Skip to main content

ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 

วัฒนธรรมนี้ถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ. 1911 แล้วเริ่มการขุดค้นจริงจังในปี 1922 จนภายหลังพบว่าเป็นกลุ่มเขตวัฒนธรรมขนาดใหญ่ ถูกเรียกรวมๆ ว่าวัฒนธรรมลุ่มน้ำสินธุ (Indus Valley Culture) ที่ผมเลี่ยงคำว่า “อารยธรรม” ไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่ยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบันการใช้คำว่า “อารยะรรม” ในเชิงยกย่องบางวัฒนธรรมเหนือวัฒธรรมอื่นกลายเป็นวิธีคิดที่ออกจะพ้นสมัย  

วัฒนธรรมนี้มีอายุเก่าแก่สุดถึง 9,000 ปีที่แล้ว ยุครุ่งเรืองที่สุดราว 5,000 ปีที่แล้ว และเสื่อมสลายไปราว 2,000 ที่แล้ว 

วัฒนธรรมลุ่มน้ำสินธุถูกเรียกตามชื่อแม่น้ำ เมื่ออ่านหนังสือที่ซื้อติดมือมาจากลาฮอร์เล่มหนึ่ง จึงได้รู้ว่าชื่อนี้เป็นที่มาของชื่อ "อินเดีย" คำว่า Sindh เป็นชื่อเรียกแม่น้ำ กลุ่มคน และภาษาถิ่นที่นี่แต่เดิมและดำรงอยู่จนบัดนี้ จากนั้นชาวโรมตัด s ออก เรียกดินแดนนี้ว่า Indu บ้าง Hindu บ้าง จากนั้นในศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษนี้เองที่นำชื่อแม่น้ำนี้มาเป็นชื่อเรียกศานาหนึ่งที่ชาวอังกฤษพยายามแยกจากพุทธ เชน และสิกข์  

แล้วชื่อนี้ก็กลายมาเป็นชื่อเรียกประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองประเทศหนึ่งว่าอินเดีย จนทำให้คนทั่วโลกลืมไปแล้วว่า ชื่ออินเดียมาจากชื่อเดิมว่าสินธุ ซึ่งมีถิ่นฐานปัจจุบันอยู่ตอนกลางถึงใต้ประเทศปากีสถาน 

วัฒนธรรมนี้ร่วมสมัยกับอียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย และจีนโบราณ แต่เป็นวัฒนธรรมที่ถูกค้นพบหลังอารยธรรมใหญ่ๆ เหล่านั้น แถมยังมีคำถามมากมายที่ยังตอบไม่ได้ 

ลุ่มน้ำสินธุยุครุ่งเรืองแบ่งเป็นกลุ่มเมืองและชุมชนรายล้อมหลายแห่งด้วยกัน แห่งใหญ่ที่สุดที่กล่าวถึงกันมาก ทว่าอยู่ห่างไกลกันมาก ก็คือฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร แม้ว่าจะห่างไกลกันมาก สองแห่งนี้ก็ติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แต่ต่างก็เป็นเอกเทศต่อกัน อันที่จริงเมื่อกล่าวถึงวัฒนธรรมลุ่มน้ำสินธุ สิ่งหนึ่งที่เป็นทั้งปริศนาและเอกลักษณ์แตกต่างจากวัฒนธรรมร่วมสมัยกันก็คือ สินธุไม่ได้มีเอกภาพ ไม่ได้เป็นจักรวรรดิ์ หากแต่เป็นนครรัฐย่อยๆ ที่เป็นเครือข่ายติดต่อกัน 

นอกจากเครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือโลหะ ลูกปัด และลักษณะทางสถาปัตยกรรมและอิฐแล้ว สิ่งของหนึ่งที่พบทั่วไปและสร้างความฉงนฉงายในหลายๆ มิติให้กับผู้ศึกษาสินธุคือตราประทับ 

ตราประทับที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของสินธุทำจากหินสบู่ ซึ่งน่าจะมีความแกร่งมากจนกระทั่งหินขนาดเล็กกว้างยาวประมาณ 1 นิ้ว กลับสามารถขูดเป็นรอบประทับที่ลึกและมีลายเส้นคมได้อย่างนี้ ไม่มีใครรู้แน่ว่าตราประทับนี้ใช้ในความหมายใดกันแน่  

จากการรวบรวมความถี่ของการค้นพบในเมืองต่างๆ กับลวดลายบนตราประทับ นำไปสู่คำถามต่างๆ นานา เช่นว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ตราประทับแต่ละลายจะสะท้อนกลุ่มชน หรือตระกูลที่เป็นเจ้าของตราประทับ เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เหมือนกับ "แบรนด์" ของสิ่งของที่พบรอยประทับเหล่านี้ เช่นตามหม้อไห บนกำไล บางครั้งก็พบตราประทับเหล่านี้ ที่คงประทับบนดินดิบก่อนเข้าเตาเผา  

ตราประทับมีลักษณะทั่วไปสองประการที่ผู้คนสนใจไขปริศนามากที่สุดคือ รูปสัตว์และสิ่งของบนตราประทับ และ "อักษร" ที่ปรากฏบนตราประทับ  

สำหรับรูปสัตว์ มีกลุ่มชนิดของสัตว์ที่พบมากที่สุด ได้แก่ วัวไม่มีหนอกเขาเดียว ซึ่งยังไม่รู้แน่ว่าคืออะไร มักเรียกกันว่า “ยูนิคอร์น” เพียงแต่เป็นยูนิคอร์นที่มีตัวเป็นวัว ไม่ใช่ม้าอย่างในยุโรป รูปสัตว์ชนิดนี้จึงเป็นปริศนามากที่สุด นอกจากนั้นยังมีรูปวัวสองเขามีหนอก ที่พบน้อยหน่อยคือรูปช้าง แต่นอกจากนั้นยังมีควาย แรด และเสือ แต่รูปที่ไม่พบเลยคือรูปม้า 

ตราประทับต่างๆ มีรอยขีดที่เป็นระบบชุดหนึ่งที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นอักษร แต่อักษรนี้เป็นอักษรชนิดใดกันแน่ เชื่อมโยงกับอักษรใดๆ ในโลกปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร ยังไม่มีใครตอบได้ อักษรนี้ไม่ใช่อักษรบารมี ไม่ใช่โรมัน ไม่ใช่อารบิก แต่ดูเหมือนจากเป็นอักษรกึ่งสัญลักษณ์และกึ่งอักษรเสียง แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครอ่านอักษรนี้ได้ มีเพียงข้อสันนิษฐานว่า หากเชื่อมโยงผ่านภาษาดราวิเดียนที่มีถิ่นหลักอยู่ในเอเชียใต้ทางตอนใต้แล้ว อักษรบางตัวที่พบบ่อยคือรูปคล้ายปลา น่าจะเกี่ยวข้องกับศาสนา แต่ก็ยังไม่มีใครกล้ายืนยันเช่นนั้นชัดเจน 

ปริศนาอื่นๆ ของสินธุได้แก่ ทำไมคนที่นี่ให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมมากนัก พวกเขาสร้างเมืองที่แลดูแออัด แต่มีระบบการระบายน้ำดีและน้ำเสียที่ซับซ้อนจนนักโบราณคดีบางคนบอกว่า เมืองใหญ่ในศตวรรษที่ 20 บางเมืองยังต้องอาย ทำไมเมืองและวัฒนธรรมที่ที่มีความรุ่งเรืองขนาดนี้จึงไม่ทิ้งจารึกขนาดยาวพอที่จะช่วยให้เข้าใจอักษรบนตราประทับได้  

ในแง่การเมือง ทำไมไม่มีร่องรอยของสงคราม ทำไมพวกเขาไม่สนใจการรบราฆ่าฟันกัน ชาวสินธุดั้งเดิมดูจะสนใจค้าขายและทำการเกษตรมากกว่ารบพุ่ง พวกเขาติดต่อค้าขายกับคนไกลทั้งทางทะเลและทางบกถึงเอเชียกลาง ที่สำคัญคือเมโสโปเตเมีย ซึ่งมีบันทึกกล่าวถึงดินแดนสินธุร่วมสมัยกัน แล้วคนที่นี่นับถือศาสนาอะไรทำไมจึงไม่พบศาสนวัตถุและศาสนสถาน มีที่บางแห่งมีลักษณะเป็นห้องอาบน้ำ ที่นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของศาสนสถานได้หรือไม่  

ปริศนาใหญ่อีกประการคือ ทำไมวัฒนธรรมสินธุจึงล่มสลายไป เคยมีการสันนิษฐานว่า วัฒนธรรมสินธุคงล่มสลายไปด้วยการถูกรุกรายจากกลุ่มชน "อารยัน" จากตะวันตก ปัจจุบันสมมติฐานที่คนเชื่อถือมากกว่าคือการล่มสลายจากความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม ที่สำคัญไม่ใช่อุณหภูมิ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของลำน้ำ ทำให้การเกษตรเปลี่ยนไป และการบริหารจัดการน้ำเปลี่ยนไป แล้วจึงมีผลต่อเมืองทั้งเมือง โดยเฉพาะถิ่นที่สำคัญอย่างฮารัปปาและโมเฮนโจดาโรที่ตั้งอยู่ริมน้ำสินธุจึงน่าจะรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงลำน้ำโดยตรงและรุนแรงที่สุด 

คำถามใหญ่อีกคำถามคือ อารยธรรมนี้สัมพันธ์อย่างไรกับอารยธรรมยุคหลังๆ ของเอเชียใต้ เช่น เมื่อเปรียบเทียบกับยุคพระเวทในลุ่มน้ำคงคา ซึ่งรุ่งเรืองด้วยคำภีร์มากกว่าสถาปัตยกรรมแล้ว รูปเคารพและรูปสัตว์ต่างๆ ดูจะแตกต่างออกไปมาก หากแต่เมื่อเทียบกับยุคหลังพระเวท คือยุคมหาภารตะและยุคของศานาฮินดูแล้ว เทพฮินดูดูจะมีความเชื่อมโยงกับ motif สำคัญๆ ของวัฒนธรรมสินธุมากกว่า  

ที่เป็นปริศนาใหญ่และกลายเป็นข้อถกเถียงมากข้อหนึ่งคือ ตราประทับที่มีรูปคนมี 3-4 หน้า นั่งท่าขัดสมาธิเหมือนท่านั่งโยคะ รายล้อมด้วยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 4 ตัว คือเสือ ช้าง ควาย และแรด ชวนให้คิดเชื่อมโยงวัฒนธรรมสินธุกับฮินดูเป็นอย่างยิ่ง 

การมาเยือนลุ่มน้ำสินธุ เยือนแหล่งโบราณคดี ทำให้ผมต้องกลับไปปัดฝุ่นความรู้ที่เคยได้เรียนมาจากปรมจารย์ที่ศึกษาวัฒนธรรมนี้คนสำคัญคนหนึ่งคือ Jonathan Mark Kenoyer (โจนาธาน มาร์ค เคโนเยอร์) แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การได้มาพบ มาเห็น มาจับต้อง มาสัมผัสพื้นที่ที่ได้อ่านได้เรียนมาเนิ่นนานเกือบ 20 ปีแล้ว จนวันนี้คิดว่า ตนเองนอนตายตาหลับแล้วล่ะที่ได้มาเยือน "เนินแห่งความตาย"

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
มาเกียวโตเที่ยวนี้หนาวที่สุดเท่าที่เคยมา (สัก 6 ครั้งได้แล้ว) อุณหภูมิอยู่ราวๆ 0-5 องศาเซลเซียสตลอด แต่นี่ยังไม่เท่าเมืองที่เคยอยู่ คือวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ราวๆ -20 องศาเซลเซียส และเคยหนาวได้ถึง -40 องศาเซลเซียส หนาวขนาดนั้นมีแต่นกกากับกระรอก ที่อึดพอจะอยู่นอกอาคารได้นานๆ แต่ที่เกียวโต คนยังสามารถเดินไปเดินมา หรือกระทั่งเดินเล่นกันได้เป็นชั่วโมงๆ หากมีเครื่องกันหนาวที่เหมาะสม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสัมมนาที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อวันที่ 23-24 มค. ยังความรื่นรมย์มสู่แวดวงวิชาการสังคมศาสตร์อีกครั้ง ถูกต้องแล้วครับ งานนี้เป็นงาน "เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 7" หากแต่อุดมคับคั่งไปด้วยนักสังคมศาสตร์ (ฮ่าๆๆๆ) น่ายินดีที่ได้พบเจอเพื่อนฝูงทั้งเก่าทั้งใหม่มากหน้าหลายตา แต่ที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นคือการได้สนทนาทั้งอย่างเป็นทางการ ผ่านงานเขียนและการคิดอ่านกันอย่างจริงจัง บนเวทีวิชาการ กับเพื่อนๆ นักวิชาการรุ่นใหม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อเช้า (26 มค.) ผมไปเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขตจอมทอง ด้วยเหตุจำเป็นไม่สามารถไปเลือกตั้งวันที่ 2 กพ. ได้ ก่อนไป สังหรณ์ใจอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่ดี ผมไปถึงเขตเลือกตั้งเวลาประมาณ 9:00 น. สวนทางกับผู้ชุมนุมนกหวีดที่กำลังออกมาจากสำนักงานเขต นึกได้ทันทีว่ามีการปิดหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า มวลชนหลักร้อย ดูฮึกเหิม ท่าทางจะไปปิดหน่วยเลือกตั้งอื่นต่อไป ผมถ่ายรูปคนจำนวนหนึ่งไว้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หนังสือ ประวัติศาสตร์ไทดำ : รากเหง้าวัฒนธรรม-สังคมไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2557) เล่มนี้เป็นผลจากการวิจัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมทำวิจัยชิ้นนั้นก็เพื่อให้เข้าใจงานเขียนทางประวัติศาสตร์ของชาวไทในเวียดนามสำหรับทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก แต่เนื้อหาของหนังสือนี้แทบไม่ได้ถูกนำเสนอในวิทยานิพนธ์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดือนที่แล้ว หลังเสร็จงานเขียนใหญ่ชิ้นหนึ่ง ผมกะจะหลบไปไหนสัก 4-5 วัน ระยะนั้นประเด็นวันเลือกตั้งยังไม่เข้มข้นขนาดทุกวันนี้ ลืมนึกไปจนกลายเป็นว่า ตัวเองกำหนดวันเดินทางในช่วงวันเลือกตั้ง 2 กพ. 57 พอดี เมื่อมาคิดได้ เมื่อวันที่ 14 มค. ก็เลยถือโอกาสที่ที่ทำงานให้หยุดงานไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตตนเอง ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็ได้เอกสารมาเก็บไว้ รอไปเลือกตั้งล่วงหน้าวันอาทิตย์ที่ 26 มค.
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เหตุที่ประโยค Respect My Vote. กลายเป็นประโยคที่นำไปใช้ต่อ ๆ กันแพร่หลายกินใจผู้รักประชาธิปไตยในขณะนี้ ไม่เพียงเพราะประโยคนี้มีความหมายตามตัวอักษร แต่เพราะประโยคนี้ยังเป็นถ้อยแถลงทางการเมืองของประชาชน ที่ประกาศว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 9 มกราคม 2557 เวทีเสวนาประชาธิปไตยภาคใต้ ได้จัดอภิปรายเรื่อง "ปฏิรูปประเทศไทย : ปาตานีในระยะเปลี่ยนผ่าน" ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผมกับอาจารย์เอกชัย ไชยนุวัติ ได้รับเชิญในฐานะตัวแทนจากสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยไปร่วมบรรยายกับวิทยากรชาวปัตตานีและชาวสงขลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมอยู่ในแวดวงวิชาการ พร้อม ๆ กับทำกิจกรรมบริการทางสังคมด้านสิทธิ-เสรีภาพ การบริการทางสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทางวิชาการ นอกเหนือจากการสอน การทำวิจัย และการเขียนงานวิชาการ แต่ในโลกทางวิชาการไทยปัจจุบัน เมื่อคุณก้าวออกมานอกรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว คุณจะกลายเป็น "คนมีสีเสื้อ" ไม่ว่าปกติคุณจะใส่เสื้อสีอะไร จะมีสติ๊กเกอร์ติดเสื้อคุณอยู่เสมอว่า "เสื้อตัวนี้สี..." เพียงแต่เสื้อบางสีเท่านั้นที่ถูกกีดกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคือการยึดอำนาจของ กปปส. เพื่อจัดตั้งสภาประชาชน ไม่มีทางที่การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งจะเป็นการปฏิรูปที่ปวงชนชาวไทยจะมีส่วนร่วม เนื่องจาก...
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมเก็บข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2553-2554 จนถึงหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผมมีโอกาสได้สัมภาษ์นักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขตของพรรคหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ไม่ใช่จังหวัดเสื้อแดงแจ๋อย่างอุดรธานีหรือขอนแก่น เขตเลือกตั้งนี้เป็นเขตเลือกตั้งในชนบท เป็นพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงอยู่่พอสมควร แต่ไม่เด็ดขาด ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอันเนื่องมาจากโยงใยที่ใกล้ชิดกับผู้ที่แนะนำให้ผมติดต่อไปสัมภาษณ์ ผู้สมัคร สส. คนนี้เล่าวิธีการซื้อเสียงของเขาให้ผมฟังโดยละเอียด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิวัติประชาชนของอาจารย์ธีรยุทธไม่ได้วางอยู่บนข้อเท็จจริงของสังคมไทยปัจจุบัน การปฏิวัติประชาชนตามข้ออ้างจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ ของอาจารย์ ล้วนแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติของประชาชนเพื่อโค่นล้มผู้กุมอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมเพราะผูกขาดอำนาจเป็นของตนเอง ตลอดจนเป็นการโค่นอำนาจรัฐที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยที่ประชาชนเป็นใหญ่มากขึ้น หากแต่เราจะถือว่า “มวลมหาประชาชน” หนึ่งล้านห้าแสนคน หรือต่อให้สองล้านคนในมวลชนนกหวีดเป็น “ประชาชน” ในความหมายนั้นได้หรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ชัยวัฒน์ครับ ผมยินดีที่อาจารย์ออกมาแสดงความเห็นในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ นี่ย่อมต้องเป็นสถานการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจารย์ก็จะไม่แสดงความเห็นอย่างแน่นอน ดังเช่นเมื่อปี 2553 เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิต 90 กว่าคน บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน อาจารย์ก็ยังเงียบงันจนผมสงสัยและได้เคยตั้งคำถามอาจารย์ไปแล้วว่า "นักสันติวิธีหายไปไหนในภาวะสงคราม"