Skip to main content
การที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ออกมาแสดงความเห็นว่ามีการสร้างกระแสกดดันศาลต่างๆ นานา (ดู https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2081366) มองในแง่ดี ผมคิดว่านี่คือการออกมาอธิบายกับสังคมอีกครั้งของผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดแจ้ง หลังจากที่มีการชี้แจงถึงเหตุผลการไม่ปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองโดยโฆษกศาลและโฆษกกระทรวงยุติธรรมก่อนหน้านี้ 

ผมไม่ถือว่านี่เป็นการข่มขู่ด้วยการอ้างอำนาจศาล ผมกลับถือว่านี่เป็นการที่อธิบดีฯ กล้าออกมาอธิบายพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชน และย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ประชาชนที่เสียภาษีและมอบอำนาจอธิปไตยให้ท่านช่วยดูแลให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน จะแสดงความเห็นต่ออธิบดีฯ และสถาบันตุลาการอย่างตรงไปตรงมา ผมขอตั้งคำถามกับท่านและสถาบันตุลาการดังนี้ 

 

ท่านเคยเห็นประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อศาลมากเท่านี้มาก่อนหรือไม่ สถาบันตุลาการกำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเกินขอบเขตหรือไม่ สถาบันตุลาการจะมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนี้อย่างไร

 

1) ท่านเคยเห็นประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อศาลมากเท่านี้มาก่อนหรือไม่ 

 

ความเสื่อมศรัทธาที่ประชาชนมีต่อศาลนั้นมาจากการที่ผู้คนสงสัยในความ “สองมาตรฐาน” ของสถาบันตุลาการในกรณีของคดีการเมือง ดังเช่น กรณีของกลุ่ม กปปส. ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว เพื่อให้พวกเขาได้ต่อสู้คดีในขั้นต่อไปได้อย่างเต็มที่ และเป็นไปตามหลักการต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาบริสุทธิ์จนกว่าคดีจะสิ้นสุด 

 

แต่กับกรณีของผู้ชุมนุมทางการเมืองกลุ่มเยาวชน พวกเขากลับถูกถือเสมือนว่ากระทำผิดไปแล้ว ถูกถือเสมือนว่าตัดสินความผิดไปแล้ว จากเหตุของการไม่ปล่อยตัวประชาชนที่ต้องคดีเหล่านี้ตามที่ท่านกล่าวว่า (ดู https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2081366)

 

“อาศัยหลักตามมาตรา 108/1 ที่ว่าหากให้ประกันแล้ว เกรงว่าจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น ซึ่งเหตุนี้มีความหมายว่า เป็นเรื่องที่กระทำมาแล้ว แล้วจะกลับไปกระทำอีก ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที ในเมื่อฟ้องมาแล้วว่าทำอย่างนี้ เมื่อปล่อยไปก็ไปกระทำอีก อันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่นก็ได้หรือเป็นเหตุอันตรายประการอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคดีนี้”  

 

ข้อนี้จะถือว่าเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ถือว่าเป็นการตัดสินล่วงหน้าว่าจะไป “ก่อเหตุอื่น” ที่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรแล้วจะเป็นอันตรายได้อย่างไร หรือไม่ แล้วท่านเองก็ยังว่า “ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที ในเมื่อฟ้องมาแล้วว่าทำอย่างนี้ เมื่อปล่อยไปก็ไปกระทำอีก อันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่น” ตามคำกล่าวของท่านอธิบดีฯ ตรงนี้เอง มีรายละเอียดที่น่าพิจารณา 2 เรื่องด้วยกัน 

 

เรื่องแรกที่ท่านว่า “ผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที” นั้น อันที่จริงศาลเคยสั่งไม่ปล่อยตัวด้วยเหตุผลที่ว่า “มีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยทั้งสี่อาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก” ก่อนที่หลังจากนั้นจะให้เหตุผลสั้นๆ ในการขอปล่อยตัวแล้วศาลสั่งไม่ปล่อยตัวครั้งต่อๆ ไปอีกหลายครั้งว่า “ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” (ดู https://www.bbc.com/thai/thailand-56220928) ประชาชนตั้งข้อสงสัยมากกว่า นี่จะนับว่าเป็นการที่ศาล “ตัดสิน” ไปก่อนการพิจารณาคดีแล้วหรือไม่ว่าผู้ต้องหากระทำผิด และนี่ทำให้ประชาชนสงสัยว่า ศาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 29 โดยเคร่งครัดหรือไม่ (อ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา ได้ตั้งคำถามนี้ไว้โดยละเอียดแล้ว https://www.facebook.com/ThaiAcademicNetworkforCivilRights/photos/a.487222531441124/1933516940145002/)

 

อีกเรื่องได้แก่คำถามที่ว่า อะไรคือ “อันตรายประการอื่น” ถ้อยคำเช่นนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตีขลุมเกินไปแล้วละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาหรือไม่ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเหล่านี้มากกว่าอีกกลุ่มหรือไม่ ท่านมั่นใจผู้ต้องหาคดี กปปส. มากกว่าผู้ต้องหาคดีกลุ่มเยาวชนกลุ่มนี้ได้อย่างไร ใช้บรรทัดฐานทางกฎหมายอะไรมาพิจารณาแตกต่างกัน แล้วหากดุลพินิจบกพร่อง ท่านจะรับผิดชอบกันอย่างไร

 

2) สถาบันตุลาการกำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเกินขอบเขตหรือไม่

 

ข้อนี้แสดงให้เห็นจากการใช้ถ้อยดังในการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองล่าสุดนั้น เป็นได้โดยมีเงื่อนไขว่า “ห้ามมิให้ทั้งสองทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” 

 

ประชาชนสงสัยว่ากิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออะไร มีความเชื่อมโยงกับคดีอย่างไร คดีมาตรา 112” ไม่มีข้อความหรือถ้อยคำที่ระบุว่าห้ามทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วการที่ศาลตั้งเงื่อนไขลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินเลยขอบเขตอำนาจศาลหรือเปล่า เป็นการเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่เสียเองหรือเปล่า มีอะไรบ้างที่ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเจ้าหน้าที่รัฐตีขลุมหรือตีความกว้างขวางว่า แม้กระทั่งการเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเงินและนั่งทับกระเป๋าเงินก็ถือว่าเป็นความเสื่อมเสียแล้วได้หรือไม่ 

 

ยิ่งกว่านั้น อะไรคือสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอนว่าหลายคนอาจจะเห็นว่าคำนี้เป็นคำที่ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว หากแต่เราก็ได้เคยเห็นมาแล้วว่า แม้แต่บูรพกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่ได้อยู่ในการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ยังเคยถูกตีความให้ได้รับการคุ้มครองโดยมาตรา 112 จนเป็นเหตุให้มีการนำไปฟ้องร้องและศาลก็รับฟ้องได้ แล้วคำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในงื่อนไขการปล่อยตัวนี้ จะหมายถึงกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนบูรพกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วยหรือไม่ หรือหากมีจะตีความรวมกระทั่ง อาคาร ที่ดิน รูปภาพ ฯลฯ องคาพยพใดๆ ที่ก่อให้เกิดและอำนวยให้ดำเนินไปซึ่งอำนาจและบารมีของกษัตริย์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันกษัตริย์ จะเป็นอย่างไร แล้วนี่จะถือว่าเงื่อนไขนี้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาหรือไม่ 

 

3) สถาบันตุลาการจะมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนี้อย่างไร

 

ในฐานะที่ว่าศาลและสถาบันตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและประวัติศาสตร์ที่ใหญ่โตกว้างไกลกว่าสถาบันตุลาการเอง ท่านเองและสถาบันตุลาการตระหนักหรือไม่ว่า สถาบันตุลาการต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ด้วย 

 

ผมเข้าใจว่าท่านทราบดีว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิต นักศึกษา ประชาชน ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 นั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แสดงถึงวิกฤติของสังคมไทยอีกช่วงหนึ่ง หากท่านไม่เห็นว่าสังคมไทยกำลังเกิดวิกฤติอย่างไร ท่านก็ไม่สมควรมีอำนาจมากมายอย่างที่ท่านมีอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะท่านไม่เข้าใจบริบทแวดล้อมความเป็นไปของสังคมมากพอที่จะดูแลปกป้องความยุติธรรมให้สังคมได้อีกต่อไป และท่านรวมทั้งผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายก็ควรจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้มากขึ้นว่าบ้านเมืองเราขณะนี้มีปัญหาอะไรกันแน่

 

เอาล่ะ สมมติว่าท่านเข้าใจ ท่ามกลางวิกฤติเหล่านี้ ผมขอตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมากับท่านว่า วิกฤตินี้เป็นเรื่องของความขัดแย้งของประชาชนกับรัฐบาล หรือองคาพยพส่วนอื่นๆ ของสังคมรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมเองมีส่วนในความขัดแย้งนี้ด้วย ท่านเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมเอง (เช่น การใช้ ปมอ. มาตรา 112 การใช้ ปมอ. มาตรา 116 และกฎหมายอื่นๆ ในทางการเมือง) มีปัญหาหรือไม่ ท่านคิดว่าท่านเองมีส่วนที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ หรือท่านและสถาบันตุลาการจะเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองหนึ่งของอำนาจรัฐ ที่อาจจะถูกรัฐบาลหรืออำนาจอื่นใดฉวยใช้เพียงเพราะท่านละเลยปัญหาที่ใหญ่กว่าคดีความที่อยู่ต่อหน้าตัวท่านเอง 

 

ท่านจะเพียงใช้อำนาจในขอบเขตของท่านโดยอ้างว่า ปัญหาอื่นๆ นั้นช่างใหญ่โตเกินกว่าที่ท่านจะทำอะไรได้ แค่เพียงท่านทำตามอำนาจหน้าที่ของท่านก็แล้วก็ปัดความรับผิดชอบไปให้ส่วนอื่นๆ ของสังคมรับผิดชอบเอาเอง  เมื่อท่านตัดสินคดีความเสร็จ พวกท่านก็กลับบ้านนอนดูความพังทลายของสังคมโดยไม่ต้องแยแสกับความบิดเบี้ยวของสังคมที่กำลังดำเนินไปอยู่ขณะนี้หรืออย่างไร

 

สรุปแล้ว ท่านคิดว่าศาลและกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดเองมีส่วนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไหม แล้วพวกท่านคิดจะแก้ไขความเสื่อมนี้อย่างไร สถาบันตุลาการเองมีส่วนเป็นการเปิดช่องให้มีการละเมิด คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วท่านตระหนักหรือไม่ว่าสถาบันตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนี้ ท่านเองจะมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ หรือจะดึงดันถือทิฐิว่าศาลย่อมถูกต้องเสมอ 

 

ด้วยความเชื่อมั่นต่อความยุติธรรมและหลักมนุษยธรรม

 

ยุกติ มุกดาวิจิตร

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
คำถามที่ว่า "นายสุเทพ เทือกสุบรรณและพรรคประชาธิปัตย์ได้รับสัญญาณอะไรพิเศษหรือไม่จึงกล้าบ้าบิ่นได้ขนาดนี้?" คำถามที่ว่า "เครือข่ายชนชั้นนำเก่าฉวยโอกาสตีตลบหลังเครือข่ายทักษิณ ผ่านอำนาจตุลาการและองค์กรอิสระต่างๆ ด้วยหรือไม่" นั้น ผมไม่มีปัญญาตอบ ขอติดตามการวิเคราะห์ของผู้อื่นที่เข้าถึงข้อมูลแปลกๆ หรือมีทฤษฎีวิเคราะห์การเมืองไทยจากมุมชนชั้นนำทางการเมืองมาเล่าเองดีกว่า ส่วนตัวผมอยากทำความเข้าใจมวลชน หรืออย่างน้อยอยากเข้าใจเพื่อนๆ มากกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอตั้งข้อสังเกตต่อสถานการณ์ขณะนี้ 3 ข้อ ว่าด้วย ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ฝ่ายหนุนรัฐบาล และความเสี่ยงของประเทศ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชีวิตคนมีหลายด้าน คนหลายกลุ่มไม่ได้หมกมุ่นวุ่นวายเรื่องใดเรื่องเดียวกับเรา ผมอยากเขียนถึงคนที่แม่สอด ไม่ใช่เพื่อหลีกลี้หนีจากความวุ่นวายในกรุงเทพ แต่เพื่อบันทึกความประทับใจจากการพบปะผู้คนที่เพิ่งได้ไปเจอมา 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จดหมายเปิดผนึกของคณาจารย์ธรรมศาสตร์เป็นตัวอย่างของการคัดค้านพรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเหมาเข่งอย่างคับแคบ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"พี่จะไปเวียดนามครั้งแรก มีอะไรแนะนำมั่ง" เพื่อนคนหนึ่งเขียนมาถามอย่างนั้นพร้อมส่งโปรแกรมการเดินทางที่กลุ่มเขาจะเดินทางด้วยมาให้ดู ผมเลยตอบไปคร่าวๆ ข้างล่างนี้ เพื่อนยุให้นำมาเผยแพร่ต่อที่นี่ ยุมาก็จัดไปครับ เผื่อเป็นไอเดียสำหรับใครที่จะไปเวียดนามเหนือช่วงนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คงมีใครเคยอธิบายเรื่องนี้ไปแล้วอย่างเป็นระบบและมีการอ้างอิงอย่างเป็นวิชาการอย่างที่สุด แต่ผมก็ยังอยากเขียนเรื่องนี้อย่างย่นย่อในวันนี้อีกอยู่ดี 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แว่บแรกที่ฟังจบ ผมอุทานในใจว่า "ปาฐกถาเสกสรรค์โคตรเท่!" ผมไม่คาดคิดเลยว่าปาฐกถา อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในวาระ 40 ปี 14 ตุลาจะเท่ขนาดนี้ ผมว่ามีประเด็นมากมายที่ไม่ต้องการการสรุปซ้ำ เพราะมันชัดเจนในตัวของมันเอง อย่างน้อยในหูและหัวของผม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวครม.ผ่านร่างพรบ.ว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ชวนให้ผู้เขียนเศร้าใจจนกลายเป็นโกรธและสมเพชรัฐบาลอย่างเกินเวทนา ผู้บริหารประเทศนี้ชักจะบ้าจี้กันไปใหญ่แล้ว ความจริงไม่ใช่นักการเมืองบ้าอำนาจหรอก แต่นักการเมืองประเทศนี้เกรงกลัวสถาบันหลักต่างๆ อย่างไร้สติกันเกินไปแล้ว จนกระทั่งออกกฎหมายป้อยอ ปกป้องกันจนจะบิดเบือนธรรมชาติของสังคมกันไปใหญ่แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หลังยุค 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 คนหนุ่มสาวรุ่นหลังมักถูกตั้งคำถามเสมอว่า "นักศึกษาหายไปไหน" กระทั่งสรุปกันไปเลยว่า "ขบวนการนักศึกษาตายแล้ว" แต่ใครจะถามบ้างไหมว่าที่ผ่านมาร่วม 40 ปีน่ะ สังคมไทยมันไม่เปลี่ยนไปบ้างเลยหรืออย่างไร แล้วจะให้ความคิดนักศึกษาหยุดอยู่นิ่งๆ คอยจ้องหาเผด็จการแบบเมื่อ 40 ปีที่แล้วอยู่ได้อย่างไร 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"นี่หรือธรรม..ธรรมศาสตร์ นี่แหละคือธรรม..ธรรมศาสตร์" กร๊ากๆๆ ขำจะตายอยู่แล้ว พวกคุณถามว่าทำไมนักศึกษาสมัยนี้สนใจเรื่องจิ๊บจ๊อย ไม่สนใจเรื่องใหญ่โต แล้วนี่พวกคุณทำอะไร เขาเถียงกันอยู่ว่าจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ดีไหม องค์กรซ้อนรัฐไหนกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างเขื่อน ใครกันที่สำรวจเรื่องเขื่อนแล้วสรุปให้สร้างซึ่งพอสร้างแล้วเงินก็เข้ากระเป๋าเขาเอง..
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เอ่อ.. คือ.. ผมก็เบื่อเรื่องนี้นะ อยากให้จบสักที แต่มันก็ไม่จบง่ายๆ มีอาจารย์ใส่เครื่องแบบถ่ายภาพตัวเอง มีบทสัมภาษณ์ มีข่าวต่อเนื่อง มีเผจล้อเลียน มีโพลออกมา มีคนโต้เถียง ฯลฯลฯ แต่ที่เขียนนี่ อยากให้นักศึกษาที่อึดอัดกับการต่อต้านการแต่งเครื่องแบบนักศึกษาอ่านมากที่สุดนะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทำไมปรากฏการณ์แฟรงค์ เนติวิทย์ และอั้ม เนโกะจึงทำให้สังคมไทยดิ้นพล่าน