Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

หัวไม้ story
โดย ทีมข่าวการเมือง 5 แกนนำพันธมิตร ขึ้นปราศรัย ระหว่างงานรำลึก 1 ปีแห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 25 พ.ค. 52 ที่สนามกีฬากลาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี (ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 25 พ.ค. 52)
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ย้อนความทรงจำกับ ดญ. ลีออง
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
ชาน่า
ได้รับอีเมล์จากคนอ่านหนังสือท่านหนึ่งที่ชื่อ "นนท์" ส่งจดหมายมาระบายความในใจและเตือนภัยสำหรับชาวเรา อิฉันอ่านแล้วแทบอึ้ง และรู้สึกถึงความแย่ที่ถูกผู้ชายสมัยนี้อาศัยความเป็นเกย์ ไม่เป็นเกย์ แต่เป็นโจร หากินแบบทุจริต ผิดศีลธรรมกับกลุ่มชาวเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมใด ส่วนไหนของโลก เหตุการณ์นี้ล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ผู้คนมากมายแทบจะเหยียบกันตายแค่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ
Hit & Run
แดง ใบเตย  1. บทสรุปสำหรับผู้บริหารข้อเขียนชิ้นนี้ เขียนขึ้นเพื่อโจมตีกลุ่มปัญญาชนเก๋ไก๋ทั้งหลาย ที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์กระแส "เคอิโงะ"    2. ดวงของเคอิโงะแหม่มโพดำ"เคอิโงะ" เสี่ยงได้ไพ่ "แหม่มโพดำ" ดวงดีมากมาย  3. บทกวีแด่เคอิโงะเ ร า ก็ ไ ม่ ท ร า บ ว่ า จู่ ๆ คุ ณ ดั ง  ขึ้ น ม า ไ ด้ เ ยี่ ย ง ไร "เ ค อิ โ ง ะ"สำ ห รั บ ผ ม เ ริ่ ม แ ร ก ก็ อ อ ก จ ะ ห มั่ น ไ ส้ คุ ณ อ ยู่ ม า ก เ ล ย ที เ ดี ย วแ ต่ สำ ห รั บ ผู้ ที่ แ ส ด ง ค ว า ม ฉ ล า ด ห ลั ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ นี่ ยิ่ ง น่ า ห มั่ น ไ ส้ ก ว่ ามั น ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ ง ข อ ง ผ ม กั บ คุ ณ . . . "เ ค อิ โ ง ะ"แ ต่ เ ป็ น เ รื่ อ ง ข อ ง พ ว ก เ ร า ห มู่ ม ว ล ม ห า ช น ค น เ สี่ ย ว ๆ ทั้ ง ห ล า ยกั บ พ ว ก ปั ญ ญ า ช  น เ ห ล่ า นั้ น . . .W e a r e t h e w o r l d - รั ก กั น รั ก กั น - เ พื่ อ ธ ร ร ม ช า ติ อั น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ยื น ย ง !? อ้ายแดง ใบเตย ของมอบให้น้อง เคอิโงะ 28 พ.ค. 52 .. น่าจะเข้าฤดูฝนแล้ว ณ ใบกระท่อมนักรบศรีวิชัย   4. ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ" เกิดจากการปั่นกระแสของสื่อมวลชน ซึ่งจะเริ่มจากรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของเฮียสรยุทธ์ ทางช่อง 3 (ซึ่งช่อง 7 ไม่ยอมน้อยหน้า ขุดหนูน้อยมะเร็งมาสู้ แต่โดนเคอิโงะตีตกพ่ายกระแสไป) จนเกิดการระบาดฟีเวอร์ไปทั่ว ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศต่างประโคมข่าวความน่าสงสารของเด็กน้อยลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น จนดังไปทั่วโลก แถมยังมีข่าวสินค้าต่างๆ รุมตอม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า และนำเรื่องราวชีวิตมาเขียนการ์ตูนแทบไม่น่าเชื่อว่าจากกระแสความน่ารักเอ็นดูของ ดช.เคอิโงะ ซาโต เด็กกำพร้าชาวพิจิตร อายุแค่ 9 ขวบ แม่ตายออกตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น จะมีคลื่นไต้น้ำคอยเจาะยาง และได้กลายเป็นกระแสหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ โดยเฉพาะเหล่า "ปัญญาชน" ทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ตามเวบบอร์ด หรือบลอก หรือหน้าคอลัมน์ตามนิตยสารเก๋ไก๋ต่างๆ ในสังคมไทย ที่มีคำวิจารณ์มากมายอาทิ.."..เป็นอีกครั้ง ที่สื่อหากินกับความอนาถของคนอื่น.." "..เพราะจากที่เคยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องของเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากเจอพ่อบังเกิดเกล้า ..มันก็เติบโต รุดหน้า และมุ่งเข้าหา สิ่งที่เรียกว่า "ความเสื่อม" ครั้งยิ่งใหญ่ อีกครั้ง ของเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘สื่อมวลชน'.. ""..จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เคอิโงะเองได้กลายเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมไปแล้ว..""เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์ แบบที่สื่อไทยกำลังเล่นกันอยู่"และอีกบลาๆๆๆ ทำไมนะ "ปรากฏการณ์เคอิโงะ" ถึงได้ไปเข้าทางตีน ของผู้รู้เหล่านี้จังเบ้อเร่อ   5.จริตของปัญญาชนสังคมไทยจะมีคนกลุ่มหนึ่ง, พวกเขาเกินขั้นนักวิจารณ์ธรรมดาดาดๆ ทั่วไป พวกเขาไปถึงขั้นตรัสรู้และตัดสินความเป็นไปของสังคมด้วยตัวของเขาเองแล้ว "ปัญญาชน" คือคำนามและบ่งชี้คุณลักษณะของพวกเขาปัญญาชนเหล่านี้มักจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกคนคิดนอกกรอบ ทวนกระแส สวนกระแส ต้านทุนนิยม ต้านบริโภคนิยม .. ต้านอะไรที่คนหมู่มากเขาชอบ เขาทำกัน เช่น ต้านการค้าเสรี ต้านระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง ต้านนายกทักษิณ ต้านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ต้านช่อง 3 5 7 9 ต้านละครหลังข่าว ต้านเพลงค่ายอาร์เอส ค่ายแกรมมี เป็นต้นและก็มีความคิดความอ่านที่ไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไร เพราะปัญญาชนเหล่านี้มักจะชอบพกหนังสือของ "ตุ๊ด นัด อัน" หรือไม่ก็ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" [1] เท่ๆ สักสองสามเล่ม ใส่รวมๆ ไว้กับเน็ตบุ๊คในย่ามสะพายข้างเก๋ๆ ออกเดินจาริกแสวงบุญตามร้านกาแฟหรือร้านหนังสือเล็กๆ มีสไตล์ จับกลุ่มสนทนาว่าด้วยเรื่อง "ปรัชญาสูงสุดของจักรวาล" - ทุกเรื่องในโลกไอ้พวกนี้จะตรัสรู้หมดทุกตัว (ทุกอย่างถูกอธิบายไว้หมดแล้วในหนังสือสองสามเล่มที่อยู่ในยามสะพายดังที่ได้กล่าวไป)การต่อสู้ของเคอิโงะ สำหรับสายตาของปัญญาชนพวกนี้ดูเสี่ยวเกินไป เพราะไทยรัฐและช่อง 3 เล่นเรื่องนี้จนเกินคำว่าพองาม สำหรับนักปรัชญาพวกนี้ พวกเขาติดตามและให้ความสนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆ จากอิหร่านในเวทีเทศกาลหนังยุโรป หรือการต่อสู้ของ ซูซาน บอยล์ สาวทึนทึกวัย 47 ปี บนเวทีคนล่าฝันของฝรั่งหัวแดง หรือไม่ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของ ซูจี กับ ทาไล ลามะ (2 เคสไฟต์บังคับที่ปัญญาชนต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ตกข่าวเชียว) การต่อสู้ของไอ้โงะอาจจะไม่น่าสนใจเท่าแมวน้ำขั้วโลกกำลังทุรนทุรายเพราะได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ หรือเรื่องของบลอกเกอร์ทิเบตถูกจับกุมที่อิรักเนื่องจากเขียนบลอกเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับพม่า ฯลฯ มากกว่า เหตุการณ์เสี่ยวๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองนี้เช่นเดียวกับพวกซ้ายลูกเศรษฐี ปัญญาชนเหล่านี้จะสนุกสนานอยู่กับการวิเคราะห์ความเป็นไปในสังคม แต่ตนเองตีนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  ...แต่ช่วงหลังซ้ายลูกเศรษฐีบ้านเราพฤติกรรมดีขึ้นมาหน่อย คือยอมลงไปถือป้ายประท้วงพวกอำมาตย์ ร่วมเป็นร่วมตายกับคนเสื้อแดง ได้หลบกระสุนหลบรถแก็สพอเป็นพิธี ได้เชื่อมโยงกับโลกที่มันเป็นจริงๆ มากกว่าหน้าจออินเตอร์เน็ต หรือหนังสือเท่ๆ --- สำหรับการเมืองเรื่องสี พวกปัญญาชนทั้งหลายนั้นยังคงทำตัวอยู่เหนือปัญหา ปวารณาตนเป็นพวกสองไม่เอาอยู่อย่างเคร่งครัดจริตของพวกปัญญาชนเหล่านี้ มักจะเกลียดชนิดถึงขั้นรังเกียจกับสิ่งที่มันเป็น "ประชานิยม" (ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "ปอปปูล่า" น่ะ!) และข่าวของเคอิโงะ มันก็ถูกสร้างมาในรูปแบบ "ประชานิยม" ดังกล่าว   6.คนมันสู้ (น่ะ!)บนโลกทุนนิยมนี้ คุณจะจนอย่างไร คุณจะทุกข์ยากอย่างไร การนอนแบมือรอโอกาสอยู่ที่บ้านให้เหี่ยวเฉาตายไปทีละน้อย หรือนั่งเขียนแถลงการณ์เพื่อรัฐสวัสดิการวันละแผ่นสองสามแผ่น โดยไม่ได้ทำตัวเงินตัวทองอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เป็นผลดีแน่การต่อสู้มีต้นทุนทั้งนั้น ก่อนจะมาเป็นเคอิโงะในวันนี้ ไอ้โงะเองก็ต้องบากหน้าเอาความเป็นเด็กกำพร้า แม่ตายด้วยโรคร้าย พ่อญี่ปุ่นทิ้ง เอาความเวทนาแลกมันมานะครับ -- คนน่ะถ้ามันไม่สุดๆ จริงๆ เขาไม่งัดเอาความเวทนามาขายกันหรอกเคอิโงะ ไม่ได้นอนกระดิกตีนอยู่บ้าน แล้วต่อสายหาสรยุทธ์แบบว่า "เฮ่ย! ไอ้เผือก มรึงช่วยปั้นกรูออกรายการเล่าข่าวมรึงหน่อยเด๊ะ!" อะไรประมาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างพวกปัญญาชนทั้งหลายวิจารณ์นะครับ กว่าจะมีวันนี้ เคอิโงะเองก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยในการรณรงค์อยู่หน้าอุโบสถ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการที่จะเจอพ่อ ผ่านการถูกดูถูกเหยียดหยามมาแทบจะทุกชนิดแล้วสำหรับคนเสื้อแดง เราต้องแยกแยะเรื่องคนที่เข้ามาช่วยเหลือเคอิโงะ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล อภิสิทธิ์ เสธ.หนั่น กษิต ฯลฯ เพราะเราก็รู้กันดีว่ามันเป็นไฟต์บังคับที่ผู้ใหญ่เหล่านี้ต้องดาหน้าออกมา - อย่าไปว่าเด็กมันเลยอย่ามาพาลหมั่นไส้เด็กด้วยเรื่องพวกนี้ โตๆ กันแล้วต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬาระดับผู้ใหญ่กันสักหน่อย ดูเด็กมันเป็นแบบอย่างดีกว่า นี่แหละผลพวงของการออกมาต่อสู้ ... เคอิโงะเกือบจะเจอพ่อแล้ว ส่วนพวกเราคนเสื้อแดง ทนสู้กันไปอีกนิด ไม่นานคุณทักษิณก็ต้องได้กลับมาเป็นนายกอีกครั้งหรือจะหมั่นไส้เคอิโงะว่าได้คืบจะเอาศอก ที่ขอเล่นหนังเป็นดาราอะไรเทือกนั้น -- ก็เรื่องของไอ้โงะมัน เพราะต้องยอมรับว่ากว่าที่จะมีวันนี้ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มันไม่ได้นอนงอแข้งงอขาอยู่ที่บ้านนะครับ มันออกมาตามหาพ่อมันนะ แบกความน่าเวทนาและผ่านแรงเสียดสีมาได้อย่างหวุดหวิด สิ่งที่เคอิโงะได้รับมาในวันนี้ต้องยอมรับหน่อย น้ำพักน้ำแรงของมันทั้งนั้น (เช่นเดียวกับที่คุณทักษิณได้รับแรงใจจากคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา นี่ก็น้ำพักน้ำแรงที่เขาได้ทำตอนเป็นนายก)คนเสื้อแดง ชาวนา กรรมกร นักรบโรนิน ผู้นิยมชมชอบลัทธิมาร์ก และเคอิโงะ นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีที่ทางและวิธีการต่อสู้แตกต่างกันไปออกมาสู้ในแบบของคุณ จะดีจะเด่นจะดังจะดับ ยังไงมันก็เรื่องของคนที่ออกมาสู้! ... อย่าไปสนใจขี้ปากปัญญาชนทั้งหลายเลยน่ะ!  ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"  เด็ก 9 ขวบแม่ตายรอพ่อญี่ปุ่นหน้าโบสถ์นานนับปี คมชัดลึก 11 พฤษภาคม 2552 หนูน้อยวัย 9 ขวบ สุดอนาถแม่ป่วยตายสั่งเสียพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นให้ไปรอตรงหน้าโบสถ์วัดท่าหลวง เมื่อเห็นรถทัวร์ท่องเที่ยววิ่งถามรู้จักพ่อหนูไหม สุดรันทดรับจ้างขัดรองเท้าขายอาหารปลาหน้าวัดรอพ่อ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวกราบไหว้หลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพิจิตรต่างรันทดใจ เมื่อเห็นภาพหนูน้อยวัย 9 ขวบ วิ่งถือรูปพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นให้กำเนิดแล้วแยกทางกับแม่หายไป ส่วนแม่หลังแยกทางกับพ่อไปทำงานในกรุเทพฯต่อมาได้เสียชีวิต ปล่อยให้ลูกเผชิญชะตากรรม หนูน้อยคนดังกล่าวคือเด็กชายเคอิโงะ หรือ "เคโงะ" ซาโต อายุ 9 ปี เล่าว่า มีแม่ชื่อนางทิพย์มณฑา ซาโต อายุ 33 ปี เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ด้านนางปัทมา จตุพิศ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 686 ถ.บุษบา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นป้า ของเด็กชายเคอิโงะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2542 นางทิพย์มณฑาได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เป็นสาวอายุประมาณ 15 - 16 ปี บอกเพียงว่า ไปทำงานในกรุงเทพฯ จากนั้นก็หายไปกลับมาอีกทีก็อุ้มท้องมาบ้านที่จังหวัดพิจิตรพร้อมกับสามีซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อนายคัทซูมิ ซาโต มาพบนายปรีชา จันทร์ประทุม อายุ 60 ปี ผู้เป็นพ่อ ปัจจุบันป่วยเป็นอัมพาตมากว่า 5 ปี แล้ว เพื่อแนะนำให้รู้จักกับคนในครอบครัวที่เป็นชาวไทย จากนั้นก็หายไปอีก 3 - 4 ปี ประมาณ พ.ศ.2543 กลับมาอีกครั้ง คราวนี้นางทิพย์มณฑา ก็หอบเอาลูกชายสายเลือด นายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่น ที่อายุได้เพียง 4 เดือน มาทิ้งไว้ให้ญาติ ๆ เลี้ยงดูโดยไม่ยอมบอกว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วก็กลับไปทำงานสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ ส่งเงินมาให้เพียง 2 - 3 ครั้ง เป็นค่านมลูกแล้วก็ขาดการติดต่อไป จนกระทั้ง พ.ศ.2545 แม่ของเด็กชายเคโงะ และ นายคัทซูมิ ซาโต สามีชาวญี่ปุ่นมาจังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยในคราวนั้นลูกอายุได้ 3 ขวบ ก่อนจะเงียบหายไป ทั้งแม่และพ่อชาวญี่ปุ่น โดยปล่อยให้เด็กชายเคโงะใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังอดมื้อกินมื้ออยู่กับญาติ ๆ ที่ฐานะยากจน โดยหากินด้วยการไปขายอาหารเลี้ยงปลาหน้าวัดท่าหลวงพระอารามหลวง เป็นการยังชีพ และทุกวันพระ ก็จะได้รับความเมตตาจากพระให้อาหารหรือไข่เค็ม บะหมี่สำเร็จรูป ขนม ที่คนเอามาทำบุญให้เอาไว้กิน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อวันสงกรานต์ปี 2551 นางทิพย์มณฑาก็กลับมาบ้านเพราะป่วยหนัก กอดลูกและพร่ำบ่นถึงสามีที่เป็นพ่อชาวญี่ปุ่น ให้ลูกฟังว่า พ่อจะต้องกลับมาหาลูก และจะต้องมาที่วัดท่าหลวง นางปัทมา กล่าวว่า หลังจากนางทิพย์มณฑากลับมาเด็กชายเคโงะมักจะพาแม่มานั่งที่หน้าอุโบสถหลวงพ่อเพชรทุกวัน พร้อมกับถือรูปพ่อชาวญี่ปุ่น ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่มอบให้ ทุกครั้งที่มีรถทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาจอด เด็กชายเคโงะ ก็จะถามว่า "เห็นพ่อหนูไหม" พร้อมกับโชว์รูปของพ่อให้ดู แต่เวลาผ่านไป 2 ปีกว่า ก็ไม่มีวี่แววของพ่อชาวญี่ปุ่นจะกลับมา แถมอาการป่วยหนักขึ้นจนกระทั้ง ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑามีอาการหนักขึ้นใกล้ตายพร้อมกับสั่งเสียลูกว่า "ให้รอพ่อที่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง จะได้เจอพ่อชาวญี่ปุ่น " ในที่สุดวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑา ผู้เป็นแม่ของเด็กชายเคโงะ ก็สิ้นชีวิตลง ทุกวันนี้เด็กชายเคโงะ ยังคงเฝ้ารอพ่อชาวญี่ปุ่นอยู่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร และ เฝ้าวิงวอนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะช่วยให้ได้เจอพ่อผู้ให้กำเนิดที่เป็นชาวญี่ปุ่น ทั้งที่ทุกวันนี้ชีวิตสุดแสนลำเค็ญอีกไม่กี่วันนี้ก็จะเข้าชั้นเรียน ป.4 ที่โรงเรียนท่าหลวงสงเคราะห์ อ.เมือง จ.พิจิตร ขณะที่ญาติ ๆ ทุกคนก็ยากจน จึงวอนขอสังคมช่วยถ้าพบพ่อชาวญี่ปุ่น ติดต่อนาง ปัทมา ผู้เป็นป้า โทร....  จากนั้นปรากฏการณ์สิบกว่าวันยิ่งกว่านิยายของ "เคอิโงะ" จึงบังเกิดขึ้น ..   เชิงอรรถ[1] "ตุ๊ด นัด อัน" และ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" คือสองสุดยอดนักคิดที่กลายเป็นมหาเมพบร๊ะเจ้าของเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย ไม่ใช่แค่งานเขียนเท่านั้น แม้แต่ตดของมหาเมพบร๊ะเจ้าทั้งสองนี้ก็มีความหมายอันลึกซึ้งเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาสามัญที่ไม่ใช่พวกมันจะเข้าถึงได้ สำหรับเหล่าลูกศิษย์ลูกหานักปรัชญาทั้งหลาย
สร้อยแก้ว
  ๑.ผูกพัน เป็นชื่อเพลงเพลงหนึ่งไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้ฟังเพลงสักเพลงแล้วมันตรึงเราให้อยู่นิ่งๆ ตั้งอกตั้งใจฟังจำได้ว่า วันนั้นฉันนอนเปลที่ผูกเข้ากับเสาอาคารและต้นไม้ข้างศูนย์ฯ มีกิจกรรมค่ายของน้องๆ วัยมัธยมและมหาวิทยาลัยราวสี่สิบคน บรรดาพี่เลี้ยงเป็นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนล้วนฝีมือฉกาจฉกรรจ์ โดยเฉพาะ แคน และน้องผู้ชายอีกคนจำชื่อไม่ได้ (มาจากแก่งเสือเต้น) ดำเนินกิจกรรมให้กับเด็กๆ ได้อย่างมีสาระและสนุกสนาน เรียกว่าเอาอยู่ เก่งมากๆ
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
 ขอมองย้อนหลัง เกี่ยวกับงานฤดูหนาวเชียงใหม่ แล้วค่อยมายืนกอดอก มองภาพที่เห็นในปัจจุบัน งานฤดูหนาวเชียงใหม่ จะจัดระหว่างปลายเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนมกราคม เป็นงานออกร้าน และงานรื่นเริงประจำปีของจังหวัด ถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีของเชียงใหม่ทีเดียว กิจกรรมสำคัญของงานคือ การออกร้านของเอกชนและรัฐ และกิจกรรมการกุศลของกาชาด ในยุคแรกงานนี้ จัดที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จนถึงปี พ.ศ. 2491 คงมองออก พื้นที่หลักในการจัดงาน เป็นสนามฟุตบอลของโรงเรียน ผู้เขียนนึกภาพงานไม่ออก ไล่อายุคงราว 8-9 ขวบ มันเลือนราง เหมือนเห็นภาพตนเอง กำลังยืนซื้อโรตีสายไหมกับพ่อ ตรงใกล้ประตูฟุตบอลด้านทิศใต้ จะตรวจสอบความจำจากพ่อแม่ ท่านก็เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองคน
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น วันที่ต่างคนต่างออกเดินมากอดต้นไม้ ผมแอบเห็นหลายคนโอบกอด ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อโอบเจ้าผิวสัมผัสแข็งทื่อแล้ว จะสัมผัสเสียงภายในอันเต็มไปด้วยน้ำเสียงความอ่อนหวาน เย็นเยียบ เต็มไปด้วยความรักและให้อภัยหรือไม่ "หลับตาสิ ได้ยินเสียงเขาหายใจมั้ย" ผมชวนเจ้าชายน้อยหลับตาเขาหลับตาแล้วบอกว่า ได้ยินเสียงลมกับเสียงจักจั่น"ต้องบอกคูคูกับน้องแก้มมากอดบ้างนะ" เขายังพูดเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนของเขาเขาถามกลับมา พ่อได้ยินอะไรบ้าง"มีหัวใจเต้นอยู่ข้างใน" ผมไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจมั้ย"ต้นไม้มีหัวใจด้วยเหรอ""มีสิ ลูกฟังดีๆ แนบให้ชิดเลยนะ ได้ยินมั้ย""ใช่จริง ได้ยินแล้ว"..    
The Thin Red Line
 กรกช  เพียงใจ   ใครบางคนบอกว่า "ข้อเท็จจริง" (fact) นั้นแตกต่างจาก "ความจริง"  (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ  กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....   - - - - - - - - - - - -   ค่ำวันที่ 12 เมษายน 2552 ไม่มีใครออกปากบอกให้ออกไปดูพื้นที่หรอก เพราะสถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตลอดทั้งวันทีวีฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกทุบรถที่คาดว่ามีนายกฯ นั่งอยู่ ทุบรถเลขานายกฯ ลากเอาตัวออกมาได้ที่กระทรวงมหาดไทย ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวคนเสื้อแดงบุกที่ประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา ปะทะคนเสื้อน้ำเงิน นายกรัฐมนตรีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารฮึ่มๆ ทยอยเคลื่อนเข้ากรุง ฯลฯ   ท่ามกลางข่าววุ่นวายทั้งหลาย และเงื่อนไขที่กำลังใกล้สู่การปราบปราม ฉันตัดสินใจเดินทางจากบ้านย่านชานเมืองไปหาเพื่อนสมัยเรียนที่พักอยู่ที่อพาร์ตเม้นท์แถวสะพานผ่านฟ้าโดยไม่บอกใคร เพราะกลัวโดนทัดทาน "เค้าปิดถนนหมดแล้ว ถ้าแกหาทางมาถึงนี่ให้ได้ก็โอเค มันไม่เหลือทางไหนนอกจากแกจะเหาะมา" แม้แต่เพื่อนรักยังประเมินแบบไม่เข้าข้าง หลังจากเดินเข้าเดินออกประตูบ้านอยู่หลายรอบ จึงตัดสินใจใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งเขาก็ไม่รับปากว่าจะไปส่งได้ถึงที่อยู่ดี   0000 สภาพของกรุงเทพฯ คืนนั้นในยามสองสามทุ่ม ดูเงียบเชียบผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มอเตอร์ไซค์คันน้อยวิ่งฉิวเกินไปจนทำให้รู้สึกวังเวง แล้วเราก็เริ่มพบด่านสกัดตั้งแต่แยกศรีอยุธยา ไล่ไปถึงแยกราชเทวี อุรุพงษ์ ยมราช และตลอดทั้งเส้นหลานหลวงยาวถึงผ่านฟ้า มันเป็นด่านของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บ้างก็เอารถแท็กซี่หรือรถเครื่องเสียงมากั้น บ้างไปยึดรถเมล์มาขวาง แต่ละจุดมีคนไม่มากนัก ตั้งแต่ยี่สิบกว่าคนถึงสี่ห้าสิบคน พวกเขากั้นไม่ให้รถวิ่ง แต่สำหรับมอเตอร์ไซด์แล้วผ่านได้ และมีคนเสื้อแดงบางคนคอยบอกเส้นทางที่สะดวกที่สุดในการสัญจร ฉันแวะเอากระเป๋าไปเก็บที่หอเพื่อนซึ่งทำหน้าตกใจเหมือนว่าฉันเหาะมาจริงๆ แล้วก็ลากกล้องดิจิตอลป๊อกแป๊กที่มีออกเดินไปตามถนนราชดำเนินนอก มุ่งหน้าไปยังเวทีหลักที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณสี่ห้าทุ่ม ถนนเงียบเชียบ แต่ละแยกมีรถเมล์ขวางอยู่ พร้อมคนจำนวนหนึ่ง แต่ยิ่งใกล้ทำเนียบฯ คนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น โดยบรรดาการ์ดที่พบเจอในทุกๆ จุด จะเห็นมีผู้หญิงร่วมอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย ฉันไม่รู้ว่าจุดอื่นๆ เป็นอย่างไร แต่บริเวณนี้พวกเขาดูไม่ถมึงทึงแบบการ์ดมืออาชีพสักเท่าไร หากแต่ดูกระตือรือร้นเกินปกติ บ้างถือไม้ประจำกาย บ้างเดินไปเดินมา เข้าใจว่าไม่ได้มีการจัดการเป็นระบบและอาศัย "การ์ดอาสา" เป็นหลัก เพราะฉันเห็นคนหนึ่งถือพลั่วด้วย ที่แยก จปร.ฉันเจอกับรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง โดยปกติเขาเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มักสิงสถิตอยู่ในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างมีบรรยากาศการถกเถียงทางวิชาการสูง เขาชวนเพื่อนในเว็บบอร์ดมากันสองสามคน ใส่เสื้อยืดธรรมดาแต่มีผ้าพันคอแดงผูกไว้ ถามไถ่ไล่เรียงไปปรากฏว่าเพิ่งมาร่วมสมทบในช่วงเย็นหลังจากเขาปิดถนนกันแล้ว "ไม่ไหว ต้องออกมาช่วยพวกเสื้อแดงหน่อย" เขาว่าอย่างนั้น  ภาพ: สุเจน กรรพฤทธิ์   0000 ผู้คนในค่ำคืนนั้นหนาตากว่าปกติมาก มีจอโปรเจ็กเตอร์ฉายการปราศรัยจากเวทีใหญ่เพิ่มขึ้นหลายจุดบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีคนนั่งกระจายดูการปราศรัยตามจุดต่างๆ มากพอสมควร เมื่อเดินไปในทำเนียบฯ บรรยากาศก็ยังคงคึกคัก แผงของกินยังเปิดขายละลานตา ผู้ชุมนุมหลายคนเริ่มพักผ่อนเอาแรง ไล่ตั้งแต่นอนแผ่ในเต็นท์ ข้างถนน ไปจนถึงนั่งหลับอยู่ตามที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นประชาชนจากต่างจังหวัดที่ปักหลักอยู่กันมาหลายวันแล้ว แต่จากการสอบถามก็พบว่ามีผู้ชุมนุมชาวกรุงเทพฯ หลายคนที่เคยไปๆ กลับๆ ตัดสินใจนอนค้างเพราะกลัวว่าจะมีการสลายการชุมนุมเร็วๆ นี้ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อไหร่ เมื่อเดินสำรวจไปถึงแถวลานพระบรมรูปทรงม้าก็เห็นมีคนปักหลักอยู่พอสมควร นักข่าวฝรั่งคนหนึ่งมีปลอกแขน "PRESS" หมวกกันน็อก "PRESS" ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าฉันซึ่งกำลังปวดขาอย่างยิ่งไป เขาไปจอดที่กลุ่มของนักข่าวฝรั่งที่กำลังสัมภาษณ์ลุงเสื้อแดงคนหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้พบนักข่าวไทยที่ทำงานในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งที่ฉันรู้จักอยู่ในนั้นด้วย เขาและกองทัพนักข่าวต่างประเทศจึงชวนฉันเดินไปสัมภาษณ์แกนนำหลังเวทีข้างทำเนียบฯ ด้วยกัน ผู้ประสานงานหลังเวทีจัดแจงให้บรรดานักข่าวต่างประเทศ 6-7 คนขึ้นไปสัมภาษณ์แกนนำที่กำลังนอนหลับอยู่บนรถบัสหลังเวที แบบปลุกขึ้นมาจากเบาะแล้วนั่งคุยกันในนั้นเลย อาจเพราะข้างนอกเสียงดังตลอดเวลากระมัง เขาถึงได้อดทนคุยกันบนรถแบบค่อนข้างแออัด จรัล ดิษฐาอภิชัย คือเป้าหมาย ขณะที่ยังมีอีกสองสามคนนอนอยู่บนรถด้วย จรัลพูดถึงความยากลำบากในการคุมมวลชนที่เดินหน้าไปไกล และเรียกร้องให้แกนนำทำอะไรเสียบ้าง เช่น บุกบ้านพล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) และเขาต้องพยายามตามมวลชนให้ทัน โดยที่ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างนับแต่นี้ อย่างไรก็ดี นี่สะท้อนภาวะบางอย่างของแกนนำ แต่อาจไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด จากนั้นจักรภาพ เพ็ญแข ก็เดินขึ้นมาและถูกนักข่าวถามเป็นรายต่อมา เขาพูดถึงความแตกต่างว่านี่ไม่ใช่สงครามกลางเมือง หากแต่เป็น civil war และรายละเอียดหลายอย่างที่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัด และกระทั่งถึงแปลไม่ออก นอกจากนี้เขายังเป็นล่ามให้สุรชัย แซ่ด่าน (ด่านวัฒนานุสรณ์) ที่ขึ้นมาให้ข่าวเรื่องที่กลุ่มเสื้อแดงยึดอาวุธสงครามจากรถจีเอ็มซีของทหารได้จากบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และในเวลาต่อมาทางเวทีได้ฉายคลิปหลักฐานเหตุการณ์นี้ให้ผู้ชุมนุมดู มีอาวุธปืนเอ็ม 16 แบบพับฐานสองลังที่คนเสื้อแดงประสานทางตำรวจให้ยึดจากรถทหารนำไปเก็บไว้ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นคนบรรยายภาพคลิปนั้น และเรียกเสียงหัวเราะ เสียงเฮ จากผู้ชุมนุมได้เป็นระยะๆ หลังจากนักข่าวต่างประเทศแยกย้ายกลับ นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามนักข่าวหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ฉันรู้จักว่าจักรภพพูดกับนักข่าวต่างประเทศอย่างไรบ้าง โดยให้เหตุผลว่าจักรภพมักพูดกับนักข่าวไทยอย่างหนึ่ง พูดกับนักข่าวต่างประเทศอีกแบบหนึ่ง นักข่าวหนังสือพิมพ์ต่างประเทศออกอาการเหนื่อย ขี้เกียจเล่า จึงเกิดการถกเถียงกันพักหนึ่ง ก่อนพวกเขาจะแยกย้ายต่างคนต่างไป   0000   ฉันเดินวนๆ อยู่ในนั้นอีกจนตีสองกว่าจึงเดินกลับออกมาที่หอเพื่อนเพื่องีบเอาแรง ระหว่างทางเห็นบรรดาการ์ดทั้งชาย หญิงนอนแผ่กันบนสนามหญ้าริมฟุตบาทถนนราชดำเนินกลาง กำไม้อันยาวๆ ไว้กับตัว บางคนเอาผ้าเช็ดตัวคลุมตลอดหัวยันเท้าป้องกันฝูงยุง รถเมล์ปรับอากาศที่ยึดมาปิดถนน ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนติดแอร์ของคนเสื้อแดงที่ขึ้นไปนั่งงีบกันเต็มคันรถ ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า ช่างภาพของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่นั่งรวมกลุ่มอยู่กันที่นี่ คละๆ ไปกับกลุ่มประชาชนที่ปิดถนนแถวนั้น อากาศร้อนอบอ้าว ยุงก็เยอะ ใจคิดอยากจะชวนพวกเขาไปล้างหน้าล้างตาเหมือนกันแต่ก็เกรงใจเพื่อน ฉันเลยกลับมาพักผ่อนนอนหลับแต่ผู้เดียว โปรดติดตามตอนต่อไป   8 เม.ย. มีการชุมนุมใหญ่หน้าทำเนียบฯ และเคลื่อนไปยังหน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หลังจากที่เริ่มต้นมาตั้งวันที่ 26 มี.ค. 9 เม.ย.กลุ่มเสื้อแดงได้กระจายการชุมนุมไปยังกระทรวงต่างๆ 10 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงบางส่วนยึดถนนโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และจุดอื่นๆ จากนั้นในจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำได้ประกาศให้กลุ่มเสื้อแดงยุติการปิดถนนเพื่อมารวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาล คอยติดตามผลการปิดล้อมการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา 11 เม.ย.  -   เสื้อแดงบุกเข้าที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน +3 +6 ที่พัทยา หลังจากปะทะกับกลุ่มเสื้อน้ำเงิน จนในที่สุดต้องมีการเลื่อนการประชุมและส่งผู้นำประเทศต่างๆ กลับประเทศ จากนั้นอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงที่พัทยา และจังหวัดชลบุรี ก่อนจะประกาศยกเลิกในช่วงค่ำ 12 เม.ย.  -  ในช่วงสายมีข่าว นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ถูกจับกุมที่บ้านพักและนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปพร้อมนายจตุพร พรหมพันธุ์ โดยไม่รู้ที่หมาย จากนั้นจึงมีข่าวว่าได้นำตัวนายอริสมันต์ไปยังค่ายนเรศวน จ.ประจวบฯ นอกจากนี้ยังมีการออกหมายจับเพิ่มเติมแกนนำอีก 4 คนในหลายข้อหา เช่น มั่วสุม กระทำการทางวาจาเพื่อให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน กีดขวางการจราจร ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ อ.บางพลี อ.พระประแดง อ.บางบ่อ อ.บางเสาธง ,อ.ธัญบุรี อ.ลาดหลุมแก้ว อ.สามโคก อ.ลำลุกกา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ,อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และอ.วังน้อย อ.บางปะอิน อ.บางไทน อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ได้ระดมผู้ชุมนุมไปขัดขวางการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งนายกฯ จะแถลงที่กระทรวงมหาดไทย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ได้บุกเข้าไปภายในกระทรวง บุกทำลายรถประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยความโกรธแค้น มีการยิงปืนขึ้นฟ้าโดยการ์ดที่ดูแลนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และเกิดการบุกทุบรถขึ้นจนทำให้การ์ดประจำตัวนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาฯ นายกรัฐมนตรีได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสข่าวลือว่ามีคนเสื้อแดงที่ถูกยิงและถูกลากตัวเข้าไปไว้ภายในกระทรวง ในภายหลังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ออกมาให้การปฏิเสธ ในช่วงเย็น สัญญาณภาพของสถานีโทรทัศน์ดีทีวีได้หยุดออกอากาศรายงานสดการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยทางดาวเทียมไทยคมแจ้งว่าได้รับคำสั่งจากรัฐบาลหลังจากมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุนเฉิน แต่ไม่ถึงสองชั่วโมงก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง กองทัพจัดส่งกำลังสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 56 กองร้อย ตามแผน "อาร์มทอง" เพื่อดูแลสถานที่ราชการสำคัญ ด้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องทุกคนเตรียมอยู่ในที่ตั้ง ดูแลความปลอดภัยของประชาชนกันเองในทุกพื้นที่ และเตรียมพร้อมใช้พลังโดยทันที เมื่อถึงเหตุการณ์ที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ                
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จากบันทึกงาน - เพื่อคนทุกข์ผู้ยากไร้ ของ จินตวีร์   เกียงมี
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
แสงดาว ศรัทธามั่น
( 1 ) ... ด ว ง เ ที ย น ป ฏิ วั ติ 

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม