Skip to main content

ขอให้อาจารย์หยุดใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังในสังคม

ผมอ่านข้อเขียนอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ในชื่อ “เด็กก้าวร้าว : สัญญาณปฏิวัติวัฒนธรรม?” ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของ “สยามเทศะ” ในวันที่ 19 กันยายน 2563 อย่างหดหู่ หากชื่อศรีศักร วัลลิโภดมจะเป็นใครที่ไร้ค่าทางสังคมและแวดวงวิชาการ ผมก็คงไม่อยากเสียเวลาใส่ใจ ยิ่งกับข้อเขียนที่เต็มไปด้วยการสร้างความเกลียดชังและความอ่อนด้อยของการวิเคราะห์ด้วยแล้ว ผมก็ไม่ค่อยจะอยากเสียเวลาอ่านจนจบ  
 
แต่ความเป็นครูบาอาจารย์ของอาจารย์ศรีศักรหรือใครก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ผู้คนต้องกราบไหว้บูชาอย่างแตะต้องวิจารณ์เขาไม่ได้เสมอไป หรือกระทั่งต้องตักเตือนกันบ้างหากจำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นมนุษยชาติก็คงไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มาจนมีโลกยุคปัจจุบัน ข้อเขียนที่ผมกล่าวถึงนี้ แสดงความอ่อนด้อยและส่อว่าจะเป็นอันตรายแก่สังคมในหลายประการด้วยกัน
 
ประการแรก ข้อเสนอสำคัญของอาจารย์ศรีศักรวางอยู่บนการกล่าวหาที่เลื่อนลอย นั่นคือข้อสรุปที่ว่า การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษามีนักการเมือง “ปลุกระดม” อยู่เบื้องหลัง ข้อสรุปนี้สำคัญเพราะนำไปสู่การค้นหาข้อมูลมาสนับสนุนมากมายว่าการปลุกระดมคนรุ่นใหม่ในหลายสังคมในอดีตก่อผลเสียต่อสังคมนั้นๆ หากแต่อาจารย์ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า นักเรียนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปด้านต่างๆ ของสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ เขาถูกปลุกระดมจากนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านอย่างไร เพราะข้อเท็จจริงนี้คือต้นเรื่องของบทความนี้ทั้งหมด
 
การเชื่อมโยงสิ่งที่เชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงข้างต้นกับข้อสรุปที่ว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็น “การปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น” ก็ยังผิดฝาผิดตัว อาจารย์คงรู้ไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนนั้น ได้รับการส่งเสริมโดยรัฐ ไม่ใช่เกิดจากการตื่นตัวเพื่อลุกขึ้นสู้กับรัฐอย่างกรณีนักศึกษาในประเทศไทยขณะนี้ แต่ที่ตรงกันข้ามกันนั้น รัฐไทยด้านที่อาจารย์ศรีศักรดูจะเอาใจช่วยอยู่นั่นแหละ ที่ได้ปลุกปั่นเยาวชนให้หวาดกลัวคอมมิวนิสต์มาในยุคสงครามเย็น จนมีส่วนก่อกรรมกระทำรุนแรงต่อนักศึกษาประชาชนมาแล้วนักต่อนัก แถมในปัจจุบัน รัฐยังปลุกระดมให้นักเรียนนักศึกษาหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้ข้อเท็จจริงสนับสนุนมากมายอีกด้วย  
 
ประการที่สอง แนวคิดเบื้องหลังการวิเคราะห์สังคมของอาจารย์วางอยู่บนแนวคิดโครงสร้าง-การหน้าที่ (structural-functionalism) ดังที่มีตอนหนึ่งอาจารย์ศรีศักรสรุปว่า “สังคมพัฒนาจากครอบครัวและเครือญาติ รวมกันเป็นชุมชน เป็นเมือง นคร และรัฐ ที่ต้องมีผู้นำ ผู้ปกครอง จากกษัตริย์จนถึงประธานาธิบดี”  และอีกตอนหนึ่งที่ว่า “สถาบันกษัตริย์ยังมีหน้าที่ในทางคุณูปการแก่สังคมที่มีอยู่ในสยามประเทศ” ทัศนะอย่างนี้ มองสังคมราวกับสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพ มีพัฒนาการที่เติบโตอย่างซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เป็นเส้นตรง วิธีมองเช่นนี้มองว่าคนกลุ่มต่างๆ แม้ในสังคมที่ซับซ้อน ต่างมีหน้าที่ของตน ต่างเกื้อหนุนกันให้สังคมดำรงอยู่และดำเนินไป  
 
ในขณะที่นักเรียนนักศึกษาปัจจุบันมองว่าสังคมไทยอยู่บนโครงสร้างที่มีการขูดรีดตักตวงผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มจากคนส่วนใหญ่ของสังคมเสมอมา คำถามของพวกเขาคือ หากว่าผู้ปกครองมีหน้าที่เฉพาะ ส่วนผู้อยู่ใต้การปกครองก็มีหน้าที่ของตนเอง ทำไมผู้ปครองจะต้องมีชีวิตสุขสบาย กินอยู่ดีกว่า เป็นที่เคารพบูชากราบไหว้ราวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราวภูติผีปีศาจ ทำไมพวกผู้ปกครองไม่แค่ทำหน้าที่ปกครองด้วยฐานะที่เป็นคนเท่ากับคนอื่นๆ มีความสุขสบายตามสมควรเยี่ยงประชาชนทั่วไปล่ะ ผู้ปกครองแบบนั้นก็คือนักการเมืองในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่เจ้านาย ขุนนาง กษัตริย์ ในระบอบศักดินาหรือระบอบที่นิยมกษัตริย์อย่างล้นเกินเยี่ยงในการเมืองไทยปัจจุบัน  
 
เมื่อวางอยู่บนฐานคิดคนละแบบ อาจารย์ก็ต้องถกเถียงกับเขาไป อย่าไปปลักปรำว่าเขาคิดล้มล้างสังคมดีงามในอดีตอย่างไม่มีเหตุผล หรือที่ยิ่งต้องเลี่ยงคือการทำให้เขาเป็นเหยื่อของความเกลียดชังในสังคม
 
ประการที่สาม ทัศนะต่อการปฏิรูปและการปฏิวัติ คำว่าปฏิวัติ หรือ revolution ในการวิเคราะห์ทางสังคมนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้แบบเดียวกันกับในทางการเมือง ในทางการเมืองอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แต่ในการวิเคราะห์สังคม หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ที่ไม่ได้จำเป็นต้องเกิดขึ้นทันทีทันใด แต่บางครั้งกินระยะเวลายาวนาน เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษศตวรรษที่ 18 ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั่วไม่กี่ปีอย่างแน่นอน ส่วนการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 ก็ต้องรออีกยาวนานจึงจะสรุปได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างพลิกผันลึกซึ้งจริงๆ  
 
อันที่จริง นักเรียนนักศึกษาเองใช้คำว่าปฏิรูปอยู่บ่อยครั้งมากกว่าคำว่าปฏิวัติด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอของกลุ่มหนึ่งที่เรียกร้องให้ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” แต่อาจารย์เองนั่นแหละที่อาจเห็นว่า นี่เป็นการปฏิวัติ ซึ่งก็ชี้ว่า บางครั้งการปฏิรูปก็อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่จนอาจเรียกได้ว่าการปฏิวัติ ส่วนการปฏิวัติบางลักษณะก็ไม่ได้มีใครตั้งใจทำให้เกิด อย่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อาศัยการค่อยๆ ปฏิรูปจนเห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็นการปฏิวัติ
 
ในกรณีของสังคมไทยขณะนี้ หากผมจะยืมคำพูดของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ว่าด้วยรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของสังคมไทย ผมเห็นว่านักเรียนนักศึกษากำลังเสนอว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยของสังคมไทยปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ผู้คนต้องการมีสิทธิ มีเสียง มีเสรีภาพ มีความเท่าเทียม สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการคือ เขาแค่ต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษรสอคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบบวัฒนธรรม ก็เท่านั้นเอง
 
ประการที่สี่ ข้อเขียนชิ้นนี้ของอาจารย์ศรีศักรลดทอนความเป็นมนุษย์ของนักเรียนนักศึกษาในสองชั้นด้วยกัน กล่าวคือ หนึ่ง ไม่เห็นว่าคนรุ่นใหม่จะมีความคิดเป็นของตนเองได้ และสอง เป็นการสร้างภาพให้นักเรียนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้เป็นที่น่าจงเกลียดจงชังหรือเป็นผู้ร้ายในสังคมไทย
 
ในด้านของการลดทอนความเป็นมนุษย์ อาจารย์ศรีศักรเชื่อตั้งแต่ต้นโดยไม่มีหลักฐานข้อมูลใดๆ ว่า นักเรียนนักศึกษาถูกปลุกปั่น ถูกชักจูง โดยนักการเมืองฝ่ายค้าน นี่คือทัศนะที่อยู่สังคมไทยมานาน แล้วเป็นทัศนะที่ชะลอความก้าวหน้าของสังคมไทยมาตลอด การลดทอนคุณค่าของคนรุ่นใหม่วางอยู่บนระบบอำนาจนิยมของความอาวุโส การเกิดทีหลังไม่ได้จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความรู้ด้อยกว่าหรือมีความคิดแย่กว่า และประสบการณ์ของคนแต่ละรุ่นในโลกที่แตกต่างกัน ก็ย่อมจะทำให้คนคิดเห็นต่อโลกต่างกันไป วิธีที่ดีที่สุดคือการร่วมเรียนรู้จากกันและกัน ไม่ใช่การปิดปากคนรุ่นใหม่พร้อมกับปิดหูคนรุ่นเก่า
 
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น คือการที่อาจารย์ศรีศักรสร้างภาพให้คนรุ่นใหม่ดูน่าสะพรึงกลัว นอกจากจะนำคนรุ่นใหม่ในไทยปัจจุบันไปโยงกับคนรุ่นใหม่ในอดีตที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ปลุกปั่น ที่นับเป็นการเอาผีคอมมิวนิสต์มายัดเยียดให้นักเรียนนักศึกษานั่นเองแล้ว อาจารย์ศรีศักรยังพยายามหว่านล้อมให้เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ต้องการ “ทำลายสิ่งที่เป็นสถาบันในความเป็นมนุษย์ เช่น สถาบันครอบครัว ชุมชน และการแต่งงาน... กับสถาบันทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งคือศาสนา” นี่คือทำให้นักเรียนนักศึกษากลายเป็นอาชญากรทางสังคมผู้ทำลายสิ่งดีงามของสังคมไทย
 
ข้อเท็จจริงที่อันตรายอีกประการคือการสรุปว่า “การเกิดความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ก็มีการใช้เด็กและผู้หญิงเป็นกำลังในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน” หากจะไม่สนใจข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ก็มีการวิเคราะห์กันมามากมายแล้วและไม่ได้ตรงกับข้อสรุปนี้แม้แต่น้อย สิ่งที่น่ากังวลคือการสร้างภาพให้เยาวชนกลายเป็นผู้นิยมความรุนแรงและเป็นผู้ทำลายชาติ
 
หากคนที่สติไม่สมประกอบพูดอะไรแบบนี้ สังคมก็สมควรจะยอมให้อภัยได้เนื่องจาเขาเสียสติ เขาต้องการการเยียวยา อาจต้องให้พักจากความรับผิดชอบไปสักครู่เพื่อให้เขาฟื้นฟูสภาพจิตใจ หากแต่นี่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากคนที่มีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม แล้วแสดงทัศนะบั่นทอนความเข้าใจกันในสังคม สร้างภาพให้คนหวาดกลัวเกลียดชังนักเรียนนักศึกษา ดูแคลนนักเรียนนักศึกษาอย่างนี้แล้ว สังคมจะยังสมควรให้อภัยเขาอยู่หรือ
 
หากข้อเขียนนี้จะไม่ได้ถูกเรียกว่า “งานวิชาการชั้นเลว” แล้ว ก็คงต้องเรียกว่า “ถ้อยคำยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในสังคม” (hate speech) คนแบบนี้ ทัศนคติแบบนี้ ยังสมควรเป็นครูบาอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัยอยู่อีกหรือ ยังสมควรนับถือกันว่าเป็นผู้นำทางปัญญาที่จะคอยเชิญไปเทศนาเผยแพร่ความคิดแก่สังคมอยู่อีกหรือ
 
ที่ผมจะนึกเสียใจและน้อยใจอยู่สักหน่อยก็ตรงที่ว่า วิชามานุษยวิทยาที่ผมก็ร่ำเรียนมานั้น คงจะไม่ได้ช่วยให้คนคนหนึ่งที่ผ่านการศึกษาระดับสูง ในมหาวิทยาลัยทรงเกียรติทั้งในและต่างประเทศ มีสำนึกเคารพคน มองเห็นคนเท่ากันขึ้นมาเลยหรืออย่างไร ถ้าเช่นนั้น เราคงต้องปรับปรุงความรู้สาขาวิชานี้ให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อว่าในอนาคต สาขามานุษยวิทยาจะได้มีคนแบบนี้น้อยลง

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
มาเกียวโตเที่ยวนี้หนาวที่สุดเท่าที่เคยมา (สัก 6 ครั้งได้แล้ว) อุณหภูมิอยู่ราวๆ 0-5 องศาเซลเซียสตลอด แต่นี่ยังไม่เท่าเมืองที่เคยอยู่ คือวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ราวๆ -20 องศาเซลเซียส และเคยหนาวได้ถึง -40 องศาเซลเซียส หนาวขนาดนั้นมีแต่นกกากับกระรอก ที่อึดพอจะอยู่นอกอาคารได้นานๆ แต่ที่เกียวโต คนยังสามารถเดินไปเดินมา หรือกระทั่งเดินเล่นกันได้เป็นชั่วโมงๆ หากมีเครื่องกันหนาวที่เหมาะสม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสัมมนาที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อวันที่ 23-24 มค. ยังความรื่นรมย์มสู่แวดวงวิชาการสังคมศาสตร์อีกครั้ง ถูกต้องแล้วครับ งานนี้เป็นงาน "เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 7" หากแต่อุดมคับคั่งไปด้วยนักสังคมศาสตร์ (ฮ่าๆๆๆ) น่ายินดีที่ได้พบเจอเพื่อนฝูงทั้งเก่าทั้งใหม่มากหน้าหลายตา แต่ที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นคือการได้สนทนาทั้งอย่างเป็นทางการ ผ่านงานเขียนและการคิดอ่านกันอย่างจริงจัง บนเวทีวิชาการ กับเพื่อนๆ นักวิชาการรุ่นใหม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อเช้า (26 มค.) ผมไปเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขตจอมทอง ด้วยเหตุจำเป็นไม่สามารถไปเลือกตั้งวันที่ 2 กพ. ได้ ก่อนไป สังหรณ์ใจอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่ดี ผมไปถึงเขตเลือกตั้งเวลาประมาณ 9:00 น. สวนทางกับผู้ชุมนุมนกหวีดที่กำลังออกมาจากสำนักงานเขต นึกได้ทันทีว่ามีการปิดหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า มวลชนหลักร้อย ดูฮึกเหิม ท่าทางจะไปปิดหน่วยเลือกตั้งอื่นต่อไป ผมถ่ายรูปคนจำนวนหนึ่งไว้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หนังสือ ประวัติศาสตร์ไทดำ : รากเหง้าวัฒนธรรม-สังคมไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2557) เล่มนี้เป็นผลจากการวิจัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมทำวิจัยชิ้นนั้นก็เพื่อให้เข้าใจงานเขียนทางประวัติศาสตร์ของชาวไทในเวียดนามสำหรับทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก แต่เนื้อหาของหนังสือนี้แทบไม่ได้ถูกนำเสนอในวิทยานิพนธ์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดือนที่แล้ว หลังเสร็จงานเขียนใหญ่ชิ้นหนึ่ง ผมกะจะหลบไปไหนสัก 4-5 วัน ระยะนั้นประเด็นวันเลือกตั้งยังไม่เข้มข้นขนาดทุกวันนี้ ลืมนึกไปจนกลายเป็นว่า ตัวเองกำหนดวันเดินทางในช่วงวันเลือกตั้ง 2 กพ. 57 พอดี เมื่อมาคิดได้ เมื่อวันที่ 14 มค. ก็เลยถือโอกาสที่ที่ทำงานให้หยุดงานไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตตนเอง ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็ได้เอกสารมาเก็บไว้ รอไปเลือกตั้งล่วงหน้าวันอาทิตย์ที่ 26 มค.
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เหตุที่ประโยค Respect My Vote. กลายเป็นประโยคที่นำไปใช้ต่อ ๆ กันแพร่หลายกินใจผู้รักประชาธิปไตยในขณะนี้ ไม่เพียงเพราะประโยคนี้มีความหมายตามตัวอักษร แต่เพราะประโยคนี้ยังเป็นถ้อยแถลงทางการเมืองของประชาชน ที่ประกาศว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 9 มกราคม 2557 เวทีเสวนาประชาธิปไตยภาคใต้ ได้จัดอภิปรายเรื่อง "ปฏิรูปประเทศไทย : ปาตานีในระยะเปลี่ยนผ่าน" ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผมกับอาจารย์เอกชัย ไชยนุวัติ ได้รับเชิญในฐานะตัวแทนจากสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยไปร่วมบรรยายกับวิทยากรชาวปัตตานีและชาวสงขลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมอยู่ในแวดวงวิชาการ พร้อม ๆ กับทำกิจกรรมบริการทางสังคมด้านสิทธิ-เสรีภาพ การบริการทางสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทางวิชาการ นอกเหนือจากการสอน การทำวิจัย และการเขียนงานวิชาการ แต่ในโลกทางวิชาการไทยปัจจุบัน เมื่อคุณก้าวออกมานอกรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว คุณจะกลายเป็น "คนมีสีเสื้อ" ไม่ว่าปกติคุณจะใส่เสื้อสีอะไร จะมีสติ๊กเกอร์ติดเสื้อคุณอยู่เสมอว่า "เสื้อตัวนี้สี..." เพียงแต่เสื้อบางสีเท่านั้นที่ถูกกีดกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคือการยึดอำนาจของ กปปส. เพื่อจัดตั้งสภาประชาชน ไม่มีทางที่การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งจะเป็นการปฏิรูปที่ปวงชนชาวไทยจะมีส่วนร่วม เนื่องจาก...
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมเก็บข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2553-2554 จนถึงหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผมมีโอกาสได้สัมภาษ์นักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขตของพรรคหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ไม่ใช่จังหวัดเสื้อแดงแจ๋อย่างอุดรธานีหรือขอนแก่น เขตเลือกตั้งนี้เป็นเขตเลือกตั้งในชนบท เป็นพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงอยู่่พอสมควร แต่ไม่เด็ดขาด ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอันเนื่องมาจากโยงใยที่ใกล้ชิดกับผู้ที่แนะนำให้ผมติดต่อไปสัมภาษณ์ ผู้สมัคร สส. คนนี้เล่าวิธีการซื้อเสียงของเขาให้ผมฟังโดยละเอียด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิวัติประชาชนของอาจารย์ธีรยุทธไม่ได้วางอยู่บนข้อเท็จจริงของสังคมไทยปัจจุบัน การปฏิวัติประชาชนตามข้ออ้างจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ ของอาจารย์ ล้วนแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติของประชาชนเพื่อโค่นล้มผู้กุมอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมเพราะผูกขาดอำนาจเป็นของตนเอง ตลอดจนเป็นการโค่นอำนาจรัฐที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยที่ประชาชนเป็นใหญ่มากขึ้น หากแต่เราจะถือว่า “มวลมหาประชาชน” หนึ่งล้านห้าแสนคน หรือต่อให้สองล้านคนในมวลชนนกหวีดเป็น “ประชาชน” ในความหมายนั้นได้หรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ชัยวัฒน์ครับ ผมยินดีที่อาจารย์ออกมาแสดงความเห็นในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ นี่ย่อมต้องเป็นสถานการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจารย์ก็จะไม่แสดงความเห็นอย่างแน่นอน ดังเช่นเมื่อปี 2553 เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิต 90 กว่าคน บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน อาจารย์ก็ยังเงียบงันจนผมสงสัยและได้เคยตั้งคำถามอาจารย์ไปแล้วว่า "นักสันติวิธีหายไปไหนในภาวะสงคราม"