Skip to main content
SenseMaker
หัวข้อวิพากษ์วันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ในการประยุกต์ใช้ ICT ขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐหรือภาคเอกชน และไม่ว่าจะเป็นองค์กรแสวงหากำไรหรือไม่ โดยข้าพเจ้าเจาะจงไปที่ ทัศนะของผู้บริหารองค์กร ที่ต้องการนำ ICT เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในลักษณะของการลดต้นทุนแรงงานคน กระชับขบวนการทำงาน และเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ ให้กับขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ โดยเฉพาะกับทัศนะองค์กรที่ว่า “ประสิทธิภาพในการทำงานของ ICT สูงกว่ามนุษย์”หรือที่ว่า ”ICT สามารถทำงานทดแทนมนุษย์ได้” สาเหตุสำคัญที่ทำให้ ความคิดในลักษณะดังกล่าวแพร่หลาย สืบเนื่องมาจาก ความสามารถในการคำณวน ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่มีรูปแบบตายตัวและซ้ำซาก รวมทั้งอำนาจสนับสนุนที่ช่วยให้ การเข้าถึงและแบ่งปันข้อมูล และการติดต่อเชื่อมโยงระหว่าง มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับข้อมูล และข้อมูลกับข้อมูล เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ ICT และเป็นคุณสมบัติสำคัญ ที่ทำให้ใครหลายคนคิดว่า เทคโนโลยีนี้สามารถถูกพัฒนา ให้มีความสามารถมากขึ้นๆ จนสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในหลายๆ ขั้นตอนของขบวนการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาถูกดำเนินการโดยมนุษย์
SenseMaker
“โลกยุคหลังอุตสาหกรรม (Post industrial Age)” คือชื่อเรียกขานโลกในยุคปัจจุบัน เนื่องด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจ มีความแตกต่างไปจากยุคก่อนหน้าหรือ ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ซึ่งเป็นยุคที่โลกของเราถูกผลักดัน ด้วยการแข่งขันของแต่ละปัจเจกบุคคลหรือองค์กร ผ่านการพัฒนาความสามารถและเทคโนโลยีทางการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน และเพื่อความมั่งคั่งในที่สุดอย่างไรก็ดี โลกยุคหลังอุตสาหกรรม แต่ละปัจเจกบุคคลหรือองค์กร ยังคงดิ้นรนต่อสู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน และเพื่อความมั่งคั่งในบั้นปลายเช่นเดิม หากแต่ความสำเร็จดังกล่าว กลับถูกขับเคลื่อน ผ่านการสร้าง เข้าถึง และได้มาซึ่งข้อมูล สำหรับการสร้างองค์ความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการแข่งขัน และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่าเดิมนอกจากโลกในปัจจุบัน จะได้ชื่อว่าเป็นโลกยุคหลังอุตสาหกรรม มันยังถูกเรียกขานในอีกหลายชื่อตั้งแต่ “โลกยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Age)” “โลกยุคเศรษฐกิจองค์ความรู้ (Knowledge Economy)” และ “โลกยุคเศรษฐกิจบริการ (Service Based Economy)” ซึ่งชื่อทั้งหมดข้างต้น แตกต่างกันไปตามบริบท และมุมองของผู้รู้ในแต่ละด้าน
SenseMaker
เมื่อพูดถึงเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ บนโลกนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเทคโนโลยีคือตัวการอันดับต้นๆ โดยในช่วงหนึ่งศตวรรษหลังสุด ICT ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ในทุกสังคม และในวงกว้างไล่มาตั้งแต่การเกิดขึ้นของ ICT ยุคแรกๆ ซึ่งได้แก่โทรเลข ตามมาด้วยโทรศัพท์ มาจนถึง ICT ในยุคปัจจุบัน นั่นคือโทรศัพท์มือถือ และ อุปกรณ์ต่อเชื่อมอินเตอร์เนตต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือคอมพิวเตอร์พกพาขนาดต่างๆความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏการณ์ชัดเจน คือ การที่ ICT ทำให้สังคมมนุษย์ มีรูปแบบการติดต่อสื่อสาร และรูปแบบการเข้าถึง ประมวลผล และจัดการข้อมูล ที่มีความรวดเร็วขึ้น (การประหยัดเวลาในการติดต่อสื่อสาร และการจัดการข้อมูล) และด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (ลดต้นทุนที่เกิดจากการเดินทางเพื่อการติดต่อ หรือการเข้าถึงข้อมูล) ซึ่งส่งผลให้การจัดการด้านต่างๆ มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น (สามารถดำเนินการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันท่วงทีมากขึ้น)จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า ICT ได้ย่นและย่อโลกใบนี้ลง ทำให้ระยะทางไม่เป็นอุปสรรค (Distanceless) อีกต่อไป นั่นคือ ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ มนุษย์ก็สามารถติดต่อถึงกัน หรือสามารถเข้าถึงข้อมูล และบริการที่ต้องการได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีอีกทั้ง ยังก่อให้เกิดอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่า ICT ได้ทำให้มนุษย์มีความคล่องตัว หรือมีอิสรภาพที่จะเคลื่อนที่ (Mobility) มากขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับสถานที่ หรือบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เพื่อการได้มาซึ่งความสามารถในการดำเนินกิจกรรมที่ตนต้องการ เนื่องจากมีศักยภาพในการติดต่อสื่อสาร และในการเข้าถึง ประมวลผล และจัดการข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็วจากทุกหนแห่ง (ที่เครือข่ายสื่อสารไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เนตเข้าถึงได้) เพิ่มขึ้นความเชื่อทั้งสองข้างต้น ถูกสะท้อนและตอกย้ำด้วยการเกิดขึ้นของระบบบริการแบบ e ต่างๆ เช่น e-Mail e-Commerce และ e-Government และระบบแบบ m ต่างๆ เช่น m-Pay และ m-Banking โดยวัตถุประสงค์ คือ การทำให้บริการ ซึ่งในอดีตผู้ที่ต้องการจะใช้บริการต้องเดินทางไปด้วยตนเอง ณ สถานที่ให้บริการเฉพาะ มาอยู่ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนต และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ตามลำดับอีกทั้ง ความเชื่อทั้งสองข้างต้น ยังถูกสะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินการของสถาบันหรือองค์กรต่างๆ ทั้งในระดับภายในองค์กรและระหว่างองค์กร ดังจะเห็นได้จากการเกิดขึ้นและขยายตัวของระบบ Paperless office และรูปแบบการทำงานแบบ Mobile office เป็นต้นโดยระบบ Paperless office จะเน้นไปที่การสร้าง ส่งผ่าน และจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์ เพื่อให้เอกสารและข้อมูลต่างๆ สามารถถูกค้นหาได้ง่าย เข้าถึงได้ในวงกว้าง และสามารถถูกนำมาใช้งานในโอกาสต่างๆ ได้อย่างทันที และในรูปแบบที่หลากหลายในขณะที่รูปแบบการทำงานแบบ Mobile office จะเน้นไปที่ความคล่องตัวในการทำงาน ซึ่งทำให้ในขณะที่พนักงานมีอิสระในการทำงานมากขึ้น (พนักงานสามารถทำงาน ได้จากหลายสถานที่ และมีช่วงเวลาทำงาน ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ขาดการติดต่อสื่อสารกับองค์กร) องค์กรยังคงความสามารถ ในการพัฒนาประสิทธิภาพ ได้อย่างต่อเนื่อง (กิจกรรมทางธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว มากขึ้น) ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น คล้ายกำลังชี้นำ ให้เราเข้าใจว่า ICT เป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้มนุษย์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งจากการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่ทำได้ง่ายจากทุกหนทุกแห่ง และจากการแบ่งปันข้อมูลและทำงานร่วมกัน อีกทั้ง ICT ยังถูกมองว่า เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอิสรภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งในระดับบุคคล และในระดับองค์กร ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี ในขณะที่ทุกสิ่งข้างต้นเกิดขึ้นและดำเนินไป สิ่งต่างๆ ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงในอีกมุมหนึ่งก็กำลังเกิดขึ้นและดำเนินไปเช่นกัน นั่นคือเมื่อแต่ละปัจเจกบุคคล มีศักยภาพในการติดต่อสื่อสาร และมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ ได้จากทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งความคล่องตัว หรืออิสรภาพที่จะเคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้แต่ละปัจเจกบุคคล หลุดจากข้อจำกัดของระยะทาง นั่นคือไม่ถูกผูกติดกับสถานที่อีกทั้ง ด้วยความสามารถและการมีอิสรภาพที่มากขึ้นในการเลือกผู้ที่ตนต้องการจะติดต่อสื่อสาร ในการเลือกสังคมที่ต้องการจะมีปฏิสัมพันธ์ และในการเลือกบริโภคข่าวสารจากสังคมที่ตนต้องการ ผลที่ตามมา ทำให้แต่ละปัจเจกบุคคล ไม่จำเป็นต้องถูกผูกติดกับกรอบของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่เดิม ทั้งในแง่ของกรอบความคิด ค่านิยม และวิถีการดำเนินชีวิต (เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สังคมในแนวขนาน ซึ่งเคยกล่าวถึงในรายละเอียดในบทความแรก) เมื่อแต่ละปัจเจกบุคคลไม่ถูกผูกติดกับสถานที่ ย่อมทำให้เกิดความห่างไกลทางกายภาพระหว่างสมาชิกของสังคม ตั้งแต่ในระดับครอบครัว (สมาชิกในครอบครัว) ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ (ประเทศชาติ) ผลที่ตามมา ทำให้สังคมขาดการมีประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งทำให้ปริมาณ การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสมาชิกในสังคมลดลง นอกจากนั้นยังทำให้การรับรู้ทางกายสัมผัส เช่น การจับมือ การโอบกอด หรือการส่งผ่านความรู้สึก จากการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพอื่นๆ ระหว่างสมาชิกในสังคมลดน้อยลง ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยียังไม่สามารถเข้ามาทดแทนความอบอุ่น หรือรายละเอียดตรงนี้ได้ นั่นหมายถึง ในขณะที่ ICT ย่นและย่อโลกใบนี้ลง และทำให้ระยะทางไม่มีความหมายนั้น ICT กลับเพิ่มระยะทาง ระหว่างสมาชิกภายในสัมคมต่างๆ ทั้งในรูปแบบของความห่างไกลกันทางกายภาพ ซึ่งเป็นผลจากการมีอิสรภาพในการเคลื่อนที่มากขึ้น และในรูปแบบของความแตกต่างกันทางความคิด ค่านิยม และวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความสามารถ และอิสรภาพในการเข้าถึงและเลือกรับข่าวสาร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงเกิดข้อสงสัยที่น่าสนใจที่ว่า สรุปแล้ว ICT ช่วยให้ครอบครัวซึ่งเป็นหน่อยย่อยที่สุดทางสังคม มีความอบอุ่นขึ้น หรือผลักดันให้เกิดความแตกแยก กับอีกข้อสงสัยที่ว่า ตกลงแล้ว ICT ช่วยลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานในการดำรงอยู่และการพัฒนาขององค์กรทางสังคมต่างๆ จากปรากฏการณ์และข้อสงสัยข้างต้น จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า ความเชื่อที่ว่า ICT ทำให้มนุษย์เราใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือความเชื่อที่ว่า ICT ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอิสรภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ยังคงเป็นจริงอยู่รึเปล่า ปรากฏการณ์ ข้อสงสัย และคำถามทั้งหมด ที่ข้าพเจ้าตระหนัก และพยายามฉายให้เห็นข้างต้น ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่า ICT เป็นตัวการที่ผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคม ที่มี “ความย้อนแย้ง” ในตัวของมันเอง โดยนอกจากประเด็นความย้อนแย้งข้างต้นแล้ว ICT ยังเป็นตัวการผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมที่มีความย้อนแย้งในอีกหลายมุมมอง ดังนี้ ในมุมของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แน่นอนว่า ICT ทำให้มนุษย์มีความจำเป็นในการเดินทางน้อยลง เนื่องจากสามารถใช้เทคโนโลยีทดแทนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยความคล่องตัว และอิสรภาพในการเคลื่อนที่ ที่ได้รับมาจาก ICT ทำให้มนุษย์กลับมีความปรารถนา และความสามารถที่จะเดินทางอย่างอิสระมากขึ้น เมื่อมองจากมุมของ ศักยภาพทางเทคโนโลยี ICT ได้เปิดโอกาสให้มนุษย์ มีรูปแบบชีวิตที่มีอิสระมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เพราะความเจริญทางเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์เสียความเป็นส่วนตัวจากความสามารถที่จะถูกตรวจสอบ และถูกติดตามได้ตลอดเวลา หากมองในมุมของความหลากหลาย ดูเหมือนว่า ICT ได้ทำลายเส้นกั้นเขตแดนทางกายภาพต่างๆ ทำให้เกิดการหลั่งไหลของข้อมูล วัฒนธรรม แนวความคิดข้ามพรมแดน ซึ่งในท้ายที่สุด ICT น่าจะเป็นตัวการสำคัญในการบ่มเพาะความหลากหลายในหลายๆ ด้านของสังคมหนึ่งๆ แต่เมื่อมองในระดับสังคมขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งได้แก่สังคมโลก จะเห็นว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรม และแนวความคิดต่างๆ ของสังคมขนาดย่อยทั่วโลกถูกทำลายลง พร้อมกับการเกิดขึ้นของกระบวนการโลกาภิวัฒน์ หรือการมุ่งสู่การมีมาตรฐานและวัฒนธรรมเดียว ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะเป็นจุดเริ่ม ที่ทำให้ทุกท่านได้ตระหนักและระมัดระวังว่า ในขณะที่ท่านใช้ ICT เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลลัพท์ที่ย้อนแย้ง อาจจะกำลังเกิดและดำเนินไปพร้อมๆ กัน จงอย่าลืมว่า “ในขณะที่ ICT เป็นตัวการสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย แต่ก็กลับทำให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมที่ย้อนแย้งอย่างน่าฉงน”
SenseMaker
หน้าเว็บไซท์ที่ได้รับความนิยมสูง ในช่วงระยะห้าปีที่ผ่านมา หากไม่นับรวมเว็บไซท์ขายของออนไลน์ ส่วนมากยังคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุคก่อนหน้านี้ นั่นคือ เป็นเว็บไซท์ที่พยายามสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านการเปิดพื้นที่ให้ผู้ใช้ เข้ามาสร้างหัวข้อและบทสนทนาร่วมกัน สร้างกิจกรรมระหว่างกลุ่มผู้ใช้ และเป็นช่องทางให้ผู้ใช้ทำความรู้จักกันวัตถุประสงค์ของเว็บไซท์ดังกล่าว คือเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้ ที่มีความสนใจหรือความต้องการคล้ายๆกัน ซึ่งทำให้ในขณะที่ ผู้ใช้ได้รับประโยชน์ ในรูปแบบของการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และการมีคนรู้จักเพิ่มมากขึ้น ผู้จัดทำเว็บไซท์ก็ได้ประโยชน์ ผ่านการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางอ้อม จากเครือข่ายสังคม ซึ่งก็คือตลาดในอีกลักษณะหนึ่ง ที่ตัวเองได้เริ่มสร้างขึ้นแต่ส่วนที่แตกต่างออกไป จากเว็บไซท์ประเภทเดียวกันในยุคก่อน คือมีการนำรูปแบบของวีดีโอหรือสื่อผสมที่หลากหลาย มากกว่าการใช้เพียงแค่ตัวหนังสือประกอบกับรูปภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวง่ายๆ เพื่อสื่อสารระหว่างผู้จัดทำเว็บกับผู้ใช้งาน หรือระหว่างผู้ใช้งานด้วยกัน อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถช่วยสร้าง เชื่อมโยง และขยายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้ใช้ และเปิดโอกาสให้ กลุ่มผู้ใช้ร่วมกันผลิตเนื้อหาภายในเว็บไซท์ มากกว่าการใช้เนื้อหา ซึ่งผลิตโดยผู้จัดทำเว็บเป็นหลัก เพื่อดึงดูดผู้ใช้
SenseMaker
ข่าวต่างๆทางด้าน ICT ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นผลกระทบของ “การโลกาภิวัฒน์ (Globalisation)” ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน เนื่องจากอิทธิพลของการมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแบบเดียวทั่วโลก จะลดทอนความหลากหลายของวิถีชีวิตมนุษยชาติ ก่อให้เกิดตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนข้ามชาติ แต่ในขนะเดียวกัน ปัญหาลักษณะเดียวกัน จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ เป็นวงกว้าง หากแต่จะเกิดผลกระทบแตกต่างกันไป ตามบริบทของสังคมนั้นข่าวแรกที่อยากนำเสนอ คือการเกิดขึ้นของ “ปฏิญญากรุงเทพ” ซึ่งถูกจัดทำขึ้นระหว่างการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค หรือ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ทางด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ โดยมีสาระสำคัญคือ การผลักดันให้ทุกประเทศสมาชิก พัฒนา ICT เพื่อใช้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
SenseMaker
แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีในช่วงสิบปีหลัง เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “convergence” หมายถึงแต่ละเทคโนโลยี พยายามรวบรวมความสามารถของเทคโนโลยีอื่นๆ เข้าไว้ในตัวเอง ดังจะเห็นได้ชัดจากการเกิดขึ้นของกระแสของศัพท์คำว่า ICT ซึ่งสะท้อนถึง การที่เทคโนโลยีเพียงหนึ่งเดียว แต่สามารถให้บริการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) และ เทคโนโลยีทางการสื่อสาร (Communication Technology) ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งในระดับ โครงข่ายสื่อสารและระดับสินค้าอุปโภคทางเทคโนโลยี
SenseMaker
วันนี้อยากชวนสนทนาถึงศัพท์คำว่า “การเข้าถึงเทคโนโลยี” ซึ่งในทัศนะส่วนตัวคือสภาวะที่บุคคล องค์กร หรือประเทศหนึ่งสามารถได้มาซึ่งความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่และจำเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เกี่ยวข้องปัจจุบันแนวทางการพัฒนาของเศรษฐกิจโลก เป็นไปในลักษณะที่เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการการผลิต และเทคโนโลยีอื่นๆอีกมากมายเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้าถึงเทคโนโลยีในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจโลก ย่อมมีความสำคัญกับทุกประเทศอย่างที่สุดหนึ่งเทคโนโลยีซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก และเป็นด้านที่ SenseMaker ให้ความสนใจวิพากษ์ถึงอย่างรอบด้านบนเวทีความคิดแห่งนี้คือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology; ICT) ซึ่งต่อไปจะขอใช้คำว่า ICT เพื่อความกระชับICT  เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เปลี่ยนแปลงลักษณะของเศรษฐกิจโลก ในระยะยี่สิบปีหลังมานี้ ทั้งในแง่ของตัวตลาดเองที่เคลื่อนที่เข้าสู่ตลาดในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าของ ICT เช่นตลาดธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น รวมทั้งในแง่ของตัวระบบข้อมูลข่าวสารด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตลาด ด้วยเหตุนี้การเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ จึงสามารถถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความแตกต่างทางสังคม
แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort ที่พัทยา มีผู้เข้าร่วมจำนวน 60 ถืง 70 คน ผมบอกกับน้องๆ ในองค์กรเดียวกับผมว่า “ดีแล้ว....เราคงต้องเรียนรู้เรื่อง Advocacy ให้มาก เพราะงานของพวกเราจะเป็นเรื่องนี้เสียมากกว่า” ตอนแรก ผมว่าจะไม่ไป แต่น้องๆ ก็บอกว่า “พี่ไปด้วยกันเถอะ....หนูไม่เคยไปต่างประเทศ หนูจะไปคนเดียวได้ไง” ในที่สุดผมจึงจำเป็นต้องไปด้วยกับน้องจากลาวประมาน 7 คน การเดินทางก็ต้องนั่งรถตุ๊กๆ จากบ้านถืงสะพานมิตรภาพลาว-ไทย จ่ายค่าแท็กชี่จากด่านฝ่ายลาวไปถืง ด่านฝ่ายไทย 250 บาท จากนั้นก็มีรถมารับจากสะพานมิตรภาพไปที่สนามบินอุดรธานี มุ่งสู่บางกอก แล้วนั่งรถอีกทีหนึ่งกว่าจะถืงพัทยา การเดีนทางจากอุดรธานีถืงบางกอกคราวนี้ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เวลาลงจากเครื่องที่บางกอก กระเป๋าแตกกระจุยกระจายไปหมด เสียงบ่นจากคนหนึ่งที่ยืนข้างๆ ผมว่า “แอร์เอเชียไม่ค่อยรับผิดชอบอะไร ของเสียหายหมด....” “เป็นเพราะว่าราคาถูกมั้ง...ถืงไม่รับประกันไอ้เรื่องเสียหายอย่างงี้” “แต่บางครั้งของที่เราๆ ถือมาด้วยนี้น๋ะ....มันราคาแพงกว่าราคาตั๋วด้วยช้ำ” “ก็จริงนะ....” “แต่ไม่ใช่ว่าราคาตั๋วไม่แพงแล้วจะไม่มีหลักประกันความเสียหายให้ผู้โดยสาร มันก็ไม่ถูกนะ” “ใช่...แต่จะทำไงล่ะ?” “จะทำไงได้ล่ะ.....?” “ได้แต่บ่นไปนั่นแหละ....” “ใช่....ไม่ได้อะไร...ก็แค่ได้แต่บ่นอย่างเดียว” แล้วทุกคนก็เถือกระเป่าเดีนออกจากสนามบินไปคนละทาง