Skip to main content

จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง

เมื่อออกจากเมืองซอแล้วผ่านมายังที่ตั้งตัวจังหวัดลายเจิวแห่งใหม่ ผมแทบจำไม่ได้ว่าเมืองลายเจิวใหม่เป็นอย่างไร เพราะถนนขนาดใหญ่สายใหม่ที่ตัดผ่านด้านหลังของเมืองเป็นถนนเลี่ยงเมืองนั้น ตัดผ่านหลังหมู่บ้านที่เคยมาอาศัยนอนและอาศัยอาหารกินในยามจำเป็นที่ผ่านมาแล้วหาที่พักไม่ได้ ในครั้งนั้นเมื่อสัก 12 ปีก่อน ยังแถมได้พบนักวิชาการท้องถิ่นกับได้ไปสังเกตการณ์พิธีศพ มาปีนี้ไม่มีโอกาสได้แวะเยี่ยมเยียนพวกเขา

เมื่อออกจากตัวจังหวัดลายเจิวใหม่ ผมจำได้ว่าจะต้องถึงตาม เดื่อง (Tam Đường) ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวเย้าอาศัยอยู่ ผมเที่ยวจดจ้องมองหามุมงาม ๆ ของถนนคดเคี้ยวที่เคยลงไปถ่ายรูป แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะถนนใหม่ตัดจากอีกทางหนึ่ง ก็เลยอดทบทวนมุมที่ชื่นชอบไปหนึ่งมุม แต่ระหว่างทางจากนั้น เมื่อผ่านมาแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้จอดรถทักทายชาวเย้าที่นั่งอยู่ริมทาง แต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ ชาวเย้ามานั่งขายของริมถนนน้อยลง และที่นาชาวเย้าแถวนั้นก็ดูรกร้าง อาจจะเพราะผลกระทบจากความหนาวเย็นของฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ที่คงหนาวและแล้งจนทำให้ต้องรอเวลานานกว่าพื้นดินและแหล่งน้ำจะฟื้นฟู

ผ่านตามเดื่องมาอย่างรวดเร็ว ผมมองหาตลาดที่เคยพบเห็นชาวลื้อจำนวนมากเดินไปมาจับจ่ายซื้อของ เมื่อพบว่าเส้นทางเปลี่ยนมาอยู่หลังตลาดอีกแล้ว ผมก็เริ่มกังวลใจ ให้คนขับรถถามหาตลาดเก่า พบว่าเราเพิ่งเลยมาแต่เป็นเส้นทางด้านใน เมื่อวกกลับไปก็ไม่เจอชาวลื้อสักคน ก็เลยถามชาวเวียดแถวตลาดว่าเข้าไปบ้านชาวลื้อไปอย่างไร ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งว่า ชาวเวียดแถบนี้ดูต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวมากขึ้น เปิดเผยพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น

วกไปวนมาสักพักก็เจอกับชาวลื้อและหมู่บ้านลื้อเข้าจนได้ แถมยังได้ทักทายพูดคุยกับพวกเขา เพื่อนร่วมทางผมซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่พบว่าภาษาลื้อสื่อสารกับภาษาเชียงใหม่ด้วยคำศัพท์ได้ค่อนข้างดีแต่เสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ส่วนผมพบว่าภาษาไตดำต่างจากภาษาลื้อที่คำศัพท์ แต่เสียงวรรณยุกต์คล้ายกัน อย่างไรเสีย ก็ช่วยให้สบายใจขึ้นบ้างว่าชาวลื้อยังคงอยู่ที่บ้านชาวลื้อย่านบิ่งญ์ ลือ (Bình Lư) ดังเดิม เพียงแต่ผมอาจมาถึงถิ่นเขาในเวลาที่เขาไม่ได้มาปรากฏตัวในตลาด อย่างไรก็ตาม พวกเขาแต่งตัวเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน

จากนั้นผมก็แค่ลุ้นว่า ก่อนเข้าเมืองถาน จะมองเห็นภูสามเส้าหรือเปล่า แต่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อถนนตัดใหม่พารถขึ้นมาอยู่เหนือภูสามเส้า ส่วนหมู่บ้านด้านล่าง มีการยักย้ายเปลี่ยนที่ทาง การจัดสรรพื้นที่เกิดขึ้นพร้อมกับโรงแปลงไฟฟ้าขนาดย่อม

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไม่ทันได้ไปสำรวจตลาดเมืองถาน เพราะสาละวนอยู่กับการเขียนบันทึกของวันก่อนหน้า แล้วก็ต้องรีบมาหาของกิน ก่อนออกเดินทางต่อไป ความจริงเมื่อคืนก่อนนอน แทนที่ผมจะใช้เวลาเขียน แต่ก็กลับหมดเวาส่วนหนึ่งไปกับการดื่มเบียร์ แต่นั่นก็ดีเหมือนกันเพราะทำให้ได้พูดคุยกับลูกจ้างของร้านอาหารของโรงแรมที่ก็อยากรู้เรื่องราวของพวกเราเช่นกัน ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตส่วนหนึ่งของพวกเด็ก ๆ ที่มารับจ้าง ส่วนหนึ่งมาจากต่างเมือง และส่วนหนึ่งก็เป็นเด็กชาวไตทั้งจากต่างถิ่นและจากในเมืองถานเอง

เด็กคนหนึ่งเล่าว่า ระยะทางที่ผมจะไปข้างหน้าจะได้เจอเขื่อนอีกหลายแห่ง เมื่อหัวค่ำ ก็มีคนขับรถบรรทุกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่มาพักกินข้าว ถามคนรถดูเขาบอกว่าขนวัสดุก่อสร้างเขื่อน กำลังจะขึ้นไปห่า ซาง (Hà Giang) จังหวัดชายแดนเวียดนาม-จีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผมแปลกใจที่รถขนวัสดุก่อสร้างวิ่งขึ้นมาทางนี้ เพราะเขาจะต้องไปผ่านเมืองซาปา (Sa Pa) ผมสงสัยว่าทำไมเขาไม่ขึ้นจากฮานอยแล้วเลียบสำน้ำโลขนานน้ำแดงขึ้นไปห่าซาง หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มาจากฮานอย แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่า กำลังมีการสร้างเขื่อนในจังหวัดห่าซางเช่นกัน

เรื่องราวของการสร้างเขื่อนจึงกลายเป็นประสบการณ์ใหม่บนเส้นทางนี้ของผม ผมจำได้ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อผ่านมาเส้นนี้เป็นครั้งแรก ถนนเลวร้ายมาก หลายแห่งกำลังสร้าง ทำให้รถต้องหยุดรอเป็นชั่วโมงหลายครั้ง เมื่อผ่านมาอีกครั้งก็รู้สึกว่าหมอกจะลงหนา มองแทบไม่เห็นอะไร เพราะหมู่กังจ่ายสูงมาก ฤดูหนาวจะหนาวและหมอกจัดไม่แพ้ซาปา มีเพียงครั้งเดียวที่ผ่านแล้วประทับใจกับเส้นทางนี้เป็นเดือนที่ฟ้าเปิดยิ่งกว่าที่มาคราวนี้เสียอีก คราวนั้นเมื่อได้เห็นนาขั้นบันไดอย่างเต็มตาแล้วก็คิดว่า จะต้องกลับมาเห็นอีกให้ได้

เช้าวันต่อมา ผมตระเตรียมเวลาเพื่อว่าจะให้พอดีกับการผ่านเส้นทางแสนงดงามนี้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือแทนที่จะตื่นตะลึงกับนาขั้นบันได ผมกลับต้องตื่นตะลึงกับ “เขื่อนขั้นบันได” แทน ระหว่างทางเลียบถนนจากเมืองถานขึ้นไปหมู่กังจ่ายจนเลยหมู่กังจ่ายไปสัก 10 กิโลเมตร มีเขื่อนผลิตไฟฟ้ากั้นลำห้วยเป็นระยะ ๆ ถึง 6 เขื่อนด้วยกัน แรกทีเดียวผมสังเกตเห็นว่าน้ำลดลงเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ออกจากเมืองถาน จนเมื่อมาพบกับเขื่อนแรกที่เมืองกิม

จากนั้นเมื่อรถไต่ระดับขึ้นไปสูงอีก ก็พบว่าน้ำค่อย ๆ แห้งลงอีกช่วงหนึ่ง แล้วเราก็พบกับเขื่อนอีกแห่ง จากนั้นเป็นต้นไป สมาชิกที่ร่วมเดินทางมาก็ตั้งข้อสังเกตว่า หากมีน้ำลดระดับอีกก็คงจะมีเขื่อนอีก แล้วเมื่อรถวิ่งไปอีกราว 20 กิโลเมตร น้ำก็เริ่มแห้งลง ๆ แล้วก็พบกับเขื่อนแห่งที่สาม ถึงตอนนั้นผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่า นาขั้นบันไดกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเขื่อนที่สร้างในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ของลำน้ำ

 

เขื่อนเว้นช่วงไปอีกไกลทีเดียว ปล่อยให้พื้นที่นาขั้นบันไดที่ยังคงความงามเหนือจริงรักษาตัวรอดมาได้อีกระยะหนึ่ง พวกเราหยุดที่หนึ่งที่ผมเองเผอิญมองลอดบ้านเรือนริมทางผ่านไปยังนาขั้นบันไดในพื้นที่ขนาดใหญ่ทอดตัวจากถนนพาดผ่านไหล่เขาทั้งลูกลงไปยังลำธารด้านล่าง พวกเราถือวิสาสะเดินผ่านเรือนชาวม้งเข้าไปชื่นชมความงาม

 

 

ผมทักชาวม้งคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ด้วยภาษาเวียดแปลว่า “นาสวยมากเลยครับ” เพื่อนบ้านของเรือนที่พวกเราถือวิสาสะเข้าไปขอพื้นที่ชมนาตอบกลับมาว่า “สวยแน่นอนอยู่แล้ว” พี่เหี่ยนคนขับรถบอกผมว่า “คุณนี่ช่างรู้จริง ๆ ว่าอะไรดี ๆ ของเวียดนามอยู่ที่ไหน ผมเองคนเวียดแท้ ๆ ยังไม่รู้เลย” แล้วพี่เหี่ยนก็ระดมถ่ายภาพด้วยกล้องของแก แกกลายเป็นนักท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับพวกเรา

 

จากนั้นผม ผมเริ่มระแวงว่านาขั้นบันไดตรงเหลี่ยมมุมที่ผมเคยเห็นจะยังอยู่หรือเปล่า หรือถูกเขื่อนขั้นบันไดลบเลือนไปหมดแล้ว ในบริเวณน้ำเหนือเขื่อนที่ผ่านมา ผมเห็นร่องรอยของนาขั้นบันไดที่ถูกน้ำท่วม ที่นาหลายแห่งในที่สุ่มก็เหมือนเคยถูกน้ำท่วมแล้วขณะนี้ถูกทิ้งร้างไป จากนั้นก่อนเข้าเมืองเล็กน้อย เราพบกับเขื่อนแห่งที่สี่ แล้วหลังจากเขตเมือง ก็มีเขื่อนอีกเขื่อนเป็นเขื่อนที่ห้า ซึ่งมีอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเขื่อนทั้งหมดที่เพิ่งผ่านมา เขื่อนแห่งที่ห้านี้ทำให้กริ่งเกรงใจที่สุดว่า นาขั้นบันไดจะหายไปเกือบหมดในที่สุดหรือไม่

 

เมื่อพ้นจากเขื่อนที่ห้านี้ น้ำก็ค่อย ๆ แห้งอีกจนพบว่ากำลังมีการก่อสร้างเขื่อนอีกแห่งเป็นจุดที่หก แต่จากนั้นก็ยังได้เห็นนาขั้นบันไดที่เคยเห็นอีกช่วงเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่เส้นทางจะไต่ระดับขึ้นสูงจนกลายเป็นพื้นที่ของสนสามใบและมองไม่เห็นลำห้วยอีกต่อไป

 

 

ว่ากันว่าเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเป็นพลังงานที่ถูกที่สุด แล้วถ้าไม่มีเขื่อน ก็ไม่มีไฟฟ้าพอสำหรับการลงทุน แต่เขื่อนที่กั้นลำน้ำในหุบเขาที่คนยากจนจำนวนหนึ่งอาศัยทำกินอยู่นี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ผมก็ไม่รู้คำตอบ คำถามหนึ่งที่เพื่อนร่วมทางตั้งอย่างน่าสนใจคือ เขื่อนเหล่านี้ใครเป็นคนลงทุน ถ้าที่คนขับรถรู้มาไม่ผิด คำตอบที่ได้จากพี่เหี่ยนคือเขื่อนเหล่านี้ลงทุนโดยเอกชน แล้วส่งกระแสไฟให้รัฐจัดการ อย่างน้อยเท่าที่เราเห็น เพื่อนร่วมทางตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นวิธีจัดการที่แตกต่างคนละขั้วกับการผูกขาดการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนั้นบ้านเรือนบริเวณเขื่อนก็มีกระแสไฟฟ้าใช้ ไม่เหมือนประเทศไทยที่เคยมีบ้านเรือนบริเวณเขื่อนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้

 

เขื่อนที่ห้าบนเส้นทางจากเมืองถานถึงหมู่กังจ่าย

 

ผมเก็บคำถามและข้อสงสัยเหล่านั้นมาเป็นการบ้านที่ต้องศึกษาเรื่องนโยบายและการจัดการพลังงานในประเทศเวียดนามเพิ่มเติม และก็ได้รู้เห็นกับตา พร้อมมองผ่านไปในอดีตว่า เส้นทางนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงอย่างไร

 

ผมเคยคิดว่า รัฐบาลเวียดนามไม่น่าลงทุนสร้างเส้นทางนี้เลย เพื่อว่าความทุรกันดารจะได้เก็บธรรมชาติ ผู้คนและวิถีชีวิตแบบนี้ไว้ แล้วยังเคยหวังว่า รัฐบาลเวียดนามคงสร้างเส้นทางนี้ให้กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเส้นทางนี้เป็นมรดกของชาติและมรดกโลกต่อไป ความคิดเพ้อฝันของผมมันไร้สาระจริง ๆ เมื่อได้มาเห็นว่า เขาพัฒนาเส้นทางนี้เพื่อนำไปสู่การสร้างเขื่อนลดหลั่นเป็นขั้นบันได การก่อสร้างขนาดใหญ่นี้ต้องการเส้นทางคมนาคมที่ดี

 

 

เมื่อเข้าใจดังนี้และมองย้อนกลับไปยังเส้นทางเลียบลำน้ำหนาก่อนเข้าเมืองซอแล้ว ผมก็เริ่มนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ยังมีถนนเลียบล้ำนำ้ในหุบเขาภาคเหนืออีกจำนวนมากในเส้นทางที่ผมเคยเดินทางไป ขณะนี้ลำน้ำเหล่านั้นคงกำลังแบกรับเขื่อนอยู่เช่นเดียวกันกับลำน้ำในหุมเขาภาคตะวันตกเฉียงเหนืออย่างแน่นอน

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีวันหนึ่ง อาจารย์อคินเดินคุยอยู่กับอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมเดินตามทั้งสองท่านมาข้างหลังอย่างที่ทั้งสองท่านรู้ตัวดี ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา หรือไม่ก็เรียนจบกลับมาแล้วนี่แหละ อาจารย์อคินไม่รู้จักผม หรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่ก็จำหน้าไม่ได้ ผมแอบได้ยินอาจารย์อคินเปรยกับอาจารย์อีกท่านว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คืนวาน วันฮาโลวีน นักศึกษาชวนผมไปพูดเรื่องผี ปกติผมไม่อยู่รังสิตจนมืดค่ำ แต่ก็มักใจอ่อนหากนักศึกษาชวนให้ร่วมเสวนา พวกเขาจัดงานกึ่งรื่นเริงกึ่งเรียนรู้ (น่าจะเรียกว่าเริงรู้ หรือรื่นเรียนก็คงได้) ในคืนวันผีฝรั่ง ในที่ซึ่งเหมาะแก่การจัดคือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา เพราะมีของเก่าเยอะ ก็ต้องมีผีแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าน่าสนุกเหมือนกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ถึงกับต่อต้านกิจกรรมเชียร์อย่างรุนแรง เพราะคนสำคัญใกล้ตัวผมก็เป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์งานบอลประเพณีฯ ด้วยคนหนึ่ง และเพราะอย่างนั้น ผมจึงพบด้วยตนเองจากคนใกล้ตัวว่า คนคนหนึ่งกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของมหาวิทยาลัยมันเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของพัฒนาการของแต่ละคน แต่ก็ยังอยากบ่นเรื่องการเชียร์อยู่ดี เพราะความเข้มข้นของกิจกรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างยิ่งจากในสมัยของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลวิจัยเรื่องการรู้หนังสือแบบดั้งเดิมของ "ลาวโซ่ง" ในไทยที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ได้ราว 2 วัน ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจ แต่ก็ได้อย่างอื่นมาด้วยไม่น้อยเช่นกัน เรื่องหนึ่งคือความรู้เกี่ยวกับปลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันก่อนปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาโท-เอกของคณะ ในฐานะคนดูแลหลักสูตรบัณฑิตศึกษาทางมานุษยวิทยา ผมเตรียมหัวข้อมาพูดให้นักศึกษาฟัง 4 หัวข้อใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนมา รู้อยู่แล้วว่าปากีสถานช่วงเดือนนี้คือเดือนที่ร้อนมาก และก็เพิ่งรู้ว่าเดือนนี้แหละที่ร้อนที่สุด แต่ที่ทำให้ “ใจชื้น” (แปลกนะ เรามีคำนี้ที่แปลว่าสบายใจ โดยเปรียบกับอากาศ แต่ที่ปากีสถาาน เขาคงไม่มีคำแบบนี้) คือ ความร้อนที่นี่เป็นร้อนแห้ง ไม่ชื้น และจึงน่าจะทนได้มากกว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ครึ่งวันที่ผมมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรมไทย บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมลองเอากรณีทุบรถกับทุบลิฟมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็เห็นความแตกต่างกันมากหลายมุม ได้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่สนใจกรณีทั้งสองอย่างไม่สมดุลกัน แต่สุดท้ายมันบอกอะไรเรื่องเดียวกัน คือความบกพร่องของสถาบันจัดการความขัดแย้งของประเทศไทย 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนรุ่นใหม่ครับ...