Skip to main content

เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่

เมื่อเคยมาหลายครั้งแล้ว สิ่งที่หายไปก็คือความตื่นเต้นกับสถานที่ต่าง ๆ เกียวโตเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ เป็นเมืองที่จักรพรรดิเคยประทับอยู่ และจนบัดนี้ก็ยังมาประทับอยู่ จึงเป็นเมืองที่มีสถานที่สำคัญ ๆ มากมาย ทั้งวัด ทั้งวัง ทั้งศาลเจ้า ทั้งย่านที่มีลักษณะเด่นทางวัฒนธรรม และจึงเป็นเมืองที่เพื่อนนักวิชาการญี่ปุ่นเล่าว่า ได้รับการลงทุนดูแลด้านการรักษามรดกทางวัฒนธรรมเป็นอย่างดีเยี่ยม ผมว่าน่าจะจริงตามนั้น เพราะสถานที่โบราณเก่าแก่ต่างก็ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพที่แทบจะดูใหม่เอี่ยมอ่องอยู่เสมอ มากี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็นที่ไหนหมอง แต่ละครั้งก็มักจะได้เห็นสถานที่ที่เคยไปเมื่อปีก่อนหน้า หรือสองปีก่อน ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีเสมอ

ก็ด้วยว่ามาหลายครั้งนี่เอง ผมก็มีโอกาสได้ตระเวนเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ มีชื่อเสียงไปแทบจะครบถ้วนทุกที่แล้ว ยังขาดอยู่ไม่กี่แห่ง ที่เมื่อมาอยู่นาน ๆ ก็เลยยิ่งผลัดผ่อนว่า "เอาไว้วันหลังค่อยไป" อยู่ทุกสุดสัปดาห์ แต่การได้มาอยู่นาน ๆ ก็ทำให้เห็นอีกจังหวะชีวิตของผู้คนที่อยู่นอกเส้นทางและพื้นที่นักท่องเที่ยวเด่นชัดขึ้น

เมื่อมาถึงตั้งแต่ต้นปีนี้ (2559) เดือนแรก (มกราคม) ผมต้องพักหอพักนอกมหาวิทยาลัยก่อนหนึ่งเดือน เพราะหอพักของมหาวิทยาลัยเต็ม ที่นี่คงมีปัญหาเรื่องการจัดหาที่พักมากพอสมควร เพราะผมมาทีไรก็มักต้องย้ายที่พักเสมอ บางครั้งใน 15 วันต้องย้ายถึง 3 ที่ก็มี มีนักวิจัยจากออสเตรเลียคนหนึ่งเพิ่งเล่าให้ฟังว่า เขาเองเพิ่งมาถึงและรู้ตัวว่าต้องย้ายที่อยู่ถึง 3 ครั้งกว่าจะลงตัว สำหรับผม ย้ายครั้งเดียวนี่ถือว่าโชคดีแล้วจริง ๆ

ที่พักเดือนแรกเป็นห้องห้องเดียวขนาดแค่วางเตียงนอนคนเดียวได้เตียงหนึ่งก็เกือบเต็ม มีโต๊ะนั่งเล่นตั้งพื้นแบบญี่ปุ่นมุมหนึ่ง มีทีวีขนาดย่อมวางบนชั้นเตี้ย ๆ มุมหนึ่ง มีตู้เย็นย่อม ๆ ตัวหนึ่ง โต๊ะทำงานซึ่งส่วนใหญ่ผมใช้กินข้าวขนาดจิ๋วตัวหนึ่งกับเก้าอี้พับจิ๋วอีกตัว อีกมุมเป็นที่ทำกับข้าวอยู่ในห้องเดียวกันนั่นแหละ อยู่บริเวณหน้าห้องน้ำที่แค่พอวางอ่างอาบน้ำแคบ ๆ อ่างล้างหน้าเล็ก ๆ กับส้วมชักโครก ส่วนครัวมีอ่างล้างจาน พื้นที่เตรียมอาหารกับเตาแก้สที่มีหัวเดียว บริเวณครัวดีหน่อยที่มีชั้นเก็บของพอสมควร ใช้เก็บถ้วยชามแก้วช้อนส้อมกับอุปกรณ์ครัวอื่น ๆ ได้พอสมควรทีเดียว

พื้นที่อีกส่วนคือระเบียงด้านนอก จะเรียกระเบียงก็ไม่ถูกนัก แต่เป็นบริเวณแคบ ๆ บนพื้นคอนกรีต ที่มีประตูเลื่อนเปิดออกไปจากห้องได้ เนื่องจากห้องไม่มีหน้าต่าง ประตูเลื่อนก็เป็นกระจกฝ้า ทางเดียวที่จะรับแสงได้ก็ผ่านกระจกฝ้านี้ แต่ห้องมีม่านสีทึบให้ ทำให้ปิดแล้วมืด สามารถนอนตื่นสายได้พอสมควร เมื่อเปิดบานเลื่อนออกไปก็เป็นพื้นที่แคบ ๆ มีเครื่องซักผ้าวางอยู่เครื่องหนึ่ง เข้าใจว่าคงมีห้องละเครื่อง ซักเสร็จก็ตากราวเหนือเครื่องซักผ้า ในห้องมีตู้เก็บเสื้อผ้า แต่เนื่องจากอยู่เดือนเดียว ส่วนใหญ่ผมก็ใช้กระเป๋าเดินทางนั่นแหละเป็นตู้เสื้อผ้า ไม่ได้ย้ายเสื้อผ้าออกมาใส่ตู้ให้วุ่นวายอะไร

พื้นที่เท่านี้กับการตกแต่งเรียบง่าย รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก้ส ทุกอย่างจะใช้ไม่ใช้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ เป็นเงิน 90,000 เยนเศษ คือร่วมเดือนละ 30,000 บาทไทย เรียกว่าราคาสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยอยู่มาในชีวิต แต่เพราะผมไม่เคยอยู่เมืองใหญ่ ๆ ที่แพง ๆ อย่างนิวยอร์ค หรือซานฟราสซิสโก ผมก็เลยรู้สึกว่าราคานี้ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเมืองอย่างแมดิสัน รัฐวิสคอนซินที่ผมเคยอยู่ ห้องเท่านี้ สภาพอย่างนี้ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแค่เดินสัก 15 นาทีอย่างนี้ อย่างมากก็จ่ายเดือนละ 500 ดอลล่าเท่านั้น ก็สัก 18,000 บาทกว่า ๆ เท่านั้น ถ้าจ่ายเท่านี้แล้วไกลมหาวิทยาลัยออกมาหน่อย ที่ผมอยู่ที่แมดิสันปีที่แล้วก็ต้องได้ห้องขนาด 1 ห้องนอนที่อยู่ได้ทั้งครอบครัวพ่อ-แม่-ลูกสบาย ๆ เลย

กับห้องพักแบบนี้ ที่ดีก็คือทำให้ต้องออกไปนั่งที่ห้องทำงาน ซึ่งมีขนาดและความเพียบพร้อมของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน มีกระทั่งอ่างล้างหน้าในห้องทำงาน ทำให้ผมไปนั่งที่ทำงานแทบทุกวันรวมทั้งเสาร์-อาทิตย์ แม้ไปนั่งเล่น ก็ยังดีกว่านั่งอยู่ที่หอพัก ห้องทำงานผมมีหน้าต่างบานใหญ่ อยู่ชั้นบนสุดของอาคารนั้นคือชั้น 4 แล้วเมืองเกียวโตย่านมหาวิทยาลัยก็แทบไม่มีตึกสูง ทำให้มีมุมมองที่ไกลไปจนเห็นภูเขารอบเมืองเกียวโต ผมก็แปลงห้องทำงานเป็นที่นั่งจิบกาแฟ ห้องทำงานผมมี 3 โต๊ะ มีเก้าอี้ 5 ตัว เป็นโต๊ะ-เก้าอี้สำหรับนั่งจิบชา-กาแฟชุดหนึ่ง ถ้าเบื่อนั่งโต๊ะหนึ่ง ก็ย้ายไปอีกโต๊ะหนึ่ง หรืออย่างมากถ้าเบื่อในห้อง ก็ออกไปเดินหาหนังสือในห้องสมุด หรือไม่ก็ไปเดินเล่นริมแม่น้ำกาโม (Kamo) เมื่อไหร่ก็ได้ แม่น้ำนี้มีน้ำไหลเอื่อย ๆ จากภูเขา มีมุมมองกว้างไกล เป็นสวนสาธารณะตลอดลำน้ำช่วงที่ผ่านเมือง

อยู่นี่แต่ละวัน ตื่นเช้าขึ้นมาถ้าไม่ทำกาแฟดื่มตอนเช้ากับขนมปังปิ้งทาเนยง่าย ๆ ที่หอพัก ก็ถีบจักรยานออกไปหาขนมอบสารพัดจากร้านขนมอบใกล้มหาวิทยาลัย ในระยะ 2 กิโลเมตรนี่มีอย่างน้อย 5 ร้าน การเดินทางแต่ละวันผมอาศัยจักรยาน ซึ่งก็โชคดีมีนักวิชาการไทยรับมรดกต่อมาจากนักวิชาการประเทศไหนอีกกี่ต่อก็ไม่ทราบ จักรยานคันนี้ยังอยู่ในสภาพดีมาก มีอุปกรณ์ครบครัน ผมอาศัยจักรยานนี้เป็นพาหนะหลักสำหรับเดินทางไปไหนมาไหนในเมือง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้เดือนหนึ่งแล้ว เพิ่งได้นั่งรถไฟเพียงครั้งเดียว คือวันที่ต้องไปเจอเพื่อนที่โอซากา นอกนั้นผมก็ถีบจักรยานไปไหนมาไหนตลอด ระยะทางจากหอพักนี่ไปที่ทำงานก็ไม่ถึง 2 กิโลเมตรดีนัก สัก 5 นาทีในอุณหภูมิ 10 เซลเซียสบ้าง ลบ 1 บ้าง 5 องศาเซลเซียสบ้าง ยังไม่ทันหนาวดีหรือยังไม่ทันเหงื่อซึมดีก็ถึงที่ทำงานแล้ว

ตกกลางวัน ถ้าวันไหนไม่มีงานเร่งรีบนัก ผมก็ออกไปหาของกิน แรก ๆ ก็กินที่โรงอาหาร ซึ่งก็สะอาดและราคาย่อมเยากว่ากินร้านข้างนอกมาก แต่หลายวันเข้าก็ชักเบื่อความซ้ำซาก เริ่มรู้สึกถึงความไร้วิญญาณของอาหารในโรงอาหาร จึงค่อย ๆ ขยับไปหาของกินที่อื่นบ้าง หรือไม่ก็ซื้อขนมปังมาเก็บไว้กินตอนกลางวันในห้องทำงานบ้าง ที่ผ่านมาส่วนใหญ่อาหารกลางวันนอกโรงอาหารก็หลากหลาย ตั้งแต่ราเมน โซบะ ไปจนถึงถ้าวันไหนหิว ๆ ก็ข้าวราดแกงกะหรี่เนื้อสักจานนึง หรือบางวันมีอาจารย์พาไปกินข้าว ก็โชคดีได้กินอาหารญี่ปุ่นดี ๆ ที่สั่งเองไม่เป็นสักมื้อหนึ่ง

ตกเย็น ที่ผ่านมาหนึ่งเดือนมีทางเลือกการกินอยู่ 3 ทาง ทางที่หนึ่ง ไปสังสรรค์ ที่ผ่านมามีแทบทุกสัปดาห์ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนี่ต้องได้ไปร้านประเภท izakaya หรือร้านกินดื่มนั่นแหละ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผมเพิ่งมาถึงก็จึงมีคนชวนไปกินข้าวด้วยเพื่อต้อนรับบ่อยอยู่ แต่ส่วนหนึ่งเพราะที่นี่มีการสัมมนาวิชาการบ่อยมาก ถ้านับว่าศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งเดียวที่มีทั้งกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียนการสอน กิจกรรมที่จัดร่วมกับศูนย์ศึกษาอื่น ๆ และสถาบันอื่น ๆ และกิจกรรมที่ศูนย์จัดเองแล้ว สัปดาห์หนึ่ง ๆ มีไม่ต่ำกว่า 2 กิจกรรม บางวันมีถึง 3 กิจกรรม เมื่อจัดกิจกรรมวิชาการที่เคร่งขรึมเสร็จ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องมีงานสังสรรค์แลกเปลี่ยนทางวิชาการที่ไม่เคร่งขรึม คุยเรื่องนอกเรื่อง รวมทั้งเพื่อเพิ่มมิตรภาพกัน

ทางที่เลือกที่สองคือ ซื้อของกินสำเร็จรูป ถ้าไม่หาซื้อของกินเย็น ๆ อย่างซูชิบ้าง ซาชิมิบ้าง แกล้มเบียร์บ้าง สาเกบ้าง ไวน์บ้าง ผมก็ไปหาของกินร้อน ๆ อย่างราเมน โซบะ (บางทีก็โซบะเย็น) หรือไม่ก็ของกินเล่นแกล้มเบียร์แต่กินแทนมื้ออาหาร อย่างโอโคโนมิยากิ หรือไม่ก็ทาโกะยากิ แต่อาหารนอกบ้านพวกนี้กินไปหลาย ๆ มื้อเข้าก็จะเบื่อรสชาติ แถมมีรสเค็มนำ ผมก็จึงหาทางเลือกที่สาม ก็คือทำกับข้าวกินเอง

ละแวกหอพักที่ผมอยู่มีร้านขายของสดของแห้งอยู่ 3 ร้าน ร้านหนึ่งเน้นขายผัก อีกร้านหนึ่งเป็นร้านที่มีสาขามากมาย แต่ร้านที่ผมไปประจำทั้งเพราะเป็นทางผ่านทุกวันและมีของให้เลือกมาก สด ราคาไม่ต่างจากอีกสองร้านมากคือร้าน Sun Plaza แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้อยากทำกับข้าวกินเองนอกจากเบื่อรสชาติอาหารนอกบ้านแล้วก็คือ แรงจูงใจจากคุณภาพและราคา อาหารสดที่นี่สด สะอาด น่าไว้ใจมาก และของสดเหล่านี้ก็ราคาถูกกว่าซื้อกินปรุงเสร็จแล้วจากที่ร้านอาหารมากด้วย หลัง ๆ มาผมถือเป็นเรื่องสนุกที่แต่ละวันนั่งคำนวนค่าใช้จ่ายว่าวันนี้ใช้น้อยกว่าเมื่อวานเท่าไหร่ อีกส่วนที่ทำให้อยากทำกับข้าวกินเองคือเหตุที่หอพักมีเครื่องครัวให้พอสมควร ทั้งหม้อ กะทะ ถ้วย จาน ตะหลิว ฯลฯ เมื่อไม่ต้องเริ่มต้นใหม่มากนักก็จึงนึกอยากทำกินเองขึ้นมา

แรก ๆ ก็ค่อย ๆ สะสมเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่ยากคือจะหาเครื่องปรุงก็ต้องอ่านสลากออก แต่ผมไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ก็อาศัย app แปลบ้าง อาศัยเดาเอาบ้าง อาศัยถามพนักงานบ้าง อาศัยถามเพื่อนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นและเคยอยู่เกียวโตผ่านโลกโซเชียลมีเดียข้ามน้ำข้ามทะเลกลับไปที่เมืองไทยบ้าง ก็ได้เครื่องปรุงมาพอสมควร

จากนั้นผมก็ไปจ่ายกับข้าวแทบทุกวัน ซื้อแค่พอทำกินมื้อหรือสองมื้อ จะได้มีของสดกินเสมอ และร้านก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อมาเก็บให้เสียของ ผมพบว่าคนมาจ่ายกับข้าวกันทีละเล็กน้อยแบบที่ผมทำเหมือนกัน ที่จะมาจ่ายทีละรถเข็นใหญ่ ๆ แบบที่อเมริกานั้นไม่เห็นมีใครทำกัน แล้วผมก็ได้ลิ้มรสความสด สะอาด ของสารพัดผัก เห็ดนานาชนิด เต้าหู้หลายแบบ อาหารทะเลโดยเฉพาะปลาสด ที่ผมมักซื้อมาย่างด้วยกะทะมีตะแกรงรอง และยังได้เคยลงทุนซื้อเนื้อวัวผลิตในญี่ปุ่นราคาแสนแพงมาย่างกินเต็มชิ้นแล้วด้วย

ทางเข้าหอพักนี้มีสองทาง ทางหนึ่งจะผ่านตรอกเล็ก ๆ ที่รถยนต์เข้าไม่ได้ ผมชอบมองโคนเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง ที่ไม่รู้ใครเอาโตริอิหรือประตูผีอันเล็กมาวางไว้ ทำให้เสาไฟฟ้านั่นกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป อีกทางเข้าหนึ่งจะผ่านบ้านเล็ก ๆ เรียงรายติดกันหนาแน่น มีบ้านหลังหนึ่งตั้งเก้าอี้เตี้ยสีแดงไว้หน้าประตูบ้าน ซึ่งเป็นประตูไม้ที่ไม่เคยเห็นใครเข้าออกเลย แล้วเก้าอี้นี่ก็ไม่เคยเห็นมีใครนั่งด้วย ไม่ว่าจะแดดออก หิมะตก หนาวเหน็บ หรือฝนตกอย่างไร ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นในสภาพสะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการดูแลอย่างดี

ละแวกบ้านแถวหอพักยังมีโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ทุก ๆ เช้าผมจะได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นในสนามทรายขนาดใหญ่ บางวันผมก็แอบชะโงกหน้าดูจากระเบียงหลังห้อง บางวันก็ถูกปลุกด้วยเสียงเพลง Water Music ของ George Frideric Handel คีตกวียุคบารอค นั่นแสดงว่าเป็นเวลาเกือบ 9 โมงเช้า คือเวลาใกล้เข้าเรียนของนักเรียนแล้ว

อีกสองวันผมต้องย้ายจากที่นี่แล้ว ที่อยู่ใหม่เป็นหอพักของมหาวิทยาลัย อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย คงมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่น้อยไปกว่าที่หอพักนี้ แต่เมื่อไปดูสถานที่แล้ว ผมเดาว่าผมคงคิดถึงหอพักที่อยู่ขณะนี้พอสมควรทีเดียว ส่วนหนึ่งเพราะคุ้นเคยกับละแวกบ้านแถวนี้แล้วพอสมควร แต่ก็ผมคงต้องกลับมาหาซื้อของที่ร้านเดิมแถวนี้อยู่ดี แม้จะออกนอกเส้นทาง ก็ไม่ไกลนัก แล้วบนเส้นทางจากห้องทำงานไปหอพักใหม่ ซึ่งก็แค่ 500 เมตร ก็ไม่มีร้านขายของสดแบบนี้อยู่เลย แล้วผมคงกลับมาหาของกินที่เคยกินและที่เล็ง ๆ ไว้แต่ยังไม่ได้กิน แต่เมื่อถึงตอนนั้น ผมคงมีประสบการณ์ประจำวันใหม่ ๆ มาบันทึกอีก

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อโต้แย้งต่อความเห็นผมจากของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่ลงในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=&subcatid=) ย้ำให้เห็นชัดถึงความอับจนของกรอบคิดของคนกลุ่มนี้ต่อไปนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้ามประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวมเลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทัศนะของนายแพทย์ที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงความคิดคับแคบของผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มักใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตผู้คน บนความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่อยากรับผิดชอบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน และบนกรอบข้ออ้างเรื่องคุณธรรมความดีที่ยกตนเองเหนือคนอื่น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แทนที่จะเถียงกับอีกท่านหนึ่งที่วิจารณ์ผมต่อหน้ามากมายเมื่อวาน ผมขอใช้พลังงานเถียงกับข้อเสนอล่าสุดของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีจากข่าวในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354935625&grpid=01&catid=&subcatid=) ดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นึกไม่ถึงและนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมคนเปิดร้านขายหนังสือในปลายศตวรรษที่ 20 - ต้น 21 จะมีความคิดแบบนี้ได้ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาขายบ้างเลย หรือนี่แสดงว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยจรรโลงจิตใจนายทุนบางคนขึ้นมาได้เลย*
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่ออ่านข่าวแอร์โฮสเตสที่เพิ่งถูกให้ออก ผมมีคำถามหลายข้อ ทั้งในมิติของโซเชียลมีเดีย hate speech และสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ดี ขอเคลียร์ก่อนว่าหากใครทราบจุดยืนทางการเมืองของผม ย่อมเข้าใจดีว่าความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่เอนเอียงไปในทางเดียวกับพนักงานสายการบินคนนี้แต่อย่างใด ข้อสังเกตคือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขณะกำลังนั่งกินหอยแครงลวกอยู่เวลานี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำพูดของนักวิชาการกัมพูชาคนหนึ่ง ที่เคยนั่งต่อหน้าอาหารเกาหลีจานพิเศษ คือหนอนทะเลดิบตัดเป็นชิ้นๆ ขยับตัวดึบๆ ดึบๆ อยู่ในจานแม้จะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ตอนนั้น ผมบ่ายเบี่ยงไม่กล้ากินอยู่นาน แม้จะรู้ว่าเป็นอาหารพิเศษราคาแพงที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีสรรหามาเลี้ยงต้อนรับการมาเกาหลีครั้งแรกของพวกเราหลายคน เพื่อนกัมพูชาบอกว่า "กินเถอะพี่ หอยแครงลวกในเมืองไทยน่ากลัวกว่านี้อีก" ผมจึงหาเหตุที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมนั่งดูบันทึกรายการ The Voice Thailand (เดอะวอยซ์) เป็นประจำ แม้ว่าจะเห็นคล้อยตามคำนิยมของโค้ชทั้ง 4 อยู่บ่อยๆ แถมยังแอบติดตามความเห็นเปรี้ยวๆ ของนักเขียนบางคนที่ชอบเรียกตนเองสวนทางกับวัยเธอว่า "ป้า" ซึ่งหมดเงินกดโหวตมากมายให้นักร้องหนุ่มน้อยแนวลูกทุ่ง แต่ผมไม่ได้รับความบันเทิงจากเดอะวอยซ์เพียงจากเสียงเพลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมพยายามถามตัวเองว่า การจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย "เสธ.อ้าย" จะมาจากเหตุผลประการใดบ้าง แต่ผมก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เข้าร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้ายจะมีเหตุผลหรือไม่ หรือหากมี พวกเขาจะใช้เหตุผลชุดไหนกันในการเข้าร่วมชุมนุม ยังไงก็ตาม อยากถามพวกคุณที่ไปชุมนุมว่า พวกคุณอยากให้ประเทศเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (20 พฤศจิกายน 2555) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญไปบรรยายในงานสัมมนา "การเมืองเรื่องคนธรรมดา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอตัดส่วนหนึ่งของบทบรรยายของผมที่ใช้ชื่อว่า "การเมืองวัฒนธรรมดา: ความไม่ธรรมดาของสามัญชน" มาเผยแพร่ในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์