Skip to main content

พวกคุณไม่ได้เพียงกำลังทำลายพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง หรือกลุ่มการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่พวกคุณกำลังทำลายความหวังที่คนจำนวนมากมีต่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นใหม่ที่เริ่มสนใจประเทศชาติ

ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามีอะไรที่คาดได้หลายอย่างก็จริง แต่ก็มีสิ่งเหนือความคาดหมายอยู่หลายเรื่องเช่นกัน
 
ที่คาดได้คือ เรารู้แน่อยู่แล้วว่าพรรคใหญ่ที่ครองเสียงภาคเหนือตอนบนและอีสาน ก็จะยังได้เสียงส่วนใหญ่จากที่นั่น เรารู้แน่อยู่แล้วว่าพรรคใหม่ที่มุ่งสืบอำนาจเผด็จการทหารจะได้เสียงไม่น้อย แต่ก็ไม่มีทางมากพอที่จะเป็นที่หนึ่ง พวกเราคาดเดากันอยู่แล้วว่า ภาคกลางและกรุงเทพฯ จะเป็นดินแดนที่มีการพลิกผันรวนเรที่สุด
 
แต่ที่เกินคาดคือ แม้แต่คนกรุงเทพฯ เองก็ยังเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่าพรรคฝ่ายเผด็จการ เมื่อรวมกับกลุ่มคนหันหลังให้เผด็จการทหารทั่วประเทศ ก็มีคะแนนเสียงรวมกันมากกว่ากลุ่มคนที่แน่ชัดว่าสนับสนุนการสืบทอดของฝ่ายเผด็จการทหาร
 
ขอย้ำว่า แม้แต่คนกรุงเพทฯ ที่เคยสนับสนุนเผด็จการ เคยสนับสนุนพรรคการเมืองที่สนับสนุนเผด็จการ พวกเขาหลายคนทิ้งนกหวีดแล้วหันมาเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย หาไม่แล้ว พรรคที่เคยสนับสนุนให้เผด็จการขึ้นสู่อำนาจก็จะไม่พ่ายแพ้ราบคาบราวแมลงเหม็นจนตรอกอย่างทุกวันนี้หรอก หาไม่แล้ว แม้พรรคที่พวกเขาเคยจงเกลียดจงชังอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็จะไม่ได้ที่นั่งถึง 1 ใน 3 ของ สส. เขตในกรุงเทพฯ หรอก หาไม่แล้วพรรคหน้าใหม่ก็จะไม่สามารถเบียดพรรคที่ระดมคนมาปูทางให้ทหารตกเวทีการเลือกตั้งกรุงเทพฯ ไปอย่างไร้เงาได้หรอก
 
ความคาดไม่ถึงที่เกี่ยวพันกันต่อมาคือ แม้ว่าหลายคนจะอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่คนที่แอบคิดแบบนั้น ก็แทบไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น คือการที่อดีต สส. ผู้แก่กล้าของพรรคที่สนับสนุนเผด็จการขึ้นสู่อำนาจน่ะ พ่ายแพ้ราบคาบในหลายเขตที่แม้จะเป็นเขต "ของตาย" หรือเขต “เอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ยังได้รับเลือก” ก็ตาม สิ่งนี้เกิเขึ้นกระทั่งในถิ่นของพรรคนี้เอง
 
เหนืออื่นใดคือความคาดไม่ถึงที่มีต่อความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ ผมมั่นใจว่าผมพูดไม่ผิดนักหากจะบอกว่า แม้แต่คนในพรรคอนาคตใหม่เองก็คาดไม่ถึงหรอกว่าพวกเขาจะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ ไกลขนาดโค่น สส. เขตที่ลงหลักปักฐานในหลายๆ ที่อย่างถล่มทลาย ไกลขนาดที่ สส. เขตจำนวนมากคือคนหน้าใหม่ในแวดวงการเมืองระดับประเทศ ไกลขนาดที่ การจะดิสเครดิตพรรคนี้ได้ ไม่ใช่ด้วยข้อหาเก่าๆ คือ "การซื้อเสียง" อีกต่อไป แต่ต้องใช้กลไกพิศดารทางกฎหมายมากมายเพื่อทำลายล้างกัน
 
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากพูดว่าพรรคอนาคตใหม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง จริงอยู่ว่าพวกเขาทุ่มเทอย่างยิ่ง พวกเขายึดมั่นในหลักการอย่างแน่วแน่ พวกเขาเต็มไปด้วยพลังของคนหนุ่มสาว พวกเขามีข้อเสนอหลายอย่างที่ค่อนข้างหนักแน่น พวกเขาวางแผนหลายด้านอย่างรัดกุม แต่ผมก็ยังเห็นว่า นั่นเป็นเพียงด้านเดียวของความสำเร็จของพวกเขา
 
ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่า พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาในจังหวะทางการเมืองที่สอดรับกับพวกเขาอย่างยิ่งหลายประการด้วยกัน เป็นช่วงจังหวะที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของการเมืองไทยอีกก้าวหนึ่ง
 
หลังการรอคอยอย่างอดทนที่จะให้เผด็จการทหารพิสูจน์ตนเองมานานเกือบ 5 ปี ผู้คนจำนวนมากสังเกตเห็นได้แล้วว่า เผด็จการทหารไม่ใช่คำตอบต่ออนาคตต่อไปของพวกเขาอีกแล้ว ความกลัวต่อ "ผีทักษิณ" ของผู้คนเหล่านี้จำนวมหาศาลเบาบางลง หรือไม่ก็ เมื่อคิดคำนวณแล้วดูจะน้อยลงกว่าความเบื่อหน่ายต่อความกักขฬะและไร้น้ำยาของพวกเผด็จการทหารเต็มทีแล้ว เวลาของเผด็จการหมดลงแล้ว อย่างน้อยก็ในระยะสั้นนี้
 
พูดอีกอย่างคือ อำนาจเผด็จการเกือบ 5 ปีนั่นแหละ ที่สร้างการตัดสินใจแบบใหม่ให้กับคนที่เคยสนับสนุนเผด็จการ หลายคน "ตาสว่าง" หรืออย่างน้อยก็ "เบื่อหน่ายทหาร" มากขึ้น
 
ประการต่อมา เห็นได้ชัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ได้สร้าง "ช่องว่างระหว่างวัย" ขึ้นทั่วไปในหลายพื้นที่ทางสังคม ความแตกต่างของการตัดสินใจทางการเมืองนั้นเกิดขึ้นระหว่างรุ่นในระดับครัวเรือน คนในครอบครัวเดียวกันจำนวนมากลงคะแนนด้วยฐานความคิดที่แตกต่างกัน คนรุ่นใหม่ Gen Y ที่เพิ่งเลือกตั้งครั้งแรกจำนวนมาก เลือกพรรคใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลือกที่ชัดเจนในนั้นก็คือพรรคอนาคตใหม่ ผมเดาว่า ไม่น้อยกว่า 70% ของคนที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก เลือกพรรคอนาคตใหม่
 
แน่นอนว่าข้อสรุปนี้มีข้อยกเว้นมากมาย แต่พูดได้ว่า การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งสำคัญของประเทศไทย
 
ความเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนวิธีคิดเรื่องการเลือกตั้ง ว่าเป็นการเลือกโดยดูจากนโยบาย อุดมการณ์ของพรรคการเมือง มากกว่าสายสัมพันธ์และตัวบุคคล สำหรับผู้ลงคะแนนจำนวนมาก ดังมีพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวอย่างสำคัญ ผู้สมัคร สส. เขตมีความสำคัญน้อยกว่าพรรคการเมือง หากมีการเลือกในระบบปาร์ตี้ลิสต์แบบเดิม เชื่อได้ว่า พรรคที่วาดหวังจะสนับสนุนเผด็จการกลับมา จะยิ่งพ่ายแพ้กว่านี้อย่างมากมาย
 
การเลือกพรรคการเมืองสะท้อนคุณภาพการเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง ขณะที่ สส. เขตสะท้อนความนิยม และอาจจะรวมทั้งสายสัมพันธ์ใต้ระบบอุปถัมภ์ในระดับท้องถิ่น ที่สั่งสมขึ้นมาจากอำนาจบารมีด้วยทุนทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น หากแต่การเลือกพรรคการเมืองโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้สมัคร สส. เขต และการลงคะแนนเพื่อหวังจะให้เสียงของตนได้ถูกนับในการสนับสนุนพรรคการเมืองเพื่อให้มี สส. ปาร์ตี้ลิสต์นั้น คือการเลือกที่ปลอดจากสายสัมพันธ์ส่วนตัวโดยสิ้นเชิง เป็นการเลือกเพื่อหวังผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศโดยแท้จริง
 
ประการต่อมา การที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับความนิยมสูงนั้น ส่วนสำคัญอย่างยิ่งคือการที่พวกเขาเป็นคนหน้าใหม่ในการเมือง เป็นคนรุ่นใหม่ในการเมืองไทย พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่มีประวัติในการเมือง ส่วนใหญ่ยังไร้ที่ติติง เป็นกลุ่มที่สมัยก่อนเราเรียกว่า "เลือดใหม่" ไม่ใช่ "น้ำเน่า" ทางการเมือง นี่สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยปัจจุบันต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงจากระบอบน้ำเน่าทางการเมืองอย่างก้าวกระโดด
 
การหลุดจากระบอบอุปถัมภ์ การเลือกผู้แทนหน้าใหม่ การเลือกพรรคเลือกนโบายมากกว่าตัวบุคคล การที่คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขันทั้งในฐานะผู้สมัคร สส. และผู้ออกเสียงเลือกตั้ง การตัดสินอนาคตอย่างสันติด้วยการเลือกตั้ง เหล่านี้คือภาวะทางการเมืองแบบใหม่ของไทยที่ก้าวหน้าขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่เราอยากให้เกิดขึ้นในหน้าใหม่ของการเมืองไทย
 
หากกล่าวเฉพาะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหน้าใหม่ ในบริบทโลกาภิวัตน์ขณะนี้ คนรุ่นใหม่จำนวนมากมีความใฝ่ฝันและมีศักยภาพจริงที่จะย้ายครอบครัวไปทำมาหากินในต่างประเทศ คนรุ่นใหม่ที่ผมรู้จักจำนวนมากเริ่มคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นประชากรของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น พวกเขายังคิดว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก การที่พวกเขาหันมาใส่ใจการเมืองไทย ไม่เพียงลบคำสบประมาทที่พวกคนเฒ่ามีต่อพวกเขาว่าเฉื่อยชาทางการเมืองและไม่สนใจชีวิตของสังคมดิจิทัลออนไลน์ แต่ยังชี้ว่าพวกเขายังมีความหวังต่อประเทศนี้ พวกเขายังรักประเทศนี้ไม่น้อยกว่าคนเฒ่าคนแก่
 
หากเกิดภาวะล้มเหลวของการเมืองในประเทศ จากการทุบทำลายความหวังของคนเฒ่าคนแก่ ของคนที่ต้องการสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร หากพวกคุณที่ต้องการสืบทอดอำนาจทุบทำลายการเมืองที่ก้าวหน้าซึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้นในประเทศไทย ทั้งประชาชนที่อยากเห็นความก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่ที่รักประเทศชาติ รักอนาคตตนเอง พวกเขาอาจจะยิ่งสิ้นหวัง แล้วเลือกละทิ้งประเทศนี้ไปมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ยอมรับเสียเถอะว่า คนที่ยังยินดีให้เผด็จการกลับมาปกครองน่ะ เหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว การดื้อด้านคงความเชื่อของพวกคุณอยู่น่ะ มีแต่จะทำร้ายประเทศไทยที่คนอื่นๆ เขาก็รักไม่น้อยไปกว่าพวกคุณ หยุดทำร้ายประเทศด้วยการพยายามผูกขาดอำนาจได้แล้ว

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
นี่เป็นข้อเขียนภาคทฤษฎีของ "การเมืองของนักศึกษาปัจจุบัน" หากใครไม่ชอบอ่านทฤษฎีก็ขอร้องโปรดมองข้ามไปเถอะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จริงหรือที่นักศึกษาไม่สนใจการเมือง ขบวนการนักศึกษาตายแล้วจริงหรือ ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าการถกเถียงเรื่องเครื่องแบบ เรื่องทรงผม เรื่องห้องเรียน เป็นเรื่องการเมืองได้อย่างไร แล้วดูแคลนว่ามันเป็นเพียงเรื่องเสรีภาพส่วนตัว เรื่องเรียกร้องเสรีภาพอย่างเกินเลยแล้วล่ะก็ คุณตกขบวนการเมืองของยุคสมัยไปแล้วล่ะ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในวาระที่กำลังจะมีการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะบุคคลากรของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ผู้หนึ่ง ผมขอเสนอ 5 เรื่องเร่งด่วนที่อธิการบดีคนต่อไปควรเร่งพิจารณา เพื่ิอกอบกู้ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลับมาเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นบ่อน้ำบำบัดผู้กระหายความรู้ และเป็นสถาบันที่เคียงข้างประชาชนต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บันทึกประกอบการพูดเรื่อง "การศึกษาไทย" เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเสนอว่าเรากำลังต่อสู้กับสามลัทธิคือ ลัทธิบูชาชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ลัทธิล่าปริญญา และลัทธิแบบฟอร์ม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษาไทยไทย: ความสำเร็จหรือความล้มเหลว" เป็นโจทย์ที่นักกิจกรรมทางสังคมรุ่นใหม่ตั้งขึ้นอย่างท้าทาย พวกเขาท้าทายทั้งระบบการเรียนการสอน วัฒนธรรมการศึกษา เนื้อหาในหลักสูตร และระบบสังคมในสถานศึกษา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในฐานะที่ร่วมก่อตั้งและร่วมงานกับ "ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53" (ศปช.) ผมอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบสปิริตของการทำงานของ ศปช. กับของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่ามองหลักสิทธิมนุษยชนต่างกันอย่างไร อย่างไรก็ดี นี่เป็นทัศนะและหลักการของผมเองในการร่วมงานกับ ศปช. ซึ่งอาจแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นบ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คำตัดสินของศาลอาญาในกรณี 6 ศพวัดประทุมฯ ชวนให้นึกถึงภาพถ่ายเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ใต้ต้นมะขามต้นหนึ่งที่สนามหลวง นอกจากภาพชายคนที่ใช้เก้าอี้ตีศพที่ถูกแขวนคอใต้ต้นมะขามแล้ว ภาพผู้คนที่รายล้อมต้นมะขามซึ่งแสดงอาการเห็นดีเห็นงามหรือกระทั่งสนับสนุนอยู่นั้น สะเทือนขวัญชาวโลกไม่น้อยกว่าภาพชายใช้เก้าอี้ทำร้ายศพ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเคยนั่งในพิธีรับปริญญาบัตรในฐานะผู้รับและในมุมมองของผู้ให้มาแล้ว แต่ไม่เคยได้นั่งในพิธีในฐานะผู้สังเกตการณ์จากบนเวทีแบบเมื่อครั้งที่ผ่านมานี้มาก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปฐมลิขิต: ใครรังเกียจทฤษฎี เกลียดงานเขียนแบบหอคอยงาช้าง ไม่ต้องพลิกอ่านก็ได้นะครับ และเวลาผมใส่วงเล็บภาษาอังกฤษหรืออ้างนักคิดต่างๆ นี่ ไม่ได้จะโอ่ให้ดูขลังนะครับ แต่เพื่อให้เชื่อมกับโลกวิชาการสากลได้ ให้ใครสนใจสืบค้นอ่านต่อได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะว่าไป กสทช. คนที่แสดงความเห็นต่อเนื้อหาละครฮอร์โมนนั้น ดูน่าจะเป็นคนที่สามารถวิเคราะห์ เข้าใจสังคมได้มากที่สุดในบรรดา กสทช. ทั้ง 11 คน เพราะเขามีดีกรีถึงปริญญาเอกทางสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยโด่งดังในเยอรมนี ต่างจากคนอื่นๆ ที่ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นทหารหรือใครที่สมยอมกับการรัฐประหารปี 2549 แล้ว ก็เป็นช่างเทคนิคทางด้านการสื่อสาร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า "ไม่รู้อาจารย์ผู้ชายทนสอนหนังสือต่อหน้านักศึกษานุ่งสั้นที่นั่งเปิดหวอหน้าห้องเรียนได้อย่างไร" สำหรับผม ก็แค่เห็นนักศึกษาเป็นลูกเป็นหลานก็เท่านั้น แต่สิ่งยั่วยวนในโลกทางวิชาการมีมากกว่านั้นเยอะ และบางทีจะยิ่งหลบเลี่ยงยากยิ่งกว่าการสร้าง incest taboo ในจินตนาการขึ้นมาหน้าห้องเรียน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักเรียนมนุษยศาสตร์จำนวนมากสนใจวิธีการและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แต่นักสังคมศาสตร์เขาตั้งท่าทำวิจัยกันอย่างไร แล้วหากนักมนุษยศาสตร์จะใช้วิธีการและทฤษฎีแบบสังคมศาสตร์บ้างจะทำอย่างไร