นาโก๊ะลี
ช่วงกลางเดือนสิงหาคม ได้มีช่วงจังหวะการเดินทางของชีวิตที่ได้แวะเวียนไปที่บ้านหนองเต่า ขุนดอยแม่วาง เชียงใหม่ หมู่บ้านปกาเกอะญอ และบ้านของพะตีจอนิ โอโดเชา ปราชญ์ชาวปกาเกอะญอ ผู้ที่ไม่ว่าจะได้รับการยอมรับหรือการยกย่องอย่างไรก็ยังใช้ชีวิตอยู่บนผืนดินดังเดิมตามที่บรรพชนเคยเป็นมา ว่าอันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสอยู่ร่วมในพิธีกรรมอันงดงามเช่นนี้ ว่าก็คือพิธีมัดมือ (กีจือ ในภาษาปกาเกอะญอ แปลออกมาตรงตัวว่า มัดมือ ก็คือการผูกแขน หรือบายศรีคล้ายของคนเมืองและลาว) คงจะไม่ว่าถึงรูปแบบพิธีกรรม หรือความเชื่อของประเพณีโดยละเอียดนักในวาระนี้ แต่สิ่งที่อยากจะพูดถึงคือเรื่องพลังงาน อย่างไรหรือ.....? เรื่องก็มีอยู่ว่า ในงานพิธีมัดมือนั้น โดยส่วนใหญ่จะทำพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านก็อาจทำไม่พร้อมกัน บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าหมู่บ้าน (ฮีโข่) ตามแบบโบราณ หรือก็อาจจะขึ้นอยู่กับว่า ลูกหลานที่ไปอยู่นอกบ้านต่างเมืองกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันหรือไม่ พิธีเริ่มจากช่วงเช้า หลังจากที่ก่อนหน้าวันงาน ทุกบ้านก็เตรียมข้าวของเครื่องเซ่นไหว้ อาหารการกิน ต้มเหล้า ขนม ข้าวต้มตามสมควร เช้าวันงาน หลังจากทำอาหาร โดยมากมักจะเป็นเนื้อไก่ หรือหมู จัดเตรียมสำรับเรียบร้อย ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ ผู้เฒ่าในบ้าน มัดมือให้ลูกหลาน พ่อ แม่มัดให้ลูก พี่มัดให้น้อง ญาติมิตรเพื่อนพ้องมัดมือให้กัน
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น ถนนโคลีเซี่ยม ในตัวเมืองพัทลุง ณ วันนี้ แม่มดได้เปลี่ยนหน้า แม่มดยุคใหม่ร่ายมนต์แสงสีบรรเจิด แต่น่าแปลกที่เปลือกชีวิตยังวนๆอยู่ในเรื่องเดิมๆ การต่อสู้ดิ้นรนเรื่องเดิมๆ ความลึกลับในอานุภาพอันทรงพลังของความเปลี่ยนแปลง ก็ยังว่ายวนอยู่บนถนนสายนี้ จะดูซาลงบ้าง ก็เป็นบรรยากาศทึมๆเทาๆอย่างกับบ่ายมัวซัวของเมฆฝน...
ฐาปนา
ยุคข้าวยากหมากแพง สินค้าเกษตรจำพวกพืชผักเวลานี้ ราคาดีแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวซี่งแม้จะราคาตกมาหน่อย แต่ก็ดีกว่าปีก่อนๆ มากอื่นๆ ก็อาทิเช่นกะเพรา-ผักใบ ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารตามสั่ง แม่ค้าขายที่หน้าแผงกำละ 5-7 บาท แต่แม่ค้าคนกลางมารับซื้อที่หน้าไร่กิโลกรัมละ 5-10 บาทบวบ-ผักธรรมดาแต่ราคาไม่เคยตก ราคาจากสวนกิโลกรัมละ 7-10 บาทกล้วยน้ำว้า-ผลไม้บ้านๆ ธรรมดาสุดๆ แต่ขอโทษที-นาทีนี้ พ่อค้ามารับซื้อถึงสวนกล้วย หวีละ 8 บาทเป็นอย่างน้อย(ลูกเล็ก) เครือหนึ่งมีสักสิบหวี ก็เกือบร้อยบาทแล้ว
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พ่อคงไม่รักผมเพราะพ่อตีผมบ่อยๆ บางครั้งหนักๆ ไม่เคยกอด ไม่เคยเล่นกับผม แวบหนึ่ง...ผมอยากออกบ้านไปให้พ้น...แกเพียงพูดว่า“เมื่อแกมีลูก แกจะรู้เอง” วันนี้ผมมีลูกชายวัย 3 ขวบ 1 คน กำลังซนตอนเย็นวันหนึ่ง แกกินยาป้องกันหนูและแมลง ที่มีรูปแบนเป็นวงกลม แหว่งไปนิดหนึ่ง ผมบอกแกให้อ้าปาก คายออกมาให้หมด แกอ้าปาก ถ่มน้ำลาย ผมยังไม่หมดกังวล บอกให้แม่บ้านเอาเงินมาให้ผมเร็ว จะพาลูกไปโรงพยาบาล ผมคว้าเสื้อมาสวม กลัดกระดุม 2 เม็ด ไม่ตรงรูของมัน ชายเสื้อข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว อุ้มลูกวิ่งลงบันได เกือบลื่นล้ม วิ่งออกประตูบ้าน สู่ถนนใหญ่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุด เป็นโรงพยาบาลที่ผมมุ่งไปหา โบกรถสี่ล้อรับจ้าง คันใดก็ไม่ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่มี ความเข้าใจ ไม่มีรักไม่มี พัก ไม่มีแรงจักแข็งขันไม่มี หวัง ไม่มีที่ฝ่าฟันไม่มี ฝัน ไม่มีวันอันเลิศลอย ไม่มี กาม ไม่มีการก่อเกิด ไม่มี เปิด ไม่มีเข้าออกเคลื่อนคล้อยไม่มี ปิด ไม่มีเก็บรูปรอย ไม่มี หวานหยดย้อย ไม่มีมด ไม่มี ทรัพย์ ไม่มีบริวาร ไม่มี มาร ไม่มีบารมี - ปรากฏไม่มี เกียรติศักดิ์ศรี ไม่มียศ ไม่มี ปลดเปลื้อง ไม่มีการคลี่คลาย ไม่มี ดุล ไม่มีความงดงาม ไม่มี คำ ไม่มีความสื่อความหมายไม่มี ร้อน ไม่มีคนทุรนทุราย ไม่มี กาย ไม่มีรูปลักขณา ไม่มี ใจ ไม่มีนามความรู้สึก ไม่มี ผนึก ไม่มีมวลอันแน่นหนาไม่มี ทาง ไม่มีที่ไปมา ไม่มี กล้าขบถ ไม่มีชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ มี...เพราะมี - ผู้ที่กล้าขบถ ต่อ เกณฑ์ กฎ อันเลวร้ายและเหลวไหลแห่งอำนาจ อยุติธรรม ค้ำขืนใจ จึงจักได้ - ชีวิตใหม่ที่ดีงาม ขบถ..คือผู้กล้า - ยิ่งกว่ากล้า ในการท้าอำนาจอันน่าครั่นคร้ามเพราะขบถ...แล้วพ่ายแพ้สังคมทราม มีแต่ความตายกับคุก - เป็นโทษทัณฑ์. กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง หลายเดือนที่ผ่านมานี้ พี่ทำงานแทบไม่มีวันหยุด สภาพการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพมหานครเต็มไปด้วยภาระการงาน การทำงานอยู่ในสำนักงาน 8 ชั่วโมงการทำงาน เดินทางไม่ต่ำกว่าวันละ 2-3 ชั่วโมง คนที่อยู่ในเมืองนี้มีชีวิตเพื่องานและความไม่ว่างอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่การนั่งรถและเดินทางก็ยังต้องโทรศัพท์เพื่อติดต่องาน ทำงานนอกเหนือเวลาที่อยู่ในสำนักงานอีกด้วย
สร้อยแก้ว
ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
มาชา
พระดีนะ คนขายพระ บอกกับพระเลือกเลยนะ พระเพิ่งมาก่อนหน้านี่คราบยังเขรอะโคลนยังครองรับรองดีตื่นตีสี่ เที่ยวงมร่อน เสาะช้อนมาเชิญหลวงพี่ เดินดูได้ แผงไหนมีพระขุนแผนเลยนะนี่เซียนเสาะหาจับไว้ปล่อยเอากำไรไม่ผิดนาอย่างขี้-ขี้ก็หลักห้า ถ้าพูดดี แผงพระแบกะดินข้างวัดมหาธาตุ กรุงเทพฯพฤษภาคม ๕๑
โอ ไม้จัตวา
แทบไม่ต้องเขียนอะไรกับเพลงบทนี้ ขุนเขายะเยือก ชื่อเดียวกับหนังสือเล่มหนึ่ง ผลงานการประพันธ์เพลง และขับร้องโดย นิด ลายสือ หนุ่มอุดร ผู้ขับขานเพลงในท่วงทำนองแปลกหูแต่เนื้อหาต้องหยุดฟัง และบังเอิญมีภาพถ่ายอยู่ชุดหนึ่ง ถ่ายที่แม่น้ำแยงซีเกียง เมื่อคราวไปเยือนเมืองลี่เจียงหลายปีก่อน จุดที่อยู่นี้อยู่ที่ความสูงประมาณ 5 พันเมตรจากระดับน้ำทะเล สูงกว่าดอยอินทนนท์หนึ่งเท่า เป็นแม่น้ำแยงซีเกียงช่วงต้น ๆ
แสงดาว ศรัทธามั่น
ฉันนั่งนิ่ง ณ สถานที่แห่งหนึ่งในตัวเมือง ยามพรรษาฤดู แห่งดินแดนล้านนาอิสรา สายฝนโปรยปราย - โปรยปรอย ยามเช้า...เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้โครงเหล็กเก่าคร่ำคร่า ... น้องแมวสีเหลืองกระโดดขึ้นมามาบนโต๊ะมาทักทาย ฉั น - - - เหมียว... เหมียว... เหมียว.... นัยน์ตาสีเหลืองอ้อนมองดวงตาฉัน ฉันให้ปลาทูแด่เธอ ฉันเพิ่งเดินอออกไปซื้อที่ปากซอยข้างนอก และแล้วก็มีน้องแมวดำ และน้องหมาขาวเดินเข้ามาทักทายฉัน ฉันก็ให้ปลาทูแด่เธอทั้งสอง - - -ณ บ้าน - ร้านนี้ เจ้าของร้านและเพื่อนๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน เจ็ด, แปดคน ... พวกเขาเป็นคนใจบุญ - รักสัตว์... หมา แมว นก หนู กา ไก่ ฯลฯ เ ค ย มีคนเอาแมวมาปล่อย เขารักสัตว์เลี้ยงจริงหรือ ? เจ้าของแมวที่เอามาปล่อยหน่ะ... แต่เจ้าของร้านนี้เขาก็เอ็นดูเลี้ยงไว้หมด
ฐาปนา
สังคมชาวบ้าน แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน คนละตำบล คนละอำเภอ หรือแม้แต่คนละจังหวัด ถ้าได้ชื่อว่าเป็น “คนมีตังค์” ต่อให้ไกลแค่ไหน เมื่อมีใครสักคนพูดถึง ก็จะมีคนจดจำไว้ ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็มีคนรู้จัก เผลอๆ รู้ไปถึงวงศ์วานว่านเครือนู่น เหมือนที่เขาว่า มีเงินก็นับเป็นญาติ ใส่ผ้าขาดถึงเป็นญาติก็ไม่นับ อย่าง ตาผล คนตำบลใกล้เคียงไปได้เมียที่สมุทรสาคร ทำบ่อเลี้ยงปลา จนกระทั่งมีรถกระบะ 2-3 คัน เปิดร้านคอมพิวเตอร์ให้น้องเมียดูแล ลุงเปลี่ยน อยู่ท้ายหมู่บ้าน ใครก็รู้ว่ามีหนี้เยอะ แต่พอไปเป็นพ่อค้าคนกลางตระเวนซื้อของจากแถวบ้านไปขายที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีตังค์ ปลดหนี้สินไปจนหมด แถมกำลังจะปลูกบ้านใหม่ ลูกสาวคนโตกับลูกเขย ต้องออกจากงานโรงงานไปช่วยกันดูแลแผงขายของที่กรุงเทพฯ น้าใจ ทำนาทำไร่มีมั่งจนมั่ง วันหนึ่งมีคนรวยจากในเมืองมาขอซื้อที่ติดถนนแถวทางไปชะอำที่แกทิ้งร้างมานานปี แล้วปลูกอาคารพานิชย์สามชั้นสิบคูหา เขาว่า น้าใจได้เงินไปหลายล้าน พี่มาด ทำกับข้าวทำขนมขายพอมีพอกิน ไปได้แฟนเป็นฝรั่งแก่ ปลูกบ้านหลังเบ้อเริ่มให้อยู่ แถมจ้างอีกเดือนละหมื่นให้อยู่บ้านดูแลสามี สบายไป ฯลฯ
ชนกลุ่มน้อย
ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน ราวกับภาพวาดในม่านฝน เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ ผมกลับบ้านทุกครั้ง ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้ ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ ยังมีร้านกาแฟ ชาผงชงถุงแบบโบราณ โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ ชงหวานชงขม ใส่นมข้นหวาน น้ำตาลกับโกปี้ โต๊ะต่อโต๊ะ เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา รับลมพัดมาแรงๆ มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง คราคร่ำด้วยเครื่องมือดักจับปลาน่าจะเป็นมุมกาแฟที่อุบัติขึ้นมาตอนเย็นย่ำ และดูดีมากแห่งหนึ่ง ด้วยต่างคนต่างเป็นตัวละครให้กันและกัน ทำให้ฉากเก่าๆซึมๆเซาๆมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น นั่งได้ไม่เบื่อ