ้าของชนชาติเองเขาจะเรียกตนเองว่า เมี่ยน มากกว่า ส่วนชื่อ แม้ว แม้จะไม่ใช้เรียกกันแล้ว แต่ก็ยังเห็นชอบใช้กันอยู่ในสังคม ชื่อ มูเซอ ก็ควรเปลี่ยนเป็น ล่าหู่  

3) ข้อที่ใหญ่กว่านั้นคือ ปัญหาที่ว่าราชบัณฑิตควรยอมรับบทบาทที่ตนเองเป็นได้เพียงทางเลือกของการใช้ภาษา ไม่ใช่บทบาทของการเป็นผู้บัญญัติกำกับวางหลักเกณฑ์ภาษา รวมทั้งหลักการใช้คำ การสะกด การเขียนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์และภาษาสำเนียงต่างๆ เพราะนี่แสดงให้เห็นถึงการเปิดตัวเองเข้าสู่โลกของการใช้ภาษาที่มีชีวิตชีวา  

ปัญหาหนึ่งของการไล่ตามไม่ทันโลกคือการที่รัฐไทยไม่เข้าใจว่าในโลกนี้มีหลักการใช้ภาษาต่างกับภาษาไทยมากมาย เช่น ในประเทศเวียดนาม ไม่มีการระบุว่าภาษาเวียดนามสำเนียงใดเป็นภาษากลางหรือเป็นภาษามาตรฐาน ข้อนี้ต่างจากประเทศไทย ปัญหาคือเมื่อราชบัณฑิตไทยกำกับการเขียนภาษาเวียดนามในภาษาไทย ก็จะอิงสำเนียงหนึ่ง นั่นก็คืออิงสำเนียงภาษาเหนือ เพราะคงจะถือเอาตามความเคยชินอย่างประเทศไทยว่า ภาษาของคนกลุ่มที่มีอำนาจที่สุดก็น่าจะเป็นภาษามาตรฐาน  

แท้จริงแล้วการเมืองเรื่องภาษาถิ่นในเวียดนามนั้นเปิดกว้างกว่าประเทศไทย รัฐบาลเวียดนามไม่ได้ห้ามใช้ภาษาถิ่นอย่างเป็นทางการแบบประเทศไทย ผู้ประกาศข่าวหรือผู้ประกาศในทีวี วิทยุ ซึ่งทั้งหมดเป็นของรัฐ สามารถใช้ภาษาถิ่นได้เป็นปกติ ดังนั้นหากจะเคารพการออกเสียงแบบคนเวียดนามเอง ก็ควรจะยอมให้มีการเขียนถ่ายเสียงภาษาเวียดนามในภาษาไทยได้หลายสำเนียงของเวียดนามด้วย เพียงแต่ผู้ใช้ควรระบุก่อนว่าจะใช้สำเนียงใด 

แต่ที่ประหลาดคือ แม้ราชบัณฑิตไทยจะอ้างว่าใช้สำเนียงเวียดนามเหนือมาตลอด แต่ไม่ทราบว่าหูของนักภาษาศาสตร์ประจำราชบัณฑิตไทยที่วางกรอบการเขียนภาษาเวียดนามเป็นภาษาไทยจะไม่ดีหรือว่าท่านเหล่านั้นจะภาษาไทยไม่ดีก็ไม่ทราบได้ เพราะกฎการถ่ายเสียงภาษาเวียดนามเป็นภาษาไทยของราชบัณฑิตไทยเพี้ยนทั้งเสียงวรรณยุกต์และเสียงพยัญชนะอยู่หลายที่ทีเดียว อีกทั้งยังไม่คงเส้นคงวาในการออกเสียงว่าจะยึดสำเนียงใด  

ข้อนี้มีรายละเอียดที่ต้องเขียนถึงแยกต่างหากออกไป แต่ในที่นี้เพียงเพื่อต้องการยกตัวอย่างให้เห็นว่า เมื่อภาษาไทยกับภาษาต่างๆ ในโลกแลกเปลี่ยนปนเปกันแล้ว ภาษาไทยก็ไม่สามารถหยุดนิ่งหรืออยู่ใต้การกำกับขององค์กรใดอย่างตายตัวเท่านั้นได้ ซึ่งที่จริงนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับโลกยุคโบราณ ที่ภาษาเปลี่ยนแปลงเสมอเช่นกัน คงมีเพียงยุคหนึ่งเท่านั้นที่ชนชั้นนำสยาม-ไทยพยายามที่จะจำกัด ตีกรอบ การใช้ภาษาให้ตายตัวมากขึ้น 

หากประเทศไทยจะสนใจปัญหาสิทธิมนุษยชน ให้ความสนใจคนกลุ่มชาติพันธ์ุที่ถูกเอารัดเอาเปรียบด้วยหลักมนุษยธรรมในมาตรฐานของชาวโลกสากล การหาชื่อเรียกคนกลุ่มใดๆ ก็ควรจะหาชื่อที่คนกลุ่มนั้นยอมรับเอง ออกเสียงเอง ไม่ดีกว่าหรือ ไหนๆ ก็มีชาวโรฮิงญาอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยแล้ว ราชบัณฑิตจะใช้ความรู้ทางภาษาศาสตร์ กับความถ่อมตนทางมนุษยธรรม เดินไปถามพวกเขาเองสักสิบคนยี่สิบคนว่าเขาออกเสียงเรียกชื่อตนเองอย่างไร แล้วค่อยระบุว่าจะออกเสียงอย่างไร จะดีกว่าไหม

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากผมจะเลิกเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์เสีย ก็คงไม่มีใครใส่ใจอะไร เพียงแต่ผมเองต่างหากที่ยังใส่ใจว่า อาจารย์เคยสอนหนังสือผม และอาจารย์ก็ยังเป็นนักวิชาการรุ่นอาวุโสที่อยางน้อยก็มีศักดิ์ทางวิชาการที่โลกวิชาการในสายอาชีพเดียวกับผมเขายกย่องนับถือกัน ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงไม่ได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันสุดท้ายของการเดินทางในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม คณะเราเดินทางกลับฮานอย แต่เส้นทางที่กลับผ่านดินแดนในตำนานสำคัญที่ผมไม่เคยแวะมาก่อน คือศาลเจ้าหุ่งม์เวือง (Đền Hùng Vương) ที่เชื่อมโยงกับตำนานไข่ร้อยฟองและกำเนิดของกลุ่มชาติพันธ์ุไต
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตลอดการเดินทาง สิ่งหนึ่งที่หนักหนาเสมอคือการดื่มกินกับคนพื้นเมือง ในการเดินทางครั้งนี้ มื้อที่แสนสาหัสที่สุดคือมื้อที่ต้องทั้งประคองตัวเอง ทั้งไม่ให้เสียน้ำใจ และทั้งไม่ให้เพื่อนร่วมทางเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะร่วมทางกันต่อไปได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองไลเป็นเมืองสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์เวียดนาม สยาม และฝรั่งเศส คงเป็นคำถามที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเมืองไลปัจจุบันกำลังกลายเป็นอดีตที่ถูกกลบเกลื่อนลบเลือนไปจนเกือบหมดสิ้น ทั้งจากน้ำเหนือเขื่อน และจากการจัดการปกครองในปัจจุบัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองแถงมนดั่งขอบกระด้ง เมืองคดโค้งเยี่ยงเขาควาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสักเกือบ 15 ปีก่อน ผมไปเสาะหาบ้านนาน้อยอ้อยหนูที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) กับอาจารย์คำจอง นักชาติพันธ์ุวิทยาชาวไตดำ/เวียดนาม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองลา (Sơn La) ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แทบไม่มีใครรู้จักเมืองลาแม้ว่าเมืองนี้จะมีประวัติศาสตร์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดียนเบียนฟู เนื่องจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสใช้เป็นฐานในการปกครองเมืองคนไต แต่เดียนเบียนฟูโด่งดังขึ้นมาจากการที่ฝรั่งเศสแพ้พวกคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างราบคาบ ทำให้คนไม่ได้ทันสนใจว่า ก่อนหน้านั้นฝรั่งเศสปกครองเมืองคนไตอย่างไร แล้วมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่ไหนก่อนที่จะไปอยู่ที่เมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมมาเมืองมุน (Mai Châu, Hoà Bình) ครั้งแรกเมื่อปี 1998 มาเป็นผู้ช่วยวิจัย ตอนนั้นมาเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวมากแล้วเตรียมตัวไม่พอ ยังไม่รู้จักความหนาว เมื่อมาถึงที่นี่ ได้แต่นั่งผิงไฟ ขณะนั้นเมืองมุนเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวมาพัก มีโฮมสเตย์อยู่สัก 5-6 หลัง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทุนมหาวิทยาลัยเกียวโตนี่ดีกว่าที่ผมคิด เดิมทีแค่รู้ว่าได้ทุนมาเพื่อทำวิจัย ซึ่งก็จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตามข้อเสนอขอทุนที่เขียนไปไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ งานที่รับผิดชอบคือเสนองานสักสองครั้ง แล้วพยายามพิมพ์อะไรออกมาก็โอเคแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นทุนชั้นยอด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซนจากเกียวโตไปโตเกียว มีเรื่องราวมากมายที่น่าบันทึกไว้ ณ ที่นี่ แต่เบื้องต้นขอเล่าเพียงตลาด Tsukiji ก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตกใจเหมือนกันที่ Divas Cafe จะเลิกออกอากาศแล้ว อยากบันทึกสั้นๆ ว่าผมดีใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ ที่เคยได้เป็นแขกในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เป็นรายการที่ไปคุยด้วยสนุกมาก พิธีกรรุกเร้ามาก เวลาสั้นจนต้องปรับจังหวะการพูดให้เร็วมาก แถมบางครั้งยังต้องหาจังหวะแย่งพิธีกรพูดอีก