Skip to main content
การที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ออกมาแสดงความเห็นว่ามีการสร้างกระแสกดดันศาลต่างๆ นานา (ดู https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2081366) มองในแง่ดี ผมคิดว่านี่คือการออกมาอธิบายกับสังคมอีกครั้งของผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดแจ้ง หลังจากที่มีการชี้แจงถึงเหตุผลการไม่ปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองโดยโฆษกศาลและโฆษกกระทรวงยุติธรรมก่อนหน้านี้ 

ผมไม่ถือว่านี่เป็นการข่มขู่ด้วยการอ้างอำนาจศาล ผมกลับถือว่านี่เป็นการที่อธิบดีฯ กล้าออกมาอธิบายพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชน และย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ประชาชนที่เสียภาษีและมอบอำนาจอธิปไตยให้ท่านช่วยดูแลให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน จะแสดงความเห็นต่ออธิบดีฯ และสถาบันตุลาการอย่างตรงไปตรงมา ผมขอตั้งคำถามกับท่านและสถาบันตุลาการดังนี้ 

 

ท่านเคยเห็นประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อศาลมากเท่านี้มาก่อนหรือไม่ สถาบันตุลาการกำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเกินขอบเขตหรือไม่ สถาบันตุลาการจะมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนี้อย่างไร

 

1) ท่านเคยเห็นประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อศาลมากเท่านี้มาก่อนหรือไม่ 

 

ความเสื่อมศรัทธาที่ประชาชนมีต่อศาลนั้นมาจากการที่ผู้คนสงสัยในความ “สองมาตรฐาน” ของสถาบันตุลาการในกรณีของคดีการเมือง ดังเช่น กรณีของกลุ่ม กปปส. ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว เพื่อให้พวกเขาได้ต่อสู้คดีในขั้นต่อไปได้อย่างเต็มที่ และเป็นไปตามหลักการต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาบริสุทธิ์จนกว่าคดีจะสิ้นสุด 

 

แต่กับกรณีของผู้ชุมนุมทางการเมืองกลุ่มเยาวชน พวกเขากลับถูกถือเสมือนว่ากระทำผิดไปแล้ว ถูกถือเสมือนว่าตัดสินความผิดไปแล้ว จากเหตุของการไม่ปล่อยตัวประชาชนที่ต้องคดีเหล่านี้ตามที่ท่านกล่าวว่า (ดู https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2081366)

 

“อาศัยหลักตามมาตรา 108/1 ที่ว่าหากให้ประกันแล้ว เกรงว่าจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น ซึ่งเหตุนี้มีความหมายว่า เป็นเรื่องที่กระทำมาแล้ว แล้วจะกลับไปกระทำอีก ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที ในเมื่อฟ้องมาแล้วว่าทำอย่างนี้ เมื่อปล่อยไปก็ไปกระทำอีก อันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่นก็ได้หรือเป็นเหตุอันตรายประการอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคดีนี้”  

 

ข้อนี้จะถือว่าเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ถือว่าเป็นการตัดสินล่วงหน้าว่าจะไป “ก่อเหตุอื่น” ที่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรแล้วจะเป็นอันตรายได้อย่างไร หรือไม่ แล้วท่านเองก็ยังว่า “ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที ในเมื่อฟ้องมาแล้วว่าทำอย่างนี้ เมื่อปล่อยไปก็ไปกระทำอีก อันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่น” ตามคำกล่าวของท่านอธิบดีฯ ตรงนี้เอง มีรายละเอียดที่น่าพิจารณา 2 เรื่องด้วยกัน 

 

เรื่องแรกที่ท่านว่า “ผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที” นั้น อันที่จริงศาลเคยสั่งไม่ปล่อยตัวด้วยเหตุผลที่ว่า “มีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยทั้งสี่อาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก” ก่อนที่หลังจากนั้นจะให้เหตุผลสั้นๆ ในการขอปล่อยตัวแล้วศาลสั่งไม่ปล่อยตัวครั้งต่อๆ ไปอีกหลายครั้งว่า “ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” (ดู https://www.bbc.com/thai/thailand-56220928) ประชาชนตั้งข้อสงสัยมากกว่า นี่จะนับว่าเป็นการที่ศาล “ตัดสิน” ไปก่อนการพิจารณาคดีแล้วหรือไม่ว่าผู้ต้องหากระทำผิด และนี่ทำให้ประชาชนสงสัยว่า ศาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 29 โดยเคร่งครัดหรือไม่ (อ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา ได้ตั้งคำถามนี้ไว้โดยละเอียดแล้ว https://www.facebook.com/ThaiAcademicNetworkforCivilRights/photos/a.487222531441124/1933516940145002/)

 

อีกเรื่องได้แก่คำถามที่ว่า อะไรคือ “อันตรายประการอื่น” ถ้อยคำเช่นนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตีขลุมเกินไปแล้วละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาหรือไม่ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเหล่านี้มากกว่าอีกกลุ่มหรือไม่ ท่านมั่นใจผู้ต้องหาคดี กปปส. มากกว่าผู้ต้องหาคดีกลุ่มเยาวชนกลุ่มนี้ได้อย่างไร ใช้บรรทัดฐานทางกฎหมายอะไรมาพิจารณาแตกต่างกัน แล้วหากดุลพินิจบกพร่อง ท่านจะรับผิดชอบกันอย่างไร

 

2) สถาบันตุลาการกำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเกินขอบเขตหรือไม่

 

ข้อนี้แสดงให้เห็นจากการใช้ถ้อยดังในการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองล่าสุดนั้น เป็นได้โดยมีเงื่อนไขว่า “ห้ามมิให้ทั้งสองทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” 

 

ประชาชนสงสัยว่ากิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออะไร มีความเชื่อมโยงกับคดีอย่างไร คดีมาตรา 112” ไม่มีข้อความหรือถ้อยคำที่ระบุว่าห้ามทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วการที่ศาลตั้งเงื่อนไขลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินเลยขอบเขตอำนาจศาลหรือเปล่า เป็นการเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่เสียเองหรือเปล่า มีอะไรบ้างที่ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเจ้าหน้าที่รัฐตีขลุมหรือตีความกว้างขวางว่า แม้กระทั่งการเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเงินและนั่งทับกระเป๋าเงินก็ถือว่าเป็นความเสื่อมเสียแล้วได้หรือไม่ 

 

ยิ่งกว่านั้น อะไรคือสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอนว่าหลายคนอาจจะเห็นว่าคำนี้เป็นคำที่ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว หากแต่เราก็ได้เคยเห็นมาแล้วว่า แม้แต่บูรพกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่ได้อยู่ในการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ยังเคยถูกตีความให้ได้รับการคุ้มครองโดยมาตรา 112 จนเป็นเหตุให้มีการนำไปฟ้องร้องและศาลก็รับฟ้องได้ แล้วคำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในงื่อนไขการปล่อยตัวนี้ จะหมายถึงกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนบูรพกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วยหรือไม่ หรือหากมีจะตีความรวมกระทั่ง อาคาร ที่ดิน รูปภาพ ฯลฯ องคาพยพใดๆ ที่ก่อให้เกิดและอำนวยให้ดำเนินไปซึ่งอำนาจและบารมีของกษัตริย์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันกษัตริย์ จะเป็นอย่างไร แล้วนี่จะถือว่าเงื่อนไขนี้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาหรือไม่ 

 

3) สถาบันตุลาการจะมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนี้อย่างไร

 

ในฐานะที่ว่าศาลและสถาบันตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและประวัติศาสตร์ที่ใหญ่โตกว้างไกลกว่าสถาบันตุลาการเอง ท่านเองและสถาบันตุลาการตระหนักหรือไม่ว่า สถาบันตุลาการต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ด้วย 

 

ผมเข้าใจว่าท่านทราบดีว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิต นักศึกษา ประชาชน ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 นั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แสดงถึงวิกฤติของสังคมไทยอีกช่วงหนึ่ง หากท่านไม่เห็นว่าสังคมไทยกำลังเกิดวิกฤติอย่างไร ท่านก็ไม่สมควรมีอำนาจมากมายอย่างที่ท่านมีอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะท่านไม่เข้าใจบริบทแวดล้อมความเป็นไปของสังคมมากพอที่จะดูแลปกป้องความยุติธรรมให้สังคมได้อีกต่อไป และท่านรวมทั้งผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายก็ควรจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้มากขึ้นว่าบ้านเมืองเราขณะนี้มีปัญหาอะไรกันแน่

 

เอาล่ะ สมมติว่าท่านเข้าใจ ท่ามกลางวิกฤติเหล่านี้ ผมขอตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมากับท่านว่า วิกฤตินี้เป็นเรื่องของความขัดแย้งของประชาชนกับรัฐบาล หรือองคาพยพส่วนอื่นๆ ของสังคมรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมเองมีส่วนในความขัดแย้งนี้ด้วย ท่านเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมเอง (เช่น การใช้ ปมอ. มาตรา 112 การใช้ ปมอ. มาตรา 116 และกฎหมายอื่นๆ ในทางการเมือง) มีปัญหาหรือไม่ ท่านคิดว่าท่านเองมีส่วนที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ หรือท่านและสถาบันตุลาการจะเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองหนึ่งของอำนาจรัฐ ที่อาจจะถูกรัฐบาลหรืออำนาจอื่นใดฉวยใช้เพียงเพราะท่านละเลยปัญหาที่ใหญ่กว่าคดีความที่อยู่ต่อหน้าตัวท่านเอง 

 

ท่านจะเพียงใช้อำนาจในขอบเขตของท่านโดยอ้างว่า ปัญหาอื่นๆ นั้นช่างใหญ่โตเกินกว่าที่ท่านจะทำอะไรได้ แค่เพียงท่านทำตามอำนาจหน้าที่ของท่านก็แล้วก็ปัดความรับผิดชอบไปให้ส่วนอื่นๆ ของสังคมรับผิดชอบเอาเอง  เมื่อท่านตัดสินคดีความเสร็จ พวกท่านก็กลับบ้านนอนดูความพังทลายของสังคมโดยไม่ต้องแยแสกับความบิดเบี้ยวของสังคมที่กำลังดำเนินไปอยู่ขณะนี้หรืออย่างไร

 

สรุปแล้ว ท่านคิดว่าศาลและกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดเองมีส่วนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไหม แล้วพวกท่านคิดจะแก้ไขความเสื่อมนี้อย่างไร สถาบันตุลาการเองมีส่วนเป็นการเปิดช่องให้มีการละเมิด คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วท่านตระหนักหรือไม่ว่าสถาบันตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนี้ ท่านเองจะมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ หรือจะดึงดันถือทิฐิว่าศาลย่อมถูกต้องเสมอ 

 

ด้วยความเชื่อมั่นต่อความยุติธรรมและหลักมนุษยธรรม

 

ยุกติ มุกดาวิจิตร

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
มาเกียวโตเที่ยวนี้หนาวที่สุดเท่าที่เคยมา (สัก 6 ครั้งได้แล้ว) อุณหภูมิอยู่ราวๆ 0-5 องศาเซลเซียสตลอด แต่นี่ยังไม่เท่าเมืองที่เคยอยู่ คือวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ราวๆ -20 องศาเซลเซียส และเคยหนาวได้ถึง -40 องศาเซลเซียส หนาวขนาดนั้นมีแต่นกกากับกระรอก ที่อึดพอจะอยู่นอกอาคารได้นานๆ แต่ที่เกียวโต คนยังสามารถเดินไปเดินมา หรือกระทั่งเดินเล่นกันได้เป็นชั่วโมงๆ หากมีเครื่องกันหนาวที่เหมาะสม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสัมมนาที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อวันที่ 23-24 มค. ยังความรื่นรมย์มสู่แวดวงวิชาการสังคมศาสตร์อีกครั้ง ถูกต้องแล้วครับ งานนี้เป็นงาน "เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 7" หากแต่อุดมคับคั่งไปด้วยนักสังคมศาสตร์ (ฮ่าๆๆๆ) น่ายินดีที่ได้พบเจอเพื่อนฝูงทั้งเก่าทั้งใหม่มากหน้าหลายตา แต่ที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นคือการได้สนทนาทั้งอย่างเป็นทางการ ผ่านงานเขียนและการคิดอ่านกันอย่างจริงจัง บนเวทีวิชาการ กับเพื่อนๆ นักวิชาการรุ่นใหม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อเช้า (26 มค.) ผมไปเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขตจอมทอง ด้วยเหตุจำเป็นไม่สามารถไปเลือกตั้งวันที่ 2 กพ. ได้ ก่อนไป สังหรณ์ใจอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่ดี ผมไปถึงเขตเลือกตั้งเวลาประมาณ 9:00 น. สวนทางกับผู้ชุมนุมนกหวีดที่กำลังออกมาจากสำนักงานเขต นึกได้ทันทีว่ามีการปิดหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า มวลชนหลักร้อย ดูฮึกเหิม ท่าทางจะไปปิดหน่วยเลือกตั้งอื่นต่อไป ผมถ่ายรูปคนจำนวนหนึ่งไว้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หนังสือ ประวัติศาสตร์ไทดำ : รากเหง้าวัฒนธรรม-สังคมไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2557) เล่มนี้เป็นผลจากการวิจัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมทำวิจัยชิ้นนั้นก็เพื่อให้เข้าใจงานเขียนทางประวัติศาสตร์ของชาวไทในเวียดนามสำหรับทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก แต่เนื้อหาของหนังสือนี้แทบไม่ได้ถูกนำเสนอในวิทยานิพนธ์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดือนที่แล้ว หลังเสร็จงานเขียนใหญ่ชิ้นหนึ่ง ผมกะจะหลบไปไหนสัก 4-5 วัน ระยะนั้นประเด็นวันเลือกตั้งยังไม่เข้มข้นขนาดทุกวันนี้ ลืมนึกไปจนกลายเป็นว่า ตัวเองกำหนดวันเดินทางในช่วงวันเลือกตั้ง 2 กพ. 57 พอดี เมื่อมาคิดได้ เมื่อวันที่ 14 มค. ก็เลยถือโอกาสที่ที่ทำงานให้หยุดงานไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตตนเอง ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็ได้เอกสารมาเก็บไว้ รอไปเลือกตั้งล่วงหน้าวันอาทิตย์ที่ 26 มค.
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เหตุที่ประโยค Respect My Vote. กลายเป็นประโยคที่นำไปใช้ต่อ ๆ กันแพร่หลายกินใจผู้รักประชาธิปไตยในขณะนี้ ไม่เพียงเพราะประโยคนี้มีความหมายตามตัวอักษร แต่เพราะประโยคนี้ยังเป็นถ้อยแถลงทางการเมืองของประชาชน ที่ประกาศว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 9 มกราคม 2557 เวทีเสวนาประชาธิปไตยภาคใต้ ได้จัดอภิปรายเรื่อง "ปฏิรูปประเทศไทย : ปาตานีในระยะเปลี่ยนผ่าน" ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผมกับอาจารย์เอกชัย ไชยนุวัติ ได้รับเชิญในฐานะตัวแทนจากสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยไปร่วมบรรยายกับวิทยากรชาวปัตตานีและชาวสงขลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมอยู่ในแวดวงวิชาการ พร้อม ๆ กับทำกิจกรรมบริการทางสังคมด้านสิทธิ-เสรีภาพ การบริการทางสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทางวิชาการ นอกเหนือจากการสอน การทำวิจัย และการเขียนงานวิชาการ แต่ในโลกทางวิชาการไทยปัจจุบัน เมื่อคุณก้าวออกมานอกรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว คุณจะกลายเป็น "คนมีสีเสื้อ" ไม่ว่าปกติคุณจะใส่เสื้อสีอะไร จะมีสติ๊กเกอร์ติดเสื้อคุณอยู่เสมอว่า "เสื้อตัวนี้สี..." เพียงแต่เสื้อบางสีเท่านั้นที่ถูกกีดกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคือการยึดอำนาจของ กปปส. เพื่อจัดตั้งสภาประชาชน ไม่มีทางที่การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งจะเป็นการปฏิรูปที่ปวงชนชาวไทยจะมีส่วนร่วม เนื่องจาก...
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมเก็บข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2553-2554 จนถึงหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผมมีโอกาสได้สัมภาษ์นักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขตของพรรคหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ไม่ใช่จังหวัดเสื้อแดงแจ๋อย่างอุดรธานีหรือขอนแก่น เขตเลือกตั้งนี้เป็นเขตเลือกตั้งในชนบท เป็นพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงอยู่่พอสมควร แต่ไม่เด็ดขาด ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอันเนื่องมาจากโยงใยที่ใกล้ชิดกับผู้ที่แนะนำให้ผมติดต่อไปสัมภาษณ์ ผู้สมัคร สส. คนนี้เล่าวิธีการซื้อเสียงของเขาให้ผมฟังโดยละเอียด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิวัติประชาชนของอาจารย์ธีรยุทธไม่ได้วางอยู่บนข้อเท็จจริงของสังคมไทยปัจจุบัน การปฏิวัติประชาชนตามข้ออ้างจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ ของอาจารย์ ล้วนแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติของประชาชนเพื่อโค่นล้มผู้กุมอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมเพราะผูกขาดอำนาจเป็นของตนเอง ตลอดจนเป็นการโค่นอำนาจรัฐที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยที่ประชาชนเป็นใหญ่มากขึ้น หากแต่เราจะถือว่า “มวลมหาประชาชน” หนึ่งล้านห้าแสนคน หรือต่อให้สองล้านคนในมวลชนนกหวีดเป็น “ประชาชน” ในความหมายนั้นได้หรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ชัยวัฒน์ครับ ผมยินดีที่อาจารย์ออกมาแสดงความเห็นในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ นี่ย่อมต้องเป็นสถานการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจารย์ก็จะไม่แสดงความเห็นอย่างแน่นอน ดังเช่นเมื่อปี 2553 เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิต 90 กว่าคน บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน อาจารย์ก็ยังเงียบงันจนผมสงสัยและได้เคยตั้งคำถามอาจารย์ไปแล้วว่า "นักสันติวิธีหายไปไหนในภาวะสงคราม"