Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย”  บ่าวยิ้ม“สนุกครับ  บ้านปู่สนุกและสบายมากๆ ด้วย” บ่าวตอบ“คิดถึงบ้านกันหรือยังล่ะ” บ่าวกับผมยิ้มให้กันแล้วส่ายหน้าให้ปู่“ยังครับ เรายังอยากอยู่ต่ออยู่เลยครับ” ปู่ยิ้มให้เราทุกคน
โอ ไม้จัตวา
เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย หลังจากเดินเล่นในสวนเขียว ๆ มาพักหนึ่ง ความเป็นจริงก็เริ่มปรากฏ เศรษฐกิจแย่ลง จากสองปีก่อนคนบอกว่าขาลง ปีที่แล้วเผาจริง ปีนี้เผาจริงกว่า บอกตัวเองว่าเอาเถอะ เป็นไงก็เป็นกัน เกิดเป็นคนไทยแล้วนี่นา คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ชัยชนะที่ผลัดกันชมระหว่างผู้ขับไล่ และผู้อยู่ไกลบ้าน แล้วในที่สุดเขาก็รักกัน เป็นพี่น้องกัน คนที่แทบฆ่ากันตายกลับกลายเป็นนายกที่ดีที่สุด เกิดอะไรขึ้นกับชายชาติทหาร หลายคนเดินคอตกกับความผิดหวังที่รู้สึกว่าเราถูกหลอก หลายคนกุมหัวใจมั่นแล้วบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ณ เวลานั้นเราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแบบนี้ก็อย่าหวังว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรอีก กลับบ้านใครบ้านมัน เซาะว่าหากินไปตามเรื่องดีกว่า  กระบอกปืนออกไป การเลือกตั้งกลับมา รอบแรกเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก่อนปีใหม่ ร้านรวงในเชียงใหม่เจอวิกฤติสปิริตไปห้าวัน คือ สัปดาห์เลือกตั้งล่วงหน้า ห้ามขายเหล้าไปสามวัน สัปดาห์เลือกจริงอีกสองวัน หลายร้านขายเหล้าเป็นหลัก จึงต้องปิดร้านไปในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นไฮซีซั่น หลายธุรกิจต้องเช็ดเหงื่อกันถ้วนหน้า เพื่อบ้านเมืองไม่ทำได้อย่างไร นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ่นกันอุบ  สัปดาห์นี้เลือกตั้ง ส.ว. แทบไม่รู้ตัว มาเหมือนเดิมห้าวันสุดสัปดาห์ ถัดจากเลือกตั้ง ส.ว. มีเลือกตั้ง ส.ท.อีก เจออีกห้าวัน  ขายไปบ่นไปค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ ฟังเสียงบ่นว่าของนักท่องเที่ยวที่ไม่อาจดื่มกินได้ แม้ว่าจะหิ้วเหล้าเข้ามาเอง เพราะหนังสือจากสถานีตำรวจนั้นห้ามจำหน่ายจ่ายแจก ห้ามให้ใช้สถานที่สำหรับดื่มสุรา  แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เจอเข้ากับตัวเองเต็ม ๆ คราวเลือก สส. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอดื่มเบียร์ เราไม่ขาย เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาเป็นตำรวจ  คราวนี้มีผู้พิพากษา (ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม) หิ้วเหล้าเข้ามา บอกว่าเหลือสามแก้ว อยากนั่งฟังเพลง เราบอกว่าขายไม่ได้ ให้ดื่มก็ไม่ได้ เป็นความผิด กฎหมายเลือกตั้งไม่เหมือนวันพระวันโกน ขายน่ะเราอยากขายใจจะขาด เขายังยื้อที่จะดื่มให้ได้ บอกว่าตะกี้มาจากอีกร้านหนึ่งเขาให้ดื่ม เนี่ยไม่สนุกเลยอุตส่าห์มาเชียงใหม่ เรายังยืนยันว่าไม่ได้ เราทำผิดไม่ขึ้น ค่าปรับสองหมื่น เขาบอกเขาจ่ายเอง เราบอกเราก็ผิดกฎหมายด้วย เขาบอกกฎหมายอะไร กฎหมายเขาห้ามจำหน่าย เขาเป็นผู้พิพากษา จะดูบัตรไหม แล้วทำท่าล้วงบัตร แต่ไม่ควักออกมา ฉันมองนิ่ง ๆ แล้วส่ายหน้ายืนยันว่าไม่  บางภาวะเราก็ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกให้มากที่สุด ในใจอยากบอกเขาว่าถ้าคุณเป็นผู้พิพากษาจริง คุณควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชนเพราะคุณเป็นผู้ใช้กฎหมายในการ “พิพาก” ณ เวลานั้นแม้แต่แมวในร้านก็ยังรู้สึกว่าถ้าเป็นผู้พิพากษาจริงเขาไม่อวดบัตรกันหรอก เราจึงไม่สนใจพูดกับเขา และยืนมองเขานิ่ง ๆ เมื่อเขาเดินผ่านหน้าไป  เขาหลบตา... เมื่อไรบ้านเมืองเราจะมีพลเมืองที่เชื่อถือได้ในความซื่อสัตย์สุจริต โดยไม่ต้องมีข้อห้ามเพื่อป้องกันการดื่มกิน การซื้อเสียงในรูปแบบต่าง ๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อรัฐห้ามดื่มกินในวันก่อนหน้าและวันเลือกตั้ง ก็ยังเหลือวันอื่น ๆ อีกมากมายให้คนเฉลิมฉลอง  อยากเที่ยวเชียงใหม่แบบย้อนยุค ขอเชิญสุดสัปดาห์นี้นะคะ บ้านเมืองเงียบเชียบ ดูเป็นเมืองศีลเมืองธรรม มีวัฒนธรรมของตัวเองยังไงไม่รู้ ถ้าใครมีโอกาสมาขอแนะนำโปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ ช่วงนี้  เช้าใส่บาตรที่ลานครูบาศรีวิชัยมีพระเณรเดินเป็นเส้นเป็นสายไม่แพ้หลวงพระบาง สาย ๆ ก็เดินสายเที่ยววัดในเมืองเชียงใหม่ แนะนำวัดสวนดอก ไว้พระเจ้าเก้าตื้อ ชมกู่ของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ วัดป่าแดง หลังม.ช.เข้าซอยด้านประตูวิศวะ เป็นวัดที่พระสุมณเถระ พระสงฆ์รูปแรกที่นำพุทธศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักรล้านนาได้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ (สมัยพระยากือนา) วัดพระสิงห์ชมวิหารลายคำ วัดเจดีหลวง ไหว้เสาหลักเมืองเชียงใหม่ วัดบุปพารามที่ถนนท่าแพ มีวิหารเก่าที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างไว้ตั้งแต่สมัยเสด็จผ่าน ยังเก่าแก่โบราณอยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจของเมืองเชียงใหม่ วัดเจ็ดยอด เป็นวัดที่เคยสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยพระเจ้าติโลกราช วัดต้นเกว๋น วัดนี้ไม่มาไม่ได้ งามมากค่ะ อยู่แถวพืชสวนโลก ตรงแยกสะเมิงค่ะ และ The Must ของเชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ไปตอนเย็น ๆ รอจนตะวันลับฟ้า ชมเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนมีแสงไฟระยิบระยับอย่างในรูป ไม่ได้ดื่มกิน แต่ก็ดื่มด่ำกับเชียงใหม่แท้ ๆ ได้เจ้า++  
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง ที่ลากต่อมาจากอีกจุดหนึ่ง ขณะที่จุดที่เราไม่ได้เลือกอาจเลือนไปจากความทรงจำ ตลอดชีวิตของแต่ละคนมีจุดนับร้อย นับพัน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ถูกลากต่อกันมา ถ้าเราพิจารณาการเชื่อมต่อระหว่างจุดเหล่านั้นอย่างละเอียดเราอาจได้พบกับร่องรอยอนาคตของตัวเราเอง อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวเลือกที่มี การเลือกของเรา และเส้นทางแห่งการเลือกนั้น ทั้งหมดอาจเรียกได้ว่า “ชะตากรรม” และชะตากรรมของคนๆ หนึ่งย่อมมีบทสรุปเมื่อคนๆ นั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ชะตากรรมจึงไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นพูด เมื่อไม่อาจหาจำเลยให้กับความโชคดีอย่างเหลือร้าย หรือความโชคร้ายอย่างเหลือรับ เมื่อสิ่งที่ไม่คาดหมายเข้ามาสู่ชีวิต ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป ผู้เชื่อในไสยศาสตร์โชคลางก็โน้มเอียงไปในทางหนึ่ง ผู้ใช้เหตุผลเป็นสรณะก็พิจารณามันอีกอย่างหนึ่ง และผู้เชื่อในเรื่อง “กรรม” ตามการอธิบายแบบพุทธศาสนาก็จะมองอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลมาจากกรรมในอดีต สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต เป็นผลจากกรรมในปัจจุบัน ฉะนั้นหากปัจจุบัน ชีวิตยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าน่าพึงพอใจ เราก็ไม่อาจแก้ไขให้ปัจจุบันดีขึ้นได้ เพราะมันเป็นผลมาจากอดีตของเรา แต่เราสามารถทำให้อนาคตเราดีได้ หากเราทำปัจจุบันให้ดีขึ้น “...พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีบุคคลอยู่ 4 จำพวก พวกที่หนึ่งมามืดไปมืด พวกที่สอง มาสว่างไปมืด พวกที่สามมามืดไปสว่าง และพวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง...” (ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วันของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า : มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์) ความมืด หมายถึง ความทุกข์ของชีวิต ความสว่าง หมายถึงปัญญา หรือผลแห่งกรรมดี พวกที่หนึ่ง มามืดไปมืด คือ ชีวิตปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ ร้อนใจ ไม่มีความสงบ ทั้งในจิตใจก็มีแต่ความโกรธ ความเกลียด มุ่งร้าย ดุจเดียวกับการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ไว้ ก็ย่อมได้รับผลแห่งความทุกข์ในอนาคตต่อไปอีก พวกที่สอง มาสว่างไปมืด คือปัจจุบันมีทรัพย์ มีปัญญา มีความเจริญ แต่จิตใจขาดปัญญา คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น จึงสร้างแต่อัตตา ดูแคลนผู้อื่น ขาดความเมตตา สะสมแต่ความเห็นแก่ตัวเมื่อกรรมดีที่กำลังให้ผลอยู่สิ้นสุดลง เมล็ดพันธุ์แห่งความมืดที่เขาหว่านไว้ก็จะทำให้อนาคตของเขามืดมน พวกที่สาม มามืดไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ เหมือนพวกที่หนึ่ง แต่กำลังสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นแก่ตน กำลังสร้างความเข้าใจในเหตุผลแห่งกรรมให้เกิดขึ้น แม้ปัจจุบันกำลังประสบความทุกข์ แต่ก็กำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาไว้ ซึ่งเมื่อใดที่ผลแห่งกรรมเก่าหมดไป เมล็ดแห่งกรรมดีที่หว่านไว้ก็จะเริ่มให้ผล พวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข มีทรัพย์ มีปัญญา ขณะที่จิตใจก็มีความสว่างและมุ่งหวังจะสร้างแต่ความดี มีความรักความเมตตา เปรียบเสมือนได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเขาก็ย่อมจะได้รับผลแห่งความสว่างเช่นกัน อดีตคือสิ่งที่ได้เลือกไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปัจจุบันเราจึงต้องรับผลแห่งการเลือกจากอดีตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ หากเราทำปัจจุบันของเราให้ดี หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเราก็ย่อมได้รับผลจากกรรมดี ไม่ว่าจะพบกับสิ่งมืดมนเลวร้ายสักเพียงใด หากระลึกได้ว่านี่คือผลแห่งการกระทำที่เราเคยทำมาและมองมันอย่างเข้าใจ พร้อมๆ ไปกับพยายามทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด เมื่อนั้น ชะตากรรมย่อมไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก การเลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างมีสติรู้ และมุ่งไปสู่ตัวตนสูงสุดที่เราปรารถนา การกล่าวโทษความทุกข์หรือความโหดร้ายของชีวิตที่เรากำลังได้รับในปัจจุบัน ไม่อาจทำให้สิ่งใดดีขึ้นมาได้เลย หากต้องการให้อนาคตเราดีขึ้น มีแต่ต้องลงมือเปลี่ยนแปลง “ด้วยตนเอง” เท่านั้น
เมธัส บัวชุม
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ชัย ราชวัตร แสดงความหยาบของตัวเองผ่านการ์ตูนชุด “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ ชัดเจนอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ชัย ราชวัตร เอาการเอางานอย่างมากในการใช้ตัวการ์ตูนโจมตีฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ บางครั้งเขาออกอาการก้าวร้าวผิดปกติเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองแหลมคม เป็นผลให้การ์ตูนของเขาแตกต่างจากการ์ตูนของคนอื่น ๆ คือเป็นการ์ตูนที่เด็ก ๆ อ่านไม่รู้เรื่องเพราะอ้างอิงกับข้อมูลและความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน อันที่จริงความน่าสนใจของหนังสือการ์ตูนโดยทั่วไปนั้นอยู่ที่การใช้ “ภาพ” เป็นตัวเล่าเรื่อง สีหน้าท่าทางของตัวการ์ตูนสื่อความหมายได้อย่างดีหรืออาจโจ่งแจ้งเกินจริงด้วยซ้ำ ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยแทบไม่ต้องอ่านคำพูดหรือบทสนทนาของตัวการ์ตูนเลยก็ได้ ดังนั้นหนังสือการ์ตูนจึงสามารถเปิดดูผ่าน ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถยืนอ่านที่ร้านหนังสือรวดเดียวจบโดยไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน แต่การ์ตูนของชัย ราชวัตร ต่างออกไปตรงที่เน้นการใช้ “คำพูด” ในการเล่าเรื่องและเรื่องที่เล่าก็มักเป็นแง่มุมเกี่ยวกับการเมือง หรือข่าวสังคมที่กำลังเป็นกระแสความสนใจบวกกับทัศนคติล้าหลังของตัวเขาเอง ชัย ราชวัตร ง้างปากตัวการ์ตูนให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการซึ่งยอมรับว่าหลายครั้งการ์ตูนของเขาจบลงด้วยการใช้คำพูดหักมุมให้ทึ่งและประหลาดใจจนน่าติดตาม บางครั้งก่อให้เกิดอารมณ์ขันกับความสะใจระคนกัน ท่านทูตสหรัฐคนที่แล้วก็ยอมรับว่าเขาชอบอ่านการ์ตูนของชัย ราชวัตร เพราะช่วยให้เห็นแง่คิดและทัศนคติทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การ์ตูนของชัย ราชวัตร ในคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นตอนที่อ่านแล้วหัวเราะไม่ออกเพราะคาดไม่ถึงว่า ชัย ราชวัตร จะสามารถ “หยาบ” ได้ถึงเพียงนี้ แต่อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นก็คือ ชัย ราชวัตร แสดงความ “หยาบ” ผ่านตัวการ์ตูนหลายครั้งหลายหนแล้ว ในการ์ตูน ลูกสาวตัวน้อยอยู่ในชุดนักเรียนท่าทางไร้เดียงสา ถามแม่ที่กำลังตากผ้าอยู่ด้วยถ้อยคำที่ดูเหมือนไร้เดียงสาว่า “แม่จ๋า ถ้าหนูเรียนพยาบาล หนูจะได้เป็นรัฐมนตรีคลังไหมคะ” แม่ตอบว่า “ถ้าแกเรียนพยาบาล แกจะเป็นอะไรก็ได้ แต่แกต้องหาผัวเป็นนักการเมืองให้ได้ก่อน” (ไทยรัฐ, 14 กุมภาพันธ์, 51) รู้โดยไม่ต้องวิเคราะห์ว่าบทสนทนาข้างต้นเชื่อมโยงกับการจัดคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช คนที่มีข้อมูลอยู่บ้างก็จะรู้ได้ว่าหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้คือคุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มีอาชีพเป็นพยาบาลและเป็นภรรยาของคุณไพโรจน์ สุวรรณฉวี ซึ่งเป็นนักการเมือง คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังท่ามกลางคำครหาว่า “ขี้เหร่” แต่ด้วยความที่สามีเป็นนักการเมืองในพรรคเพื่อแผ่นดินและมีอิทธิพลไม่น้อย คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จึงขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ให้ทัศนะในเรื่องนี้ไว้ว่า “เรื่องนี้ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน เพราะต่างคนก็ต่างมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างในต่างประเทศแถบยุโรปถ้าเป็นตำแหน่ง ส.ว. ก็จะเป็นกันทั้งตระกูล เป็นมรดกตกทอด ดิฉันคิดว่าการที่เรามาอาสาทำงานทางการเมืองโดยที่เรามีความพร้อม ไม่ทราบว่าเป็นที่น่ารังเกียจหรือมันผิดตรงไหน ในเมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเราเข้ามาทำงานในตรงนี้แล้วจะทำงานให้ดีที่สุดให้สมกับที่ชาวบ้านเลือกเข้ามา การที่ใครจะมองดิฉันไปในทิศทางใดก็ไม่เป็นไร ขอน้อมรับทั้งหมด” ไม่ว่าคุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จะ “ขี้เหร่” จริงหรือไม่ก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ของ ชัย ราชวัตร ในครั้งนี้ถือว่า “ไม่เข้าท่า” อย่างแรง ที่เห็นชัดเจนอย่างมากเป็นอันดับแรกก็คือการดูถูกผู้หญิง อันดับต่อมาก็คือการดูถูกอาชีพพยาบาล แฝงด้วยความเหยียดหยันนักการเมืองตามสไตล์ของเขา ตามเนื้อหาในการ์ตูนของเขา ผู้หญิงที่เป็นพยาบาลจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ก็ด้วยความสามารถในการหาสามีที่เป็นนักการเมือง ไม่ใช่เพราะความขยันขันแข็งในอาชีพพยาบาลของตนเอง! คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี พูดถึงอาชีพพยาบาลของตนเองว่า “อาชีพพยาบาลไม่ใช่อาชีพที่น่ารังเกียจ เป็นอาชีพที่สังคมยอมรับ ความจริงแล้วตอนที่เริ่มต้นเรียนพยาบาล คุณแม่ไม่ค่อยสบายและอยากจะให้เรียน จึงตัดสินใจสอบเข้าเรียนพยาบาล เริ่มจากวิทยาลัยพยาบาลกอง ทัพบก รุ่นที่ 10 หลังจากนั้นไปเรียนต่อพยาบาลศาสตร์ มหิดล และเรียนต่อปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต ที่มหา วิทยาลัยเกริก เริ่มต้นทำงานพยาบาลจริงๆเพียง 3 ปี จากนั้นจะทำงานด้านวิชาการและด้านการบริหารเสียส่วนใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาชีพพยาบาลไม่ดีตรงไหน” ชัย ราชวัตร อาจไม่ตั้งใจ แต่ความไม่ตั้งใจนี่แหละที่สะท้อนให้เห็น “สันดาน” ของเขา สันดานในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างขาดความรับผิดชอบ ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมในฐานะที่เป็นสื่อสารมวลชน หากมองในแง่ศิลปะ การ์ตูนของ ชัย ราชวัตรก็ล้มเหลว หลายครั้งที่ตัวละครการ์ตูนของเขารู้มากเกินไป บุคลิกลักษณะของตัวละครกับสิ่งที่ตัวละครพูด ไปด้วยกันไม่ได้เลย บางทีอ่านการ์ตูนของเขาแล้วก็นึกถึงการโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล อย่าปล่อยให้นักเขียนการ์ตูนแบบนี้ลอยนวล ช่วยกันประณาม เพราะหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ใช่เวทีสำหรับแสดงสันดานหยาบ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด แต่มีปฏิภาณไหวพริบฉับไวมาก และไม่มีผิดพลาด พูดสั้นๆย่อๆแต่อมความหมายไว้อย่างสมบูรณ์ คำพูดของท่านแต่ละประโยคมีความหมายและเนื้อหาจบสิ้นลงโดยสิ้นเชิง เหมือนหนึ่งสะกดจิตผู้ฟังหรือผู้ถาม ให้ฉุกคิดอยู่เป็นเวลานาน แล้วก็ต้องใช้ความตริตรองด้วยปัญญาอย่างลึกซึ้ง”เมื่อผมได้อ่านบันทึกธรรมะสั้นๆร้อยกว่าเรื่องของหลวงปู่ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งธรรมะแบบธรรมดา แบบชวนขบขัน และแบบสัจธรรมล้วนๆ  ผมก็เห็นคล้อยตามที่ พระโพธินันทมุนี ได้เกริ่นกล่าวเอาไว้ ไม่เชื่อคุณลองชิมอ่านตัวอย่างที่ผมคัดมาดังต่อไปนี้
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้  ผมกลับยืนมองด้วยความเพลิดเพลิน  ยิ่งท้องฟ้าเป็นสีฟ้า  ยิ่งไม่รู้สึกเสียดายฟิล์ม(ผมยังอยู่ในโลกย้อนยุคอันอุดมไปด้วยฟิล์มสี  ตอนนี้ราคา 95 บาทต่อม้วน  ค่าล้าง 30 บาท/ม้วน  ค่าล้างรูปขนาดจัมโบ้ 5 บาท/รูป  หักลบคูณหารภาพเสีย  ภาพไม่ได้ใช้งานบ้าง  ก็ยังต้องยอมใช้ฟิล์มสีถ่ายรูปอยู่ดี  ล้างอัด  อัดแล้วซื้อฟิล์มม้วนใหม่อีกครั้ง ..)
Carousal
คุณรู้ไหมคะว่าทำไมผู้หญิง (บางกลุ่ม) ถึงชอบอ่านการ์ตูนชายรักชาย?
การ์ตูนที่มีตัวละครรักเพศเดียวกันมีชื่อเรียกหลายชื่อ ตามแต่ยุคสมัยและผู้ที่เรียกขานมัน เป็นต้นว่า การ์ตูนโฮโม, การ์ตูน boy’s love, การ์ตูนวาย, การ์ตูนเกย์ ฯลฯ แต่ในความรู้สึกของฉัน ความหมายของคำเหล่านั้นไม่เท่ากันเสียทีเดียว โดยเฉพาะคำว่าการ์ตูนเกย์ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่อ่าน อาจจะคิดว่ามันเป็นคำที่ชัดเจนที่สุด แต่สำหรับคนที่อ่าน มันกลับเป็นคำที่มีความหมายคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากที่สุด
การ์ตูนวายไม่ใช่การ์ตูนเกย์ แม้ว่ามันจะเป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครชาย แต่เป้าหมายและความหมายของมันก็ไม่เหมือนกัน ตัวละครชายในการ์ตูนวายไม่ใช่เกย์จริง ๆ ที่มีตัวตนอยู่บนโลก เขาเหล่านั้นเป็นเกย์ในจินตนาการของเด็กผู้หญิง ความรักมักเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาพวกเขาผูกพันซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางความไม่เข้าใจจากสายตาของคนภายนอกว่าทำไมเด็กผู้หญิงวัยฝันถึงชอบอ่านการ์ตูนวาย ท่ามกลางผลงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าการ์ตูนวายเกิดขึ้นเพื่อระบายความรู้สึกเก็บกดของผู้หญิงในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ฉันคิดว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมามากกว่านั้นมาก โดยเฉพาะในสังคมไทยที่การเป็นผู้หญิงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนักเมื่อเทียบกับบางประเทศ พวกเธอเพียงแต่จินตนาการถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค เช่นเดียวกับที่รุ่นแม่หรือย่ายายเองก็เคยชื่นชอบเมื่อสมัยที่เป็นวัยรุ่น เพียงแต่ความรักต่างชนชั้น หรือการกีดกันระหว่างสองตระกูล ที่เคยทำหน้าที่เป็นอุปสรรคอันหวานซึ้งได้คลายเสน่ห์ของมันเสียแล้วเนื่องจากกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป พวกเธอจึงต้องมองหาเป้าหมายใหม่ และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือความรักระหว่างเพศเดียวกันนั่นเอง

ชาน่า
ชีวิตที่ต้องเกี่ยวข้องของคนหลากเพศชายจริง หญิงแท้ หรือแม้แต่เกย์ กะเทย นั้นย่อมมีปะปนกับชนและคนทุกชนชั้นวงการไม่เว้นแม้แต่ชีวิตของนักศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตแห่งชาติ เป็นลูกเป็นหลานเราๆ ท่านๆ เนี่ยล่ะฮะวันนี้ชาน่าอ่านข่าวคราวจาก นสพ.คงชักเล็ก พิมพ์ผิดฮ่า คมชัดลึก เกี่ยวกับชีวิตของกะเทยหรือสาวประเภทสองที่ต้องแต่งตัวเป็นนักศึกษาหญิงไปมหาวิทยาลัย จึงหยิบมาฝากผู้อ่านประจำคอลัมน์ “พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์” ณ ประชาไทกันบ้างเชื่อหรือไม่ว่า ชีวิตของคนเป็นเกย์ อีแอบ นั้นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของความขัดแย้งในการแต่งกายเลย เพราะพวกเค้าก็คือเพศชายดีๆ ที่คุณเห็นนั่นแหล่ะ บางครั้งมองแทบไม่ออกดูยากเหลือเกินว่าคนไหนเป็นหรือไม่เป็น ตราบใดที่ไม่มีเครื่องมือดักจับตุ๊ด เกย์ ปรากฎขึ้นบนโลกใบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นง่ายเสมอคือ ส่วนมากเกย์จะเนี๊ยบ เรียบร้อย ดูดีกว่าผู้ชายทั้งแท่งว่างั้นเหอะ
Hit & Run
  พืชผักผลไม้ในท้องตลาด เสี่ยงต่อการมีสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างจากการผลิตแบบเกษตรเชิงพาณิชย์ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิตดังนั้นจึงมีเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งแสวงหาทางเลือกใหม่ หนึ่งในทางเลือกนั้นคือการทำ ‘เกษตรอินทรีย์'พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) และสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน (ISAC) จัดกิจกรรมผู้บริโภคสัญจรไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ ที่ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้พบกับเกษตรกรผู้ผลิตพืชผักอินทรีย์ สร้างความเข้าใจร่วมกันถึงกระบวนการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ดังกล่าวหนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกสตรอเบอรี่อินทรีย์ที่ได้ไปเยี่ยมเยียนกันคือ สิงห์แก้ว แสนเทชัย หรือพะตี ‘ชีแนะ' ชาวบ้านปกาเกอะญอ หมู่ 4 ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่พี่ชีแนะ เล่าให้ฟังว่า ทำสวนตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา เคยปลูกพืชผักเมืองหนาวมาหลายอย่าง ทั้งกาแฟ ถั่วแดง สตรอเบอรี่ โดยมีนายทุนจากเพชรบุรีเอาพันธุ์ เอาปุ๋ยเคมี เอายากำจัดศัตรูพืชมาให้ แต่ต้องขายพืชผลให้กับเขาเท่านั้น บางปีได้ผลผลิตมาก บางปีได้ผลผลิตน้อย บางปีเป็นโรค ขายได้ราคาดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้สารเคมีมากขึ้น และอันตรายขึ้น ทำมา 20 ปี เป็นหนี้สะสมกว่า 150,000 บาทพี่ชีแนะบอกว่ากระบวนการเพาะปลูกพืชปัจจุบัน ทั้งผู้ปลูก ผู้บริโภคต่างมีโอกาสได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายทั้งนั้น"ถึงชาวบ้านไม่ปลูกสตรอเบอรี่เอง ก็ไปรับจ้างเก็บสตรอเบอรี่ ถางหญ้า ยังไงก็ต้องสัมผัสสารเคมี เพราะท้องร่องสวนเขาพ่นยาฆ่าหญ้าตลอด เวลาเข้าสวนต้องสวมรองเท้าบูท เดินเท้าเปล่าไม่ได้""พ่นวันนี้ พรุ่งนี้เก็บก็มี พ่นวันนี้ เย็นวันนี้เก็บก็มี อันตรายมาก"วันหนึ่ง พี่ชีแนะเจ็บป่วย ต้องผ่าท้อง หมอบอกว่าถ้ายังใช้สารเคมี หมอรักษาให้ไม่ได้แล้ว"ผมเลยอยากหาทางออกที่ยั่งยืน"วันหนึ่งหลังจากมีโอกาสอบรมเรื่องทำเกษตรอินทรีย์ที่ ต.แม่ทา กิ่ง อ.แม่ทา จ.เชียงใหม่ พี่ชีแนะจึงเริ่ม ลด ละ เลิก ใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 5 ปี จากการทำเกษตรที่ใช้สารเคมี หันมาเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ด้วยวิธีโบราณแบบที่คนรุ่นพ่อทำโดยปี 2550 นี้ เป็นปีแรกของการเริ่มปลูกสตรอเบอรี่อินทรีย์เต็มรูปแบบของพี่ชีแนะ พร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 1 หลัง ทำให้เป็นบ้าน 2 ครอบครัวแรก จากทั้งหมด 20 หลังคาเรือน ที่เริ่มต้นชีวิตเกษตรกรใหม่ด้วยเกษตรอินทรีย์"เริ่มแรกก็มีปัญหา ก่อนหน้านี้ลูกเมียไม่เชื่อ ผมเลยบอกว่าใช้ยาแล้วไม่ดี" พี่ชีแนะพูดถึงอุปสรรคแรกของการปลูกสตรอเบอรี่แบบเกษตรอินทรีย์จาก ‘ทางบ้าน' แต่ก็ผ่านไปได้ เพราะหลังๆ มาครอบครัวเริ่มเข้าใจ000พี่ชีแนะกับไร่สตรอเบอร์รี่อินทรีย์จากบ้านพี่ชีแนะ พวกเราเดินทางขึ้นเขาลงห้วย ทั้งทางรถทางคน ก็มาถึงไร่สตรอเบอรี่ของพี่ชินะ เป็นเนินอยู่ริมลำธารเล็กๆ กลางหุบเขา พื้นที่ประมาณ 2 งาน สภาพเหมือนแปลงสตรอเบอรี่ทั่วไป ผิดกันตรงที่แทนที่จะใช้ยาฆ่าหญ้ากำจัดวัชพืชที่คลุมแปลงสตรอเบอรี่ ไร่สตรอเบอรี่แห่งนี้เลือกใช้ใบตองตึงมาเรียงๆ กันแทนเพื่อคลุมคันดินกันวัชพืช ใช้ปุ๋ยหมักที่ผสมวัสดุเอง ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งดอก เร่งผล และไม่ใช้ยากำจัดศัตรูพืชใดๆพี่ชีแนะ เชิญชวนผู้บริโภคจากเมืองใหญ่ที่มาเยือนไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ของเขา ให้หยิบชะลอม แล้วไปเลือกเก็บสตรอเบอรี่ตามอัธยาศัยหนาวนี้พี่ชีแนะ เริ่มปลูกสตรอเบอรี่ตั้งแต่เดือนตุลาคม เมื่อปลูกสตรอเบอรี่จนได้อายุ 60 วัน ก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงปลายเดือนมีนาคมหรืออาจถึงต้นเดือนเมษายนจึงจะหมดรุ่น โดยผลสตรอเบอรี่จะค่อยๆ ออกผลมาเรื่อยๆ ไม่พร้อมกันพี่ชีแนะจะเก็บผลสตรอเบอรี่ 1 ครั้งต่อสามวันไปเรื่อยๆ เมื่อเก็บแล้วจะฝากรถสองแถวสายสะเมิง - เชียงใหม่ ลงมาขายที่ตลาดนัดและคลังเกษตรอินทรีย์ในเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นร้านกระจายสินค้าเจ้าประจำ และก็มีบางเที่ยวของการเดินทางที่สตรอเบอรี่จากสวนพี่ชีแนะเดินทางไปถึงร้านค้าเกษตรอินทรีย์ที่กรุงเทพฯสวนของพี่ชีแนะเก็บสตรอเบอรี่ได้ครั้งละ 4-5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าให้ผลผลิตต่อเนื้อที่น้อยลงเมื่อเทียบกับไร่สตรอเบอรี่ที่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่สตรอเบอรี่อินทรีย์ก็ให้ราคาดีถึงกิโลกรัมละ 150 บาท ผลเล็กผลใหญ่ไม่แยกเกรด กิโลกรัมละ 150 บาทเท่ากันหมด ราคาดีกว่าสตรอเบอรี่ทั่วไปถึงเท่าตัว ยิ่งกว่านั้นราคาสตรอเบอรี่สวนอื่นยังขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางกำหนด หรือกำหนดราคามาแล้วจากนายทุนที่มาจ้างปลูก ตั้งแต่ผลสตรอเบอรี่ยังไม่ออก000แขกจากเมืองใหญได้สตรอเบอรี่มาคนละชะลอม สองชะลอม ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปกับไร่สตรอเบอรี่ กับเจ้าของไร่สตรอเบอรี่ บ้างลองชิมสตรอเบอรี่สดที่เพิ่งเด็ดมา พี่ชีแนะให้ความเชื่อมั่นว่าสตรอเบอรี่สวนของเขาไม่มีสารเคมีแน่นอน"ถ้าเป็นสตรอเบอรี่ที่ใช้ยา กินดูก็รู้จะขมลิ้นขมปากไปหมด" พี่ชีแนะเปรียบเทียบที่จริงผลสตรอเบอรี่ของสวนพี่ชีแนะ ก็มีผลผลิตบางส่วนที่ยังไม่สวยนัก บางผลที่เด็ดมาที่ผิวมีจุดสีดำๆ ทำให้สีของผลสตรอเบอรี่คล้ำ นี่คือผลที่เป็นโรค ‘ไรดำ'"ให้น้ำน้อยจะทำให้สตรอเบอรี่เจอไรดำ แต่ถ้าให้น้ำมากไปผลสตรอเบอรี่จะเน่า นอกจากนี้หากในไร่สตรอเบอรี่ยังปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปลูกแต่สตรอเบอรี่ โอกาสที่จะเจอศัตรูพืชก็มีมาก ต้องปลูกพืชให้หลากหลายชนิดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกแมลงทำลายพืชผล" แสงทิพย์ เข็มราช ผู้จัดการคลังเกษตรอินทรีย์ สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน (ISAC) สะท้อนปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาโรคพืชในสวนของพี่ชีแนะ"ไรด่าง ไรแดง ไรต่างๆ ยังแก้ไม่ได้ แต่จะใช้วิธีที่อุ๊ยสอนคือไปหาสมุนไพรในป่า" พี่ชีแนะคิดหาทางแก้ปัญหา"ลองชิมดู อร่อยดี" อาจารย์กนกวรรณ อุโฆษกิจ เจ้าหน้าที่องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) แนะนำว่าให้ลองเอาผลที่เป็นไรดำมาชิม น่าแปลกที่สตรอเบอรี่ผลนี้กลับหวานกว่าสตรอเบอรี่ผลที่ไม่เป็นโรคแสงทิพย์ เข็มราช สะท้อนอุปสรรคของการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ว่ามีสองประการ คือ ความมั่นใจของชาวบ้าน และแรงกดดันของเพื่อนบ้าน"หนึ่ง ชาวบ้านเองยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าทำเกษตรอินทรีย์จะสามารถลดหนี้ได้ไหม ผลผลิตออกมาจะสวยไหม ถ้ามันไม่สวยจะไปขายที่ไหน จะขายได้ไหมในตลาด เพราะตอนใช้สารเคมีต้องสวยๆ พ่อค้าถึงจะรับ แต่กับเกษตรอินทรีย์ คลังเกษตรอินทรีย์มีนโยบายให้ชาวบ้านทำตลาดเอง ไม่พยายามสร้างความสัมพันธ์อีกชั้นหนึ่ง พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคให้มากที่สุดสองคือ ภาวะแรงกดดันของเพื่อนบ้าน เพราะในหมู่บ้านมีคนทำเกษตรอินทรีย์ไม่เยอะ ชาวบ้านที่หันมาทำ จะถูกหาว่าเป็นบ้าหรือเปล่า คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น ทำเกษตรอินทรีย์จะไหวหรือ จะรอดไหมหนอ เกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์จะเจอแรงกดดันของเพื่อนบ้าน พวกบริษัทขายสารเคมีก็กดดัน เพราะเขาเข้ามาในหมู่บ้านพยายามขายสารเคมีให้ได้ บอกชาวบ้านว่าเกษตรอินทรีย์มันไปไม่ได้... ร้านขายสารเคมีอยู่ใกล้เขามาก ชาวบ้านจะไปหาได้เร็ว ถ้าเจ้าหน้าที่ส่งเสริมไม่เกาะติดพื้นที่ เราต้องใช้เวลา ส่งเสริมสารพัดวิธีให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าเกษตรอินทรีย์ไปได้มีทางรอด" แสงทิพย์ กล่าวแต่พี่ชีแนะยังมั่นอกมั่นใจว่าจะฝากชีวิตไว้กับไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ที่กำลังให้ผลผลิตสม่ำเสมอ พี่ชีแนะคิดว่าพืชผลจากเกษตรอินทรีย์จะอยู่รอดก็ด้วย"ถ้ามีชาวหมู่มาช่วยซื้อมากๆ ผมคงทำเรื่อยๆ คนซื้อ คนกิน คนขายถ้าไม่ช่วยกัน คนปลูกก็ได้รับผลกระทบ คนกินก็ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าใครก็ไม่รอด"และ "ที่สำคัญต้องทำในระดับนโยบาย ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ต้องแนะนำชาวบ้านหาทางออกด้วยการปลูกเกษตรอินทรีย์ แต่ตอนนี้ยังไม่ตื่นตัว ยังใส่ยา ใส่ปุ๋ยกันอยู่"000แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมสวนพี่ชีแนะ ได้สตรอเบอรี่ติดไม้ติดมือจำนวนมากแล้ว ตอนนี้ได้เวลาร่ำลากัน"เอาไว้มาเยี่ยมกันใหม่" พี่ชีแนะบอกกับคณะที่กำลังจะกลับ"ขอให้โชคดี ขอบคุณพี่มากสำหรับทางเลือกก้าวแรกๆ ที่จะทำให้สังคมได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย" ผมกล่าวในใจ ข่าวประชาไทที่เกี่ยวข้องรายงาน วัฒนเสวนา : เกษตรอินทรีย์ และธนาคารเมล็ดพันธุ์ ‘ของขวัญแห่งชีวิต', โดย ฐาปนา พึ่งละออ, ประชาไท, 3 พ.ค. 2550
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี ทั้งยังได้รับความนิยม...โดยเฉพาะจากหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาวมีบางครั้งที่ Geffen ต้องไปแสดงในเขตของชาวมุสลิม เขาบอกว่าแม้เขาจะไปในฐานะชาวอิสราเอล แต่ก็มีความเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวมุสลิม แม้จะระแวงในความปลอดภัยอยู่บ้าง แต่เขาคิดว่าเขาแยกออกระหว่างคนที่มาฟังเพลง กับพวกบ้าเลือดที่จ้องแต่จะเอาชีวิตคนจากเท่าที่ได้อ่านเนื้อหาเพลงต่าง ๆ ของ Aviv Geffen ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ (ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ) แล้ว พบว่าในแต่ละอัลบั้มเขาก็ไม่ได้มีแต่เรื่องของสังคมหรือการเมืองอย่างเดียว แต่มันมีเพลงรัก ๆ ใคร่ ๆ เรื่องความสัมพันธ์ ที่แฝงมุมมองแบบนักเสรีนิยมผู้เศร้าสร้อย ซึ่งน่าจะถูกใจวัยรุ่นยุคปัจจุบัน บ้างก็สะท้อนความแปลกแยก เบื่อหน่ายยุคสมัย ซึ่งมันคงตอบสนองความรู้สึกของหนุ่มสาวทั้งหลายได้เช่นเดียวกันถ้าให้พูดถึงรูปแบบทางดนตรี หลายเพลงของ Geffen แม้เขาจะร้องเป็นภาษาฮิบรู แต่สำเนียงดนตรีมันก็ชวนให้นึกถึงร็อคสีทึม ๆ ของ Roger Waters อย่างเสียมิได้ ยิ่งไม่ต้องบอกว่า เนื้อหาการเมืองจากผลงานยุคแรก ๆ ของ Aviv Geffen แม้จะสะท้อนภาพกว้าง ๆ ของความขัดแย้ง แต่ก็มีกลิ่นอายความโกรธขึง ประชดประชัน ของ Waters อยู่ไม่น้อยทีเดียวกระนั้นดนตรีของเขาก็ไม่ได้มีเพียงเงาทะมึน Roger Waters เท่านั้น บางเพลงก็เป็นเพลงป็อบหรือเพลงโฟล์คอารมณ์สบาย ๆ ขณะที่บางเพลงก็แฝงไปด้วยอิทธิพลของโปรเกรสซีฟร็อคสมัยใหม่ จนกระทั่งเมื่อความชื่นชอบส่วนตัวของ Geffen ที่มีต่อวง Porcupine Tree ทำให้เขาได้มารู้จักกับ Steve Wilson แล้วจึงได้ให้กำเนิดวงโปรเจกท์ที่ชื่อว่า Blackfield ขึ้นมาในที่สุดถึง Blackfield จะไม่ใช่วงที่วางแนวทางในเนื้อหาเอาไว้ชัดเจน แต่การฟอร์มวงนี้ก็ได้ช่วยให้เนื้อเพลงภาษาฮิบรูของเขาบางเพลงได้รับการแปลและดัดแปลงให้เป็นภาษาอังกฤษในนามของวง Blackfield เพลงหนึ่งของ Geffen ที่โด่งดังมากในประเทศคือ Achshav Meunan นั้นได้รับการแปล(ง) เป็นเพลง Cloudy Now ซึ่งมีซาวน์ที่เนียนขึ้นกว่าเดิม และเนื้อหาคงจะได้รับการเผยแพร่อย่าง กว้างขวางกว่าเก่า"ผมไม่ได้แยกดนตรีของผมออกจากข้อความที่ผมต้องการสื่อเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งเดียวกัน และข้อความของผมมันก็ง่าย ๆ คือ ทุกคนควรจะมีอิสระที่จะเลือกชีวิตตัวเอง นั่นล่ะ คือทุกอย่างที่ผมอยากบอก"There Are No Angels In Paradise"There are no angels in paradise,here there is only hell that allows only dreams thatthere are angels in paradiseBut there are no angelsAnd there is no paradise"- There are no angels in Paradise -จากที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า Aviv Geffen เป็นศิลปินผู้มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายซ้ายของอิสราเอล คือขบวนการสันติภาพ (Peace Camp) ซึ่งขบวนการนี้ได้เคลื่อนไหวทั้งด้วยการผลักดันการเมืองและการเชื่อมต่อกับพลเรือนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในนี้คือองค์กรเอกชนที่ชื่อ Peace Now ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเซ็นสัญญาข้อตกลง Oslo แต่ชาวอิสราเอลบางส่วนก็ได้วิจารณ์ในความโปร่งใสขององค์กรนี้เหมือนกัน เพราะรู้มาว่าองค์กรนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปขณะเดียวกันก็มีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ชื่อ Uri Avnery เกิดไม่พอใจในการทำงานของกลุ่ม Peace Now เลยได้ออกมาก่อตั้งกลุ่มของตัวเองที่ชื่อ Gush Shalom ซึ่งเป็นกลุ่มที่สุดแสนจัดจ้านและ Radical เอามาก ๆ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งจัดจ้านก็ทำให้พวกเขาแข็งกร้าวดี โดยเฉพาะในเรื่องการทวงสิทธิ์ให้ชาวปาเลสไตน์การกลับเข้ามาอาศัยในฉนวนกาซ่าและเขตเวสแบงค์อีกครั้ง ทั้งยังบอกอีกว่า การเข้ามาถือครองของอิสราเอลถือเป็นอาชญากรรมทางสงคราม (War Crime) เลยทีเดียวกลุ่มที่เป็นที่รู้จักอีกกลุ่มหนึ่งคือ National Census (มีอีกชื่อคือ พีเพิ้ลส์วอยซ์) ซึ่ง Sari Nusseibeh ผู้แทนฯ จากปาเลสไตน์ และ Ami Ayalon จากพรรคแรงงานอิสราเอล ร่วมกันตั้งขึ้นมา National Census ได้ร่างข้อตกลงซึ่งตั้งใจจะทำให้ทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ยอมรับได้โดยอาศัยตัวเนื้อหาที่มีลักษณะประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย ล่าสุดจากการล่ารายชื่อสนุบสนุนผ่านเว็บไซต์ มีตัวเลขผู้สนุบสนุนเป็นชาวอิสราเอลจำนวนกว่าสองแสนห้าหมื่นคน และชาวปาเลสไตน์อีกกว่าแสนหกหมื่นคนอย่างไรก็ดี นี่คือโลกที่ไม่มีใครเป็นเทวดาอันดีเลิศไร้ที่ติ ขบวนการเพื่อสันติภาพเหล่านี้ก็ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบจากหลาย ๆ ฝ่าย เรื่องหลัก ๆ ที่ Peace Camp ถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากขบวนการเพื่อสันติภาพในบ้านเราเลย อย่างเช่นเรื่องแนวคิดการขาดความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ การให้อภัยต่อความรุนแรงจากผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ แต่ไม่สนใจต่อสู้เพื่อสิทธิของคนอิสราเอลพวกซ้ายที่ออกไปในทางโปรปาเลสไตน์ วิจารณ์ข้อตกลงออสโลว่าเป็นแค่การหลอกชาวปาเลสไตน์และเป็นสัญญาลวงโลก ผู้ได้ประโยชน์คือกลุ่มทุนไซออนนิสท์เท่านั้น ขณะเดียวกันฝ่ายขวาเองก็เห็นว่าสนธิสัญญานี้เป็นเพียง "ม้าไม้โทรจัน" ในการช่วยลำเลียงกลุ่มก่อการร้ายให้เข้ามาปฏิบัติการได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเองส่วนพวกฝ่ายซ้ายโปรอิสราเอลก็วิจารณ์ขบวนการณ์เพื่อสันติภาพไว้หลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องของการพยายามสร้างภาพลบให้กับทหารรักษาความปลอดภัยมากเกินไป การทำให้ชาวยิวรู้สึกเกลียด (ความเป็นยิวใน) ตัวเอง มุ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากเกินไปทำให้ขาดฐานคิดทางสังคมและเศรษฐกิจ ไม่สามารถจูงใจฝ่ายที่สนับสนุนอิสราเอลได้เพราะขาดการใส่ใจในฝ่ายที่โปรอิสราเอลนักปฏิบัตินิยมทั้งหลายก็มองคล้าย ๆ กันในเรื่องของการไม่ใส่ใจพื้นฐานทางเศรษฐกิจและความมั่นคง (ของคนระดับล่างจริง ๆ คนละอย่างกับ "ความมั่นคง" ในรัฐธรรมนูญของประเทศเรา) การไร้ผลในทางปฏิบัติของข้อตกลงออสโล และคิดว่ามันอันตรายเกินไปหากขบวนการมัวแต่ไปเอาใจฝ่ายปาเลสไตน์ (ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์คงไม่พ้นพวกชนชั้นนำ)คำวิพากษ์วิจารณ์นี้บางส่วนมันก็ชวนให้นึกย้อนกลับมามองขบวนการสันติภาพในบ้านเราอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องในทางปฏิบัตินิยมและมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ละเลยไปแต่ขณะที่บางคนอาจวิพากษ์วิจารณ์บางกลุ่มว่าไม่ออกมาพูดเพื่อผู้บริสุทธิ์ (บริสุทธิ์จริงหรือเปล่า?) ที่ถูกทำร้ายบ้าง ผมอยากขอแสดงความเห็นเสียหน่อยว่าเรื่องพวกนี้ถูกสื่อกระแสหลักเล่นข่าวกันเยอะ และเล่นไปในด้านเดียวจนเละเทะไปหมดแล้ว มันเปล่าประโยชน์ที่จะลงไปร่วมซ้ำเติมด้วยผมเองก็ยังเป็นปุถุชนที่ยังมีความหวาดระแวง ผมกริ่งเกรงเรื่องความไม่มั่นคงในชีวิตของคนที่บริสุทธิ์จริง แต่การจะเคลื่อนคล้อยไปกับ Majority ที่กุมวาทกรรมหลักของสังคมไว้อยู่แล้วนั้นมันฟังดูน่ากลัว และชวนให้หวาดระแวงไม่แพ้กัน 
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)    ไพ่ใบแรกของคุณสัปดาห์นี้  9 เหรียญค่ะ ไพ่ใบนี้หมายถึงการเงินที่สมบูรณ์ ทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการทำงานหนัก ความร่ำรวยรุ่งเรือง แต่บางครั้งไพ่ใบนี้หมายถึงความสมหวังทางวัตถุ แต่อาจแฝงความโดดเดี่ยวอยู่เงียบๆ อีกนัยหนึ่งหมายถึงคุณกำลังต้องการเวลาพักเพื่อผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก และเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เป็นความปรารถนาในเบื้องลึกของคุณค่ะความรัก ความสัมพันธ์   5 ดาบ หมายเลขห้านั้น มักเกี่ยวพันกับความแตกแยก การหย่าร้าง การทะเลาะที่ลงเอยด้วยการหันหลังจากกัน ไพ่ใบนี้อาจหมายถึงสถานการณ์ที่ทำให้คุณหงุดหงิด เจ็บปวด คับแค้นใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เป็นความสัมพันธ์ในสภาวะจำยอมค่ะสถานการณ์การเงิน 8 ถ้วย มีเรื่องให้คุณผิดหวังพอสมควร อาจเป็นโอกาสหรือข่าวดีที่ไม่เป็นไปดังหวัง บางคนมีเหตุให้ใช้จ่ายเงินแบบไม่เต็มใจ หรือเสียเงินกับสิ่งที่อำนวยความสะดวกซึ่งไม่เป็นตามที่คาดอีกต่างหากธุรกิจ การงาน  มหาดเล็กเหรียญ มีโอกาสดีทางการงาน อาจได้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ช่วยอายุยังน้อย จะเป็นกำลังสำคัญทีเดียว มีไอเดียดีๆ ผ่านเข้ามาค่ะคำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ราชินีเหรียญ เงินทองของบาดใจ การจัดการเรื่องนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ขอให้คุณทำสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบค่ะคำแนะนำจากไพ่ 9 ดาบ ความวิตกกังวลนั้น คนเราก็มีด้วยกันทุกคน เพราะคงไม่มีใครเกิดจนถึงตาย ไม่เคยมีปัญหาชีวิต หรือเรื่องคับข้องหมองใจ แต่ทำอย่างไร จะแปรวิกฤติเป็นโอกาส หรือเปลี่ยนทัศนคติด้านลบให้กลายเป็นบวก หรือประคับประคองตัวเองสู้ปัญหาด้วยจิตใจที่สงบนิ่งให้ได้ ขอให้คุณมองใจตัวเองที่ “ตก” บ่อยๆ ในช่วงนี้ค่ะ
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "บนถนนหนทางซุปเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจรท่องไปตามฝัน ฝันของเจ้าดูเลิศล้ำลาวัณย์ฝันเจ้าฝันว่าโลกพิสุทธิ์เมลืองมลัง..."สาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณกำลังก้มๆ เงยๆ หยอดเมล็ดแตงโมกันอย่างสนุกสนาน สายฝนหลงฤดูทิ้งความร่าเริงไว้ตั้งแต่หัวไร่ถึงปลายนา ดอกโสนเหลืองไสวจนน่าเก็บไปชุบไข่ทอดกินกับน้ำพริกปลาทูฝนยังทำให้ตลาดสดแจ่มใสเป็นพิเศษ ด้วยหลากสีสันสดชื่นของผักและผลไม้ ปลากระโดดโผงผางอยู่ในกะละมัง เห็ดหลากสีวางกองในกระจาด มีกบมัดเป็นพวงวางขายหลายเจ้า คงจะมากับฝนคืนก่อน พ่อค้าแม่ขายที่คุ้นหน้าพากันทักฉันเกรียวกราว บางคนที่ค่อนข้างสนิทสนมแกล้งแซวว่า "อ้าว ยังอยู่เหรอเนี่ย"ตรงไปแผงไก่เจ้าประจำ สั่งให้สับโครงไก่อย่างเคย แม่ค้าคว้าอีโต้พลางถามว่า"พี่ไม่มาหลายวัน ลูกสมุนกินอะไรกันล่ะจ๊ะ" "กินลมชมวิว" ฉันยักคิ้วตอบแบบไม่กลัวอีโต้ที่กำลังสับไก่ดังโป๊กๆ......"ซื้อไข่ไก่ไข่เป็ดดีจ๊า" แม่ค้าไข่ส่งเสียงหวาน"ไข่ไก่สิจ๊า" ฉันล้อเลียน แล้วหยุดยืนพิจารณาไข่ไก่สดในกระจาดที่ติดป้ายไว้หลายราคา "อ้าว สิบฟองยี่สิบแปดบาท ขึ้นเป็นสามสิบแล้วเหรอ" ฉันจิ้มที่ป้าย"ขึ้นแล้วจ้ะ ฉลองรัฐบาลใหม่" แม่ค้ายิ้มแจ่มใส ไม่รู้ตอบจริงใจหรือประชด"งั้นเอาแค่ห้าฟอง""แหม ทุกทีซื้อสิบ" เธอค้อนควักขณะหยิบไข่"ไว้อาลัยรัฐบาลเก่า" ฉันแกล้งว่า.........แม่ค้าปลาทูส่งยิ้มแต้มาแต่ไกล "พี่ วันนี้ซื้อปลาทูหนูไหม เข่งนี้สิบ นี่ยี่บห้า นี่สามสิบ ตัวโต๊โต"อืม ตัวโตจริงๆ ด้วย นึกถึงแมวๆ บ้านสี่ขา ไม่เคยมีวาสนาได้กินปลาทูเข่งละสามสิบ"ทำไมเข่งนั้นไม่เหมือนเข่งนี้คะ ปลาทูเหมือนกันหรือเปล่า" ฉันอดถามไม่ได้"มันคนละทะเลพี่ ตัวเล็กนี่ปลาทูไทย ตัวใหญ่นี่ปลาทูอินโด""แล้วทะเลไหนอร่อยกว่า" "แหม มันก็แล้วแต่รสนิยม" ฟังค่ะ ฟังสำนวนสาวแม่กลอง"เอ้า งั้นรสนิยมน้องเป็นไง" ฉันซักอย่างสนุก"ถามหนู หนูก็ว่าปลาทูไทย ไม่รู้สิ ของใคร ใครก็ต้องว่าดี แต่บางคนเขาไม่สนหรอก อร่อยไม่อร่อย เขาว่าตัวโตต้องดีกว่าเพราะเนื้อเยอะกว่า แต่บางคนก็ไม่สนเหมือนกัน อะไรๆ ก็ขอให้ถูกๆ ไว้ก่อน"เธอคงอยากบอกว่า สำหรับบางคน ปริมาณสำคัญกว่าคุณภาพ"คนมันไม่เหมือนกันเนอะพี่ บางคนกินเพื่ออยู่ บางคนอยู่เพื่อกิน"ปรัชญาแม่ค้าถูกใจ ฉันเลยอุดหนุนปลาทูไทยไปสองเข่ง.......เดินผ่านแผงกับข้าวปรุงสำเร็จ พ่อค้าหนุ่มกำลังทอดปลาอยู่ในกระทะใบใหญ่เสียงดังฉี่ฉ่า ปากก็เรียกลูกค้าแบบไม่ขาดตอน"กินอะไรครับ กินอะไรดี แวะก่อนพี่ มีแกงเขียวหวานลูกชิ้น ยำเห็ด ต้มจืดมะระซี่โครงหมูเอามั้ยครับ ถุงสิบบาท เอาซักถุงน่า ดีกว่าไปแกงเอง สิบบาทซื้อมะระก็หมดแล้ว ยังไม่ได้ซี่โครงหมูสักท่อน ค่าน้ำปลาค่าแก๊สอีก ทำเองไม่คุ้มหรอกเชื่อผม"ฉันเชื่อหลักเศรษฐศาสตร์ของพ่อค้า เลยได้ผัดหน่อไม้กับแกงจืดมะระมาอย่างละถุง ตั้งใจเดินกลับไปแผงขายไก่ ยังไม่ทันถึงก็โดนสกัดเสียก่อน"พี่ พี่แต่งงานยัง"ฉันสะดุ้ง คิดว่าหูฝาดที่ได้ยินคนถามถึงสถานภาพกลางตลาดสด"พี่ยังไม่แต่งงานใช่ป่ะ" ชัดเลยคราวนี้ เสียงมาจากแผงขายของชำจำพวกของแห้ง กะปิ น้ำปลา ผงซักฟอก ฉันเดินยิ้ม (แบบงงๆ) เข้าไปหาแม่ค้าวัยรุ่น"ถามทำไมเนี่ย" "พี่ตอบหนูก่อน พี่ยังไม่แต่งใช่มั้ยล่ะ""เออ ใช่""นั่นไง หนูว่าแล้ว พี่ยังโสดแหงๆ" เธอตบเข่าฉาด "ทำไม หน้าพี่มันใสเด้งหรือโทรมดูไม่ได้" ฉันถามแบบเผื่อใจไว้ทั้งร้ายและดี"ไม่รู้สิ หนูใช้สัญชาติญาณ นั่งนานๆ มันเซ็งต้องหาอะไรเล่นสนุกๆ หนูทายถูกว่าใครโสดไม่โสดมาเกือบสิบคนแล้วนะจะบอกให้" ฉันเดินยิ้มค้างไปถึงแผงขายไก่ เสน่ห์ตลาดสดช่วยลดไข้ใจได้ชะงัดนัก นึกถึงตลาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้า ที่ชีวิตชีวาหายไปกับเครื่องปรับอากาศและเครื่องคิดเงิน ใครหลายคนอาจถูกใจความสะอาด สะดวก และสบาย แต่ฉันยังรักตลาดสดที่เฉอะแฉะ วุ่นวาย มากมายการเจรจา เผลอๆ แม่ค้ายังแถมปรัชญาใส่ตะกร้ากลับบ้านให้ด้วย...."ไม่ซื้อไก่สักไม้เรอะหนู" เสียงทักของป้าหน้าตะแกรงย่างไก่ที่กำลังควันคลุ้ง ส่งกลิ่นหอมเกรียมๆ ฟุ้งไปรอบบริเวณ"แหม มันแด๊งแดงจังเลยค่ะป้า" ฉันชะโงกดูไก่ย่างเสียบไม้ที่ย้อมสีจนแดงสด"เอ๊า ไม่แดงได้ไง ก็ไก่มันใส่สี แต่ป้าใช้สีผสมอาหารนะ""แล้วทำไมถึงต้องใส่สีแดงคะ""เอ๊า" ป้าร้องอีก "ไม่แดงเขาก็ไม่กินกัน เขาว่ามันไม่สวย ไม่สด""อ้าว" ฉันร้องบ้าง "เนื้อไก่จริงๆ มันก็ไม่ได้สีแดงสดสักหน่อย""ก็นั่นแล้ะ..." ป้าเน้นเสียง "นั่นแหละ คนมันชอบอะไรจริงๆ ที่ไหน มันชอบอะไรปลอมๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่ามันดีไงล่ะ""ป้าคงไม่ว่าอะไรนะถ้าหนูไม่ซื้อ หนูไม่ชอบไก่สีแดง""จะว่าอาไร้ ต่างคนต่างใจ กระเพาะใครกระเพาะมัน"ไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว ว่าแม่ค้าแถวนี้เขามีปรัชญา.......แล้วฉันก็หอบโครงไก่ ไข่ ปลาทู ผัก และของจิปาถะ พร้อมปรัชญาอีก ๒-๓ บทขี่รถกลับบ้าน รถเก่ายังส่งเสียงโกร่งกร่าง ในขณะที่ฉันรู้สึกว่ากายและใจเข้าที่เข้าทางกว่าเดิม

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม