Skip to main content

ใครว่าสาวบริการทางเพศนั้นไม่มีสิทธิ “เลือก” ลูกค้า ทว่าเป็นแค่ “วัตถุ” ที่รอให้ผู้ชายมาหยิบไป “เสพสม” ใครว่าสาวไม่มีทางเลือกในการทำให้ตัวเองปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ลูกค้าเหนือกว่า ทั้งโดยความเป็น “ชาย” และความเป็น “ผู้ซื้อ”

จากการไปเข้าๆ ออกๆ ซ่องที่หลวงพระบาง เพื่อไปพูดคุยกับสาวประมาณ ๓๐ กว่าคน เมื่อเกือบสิบปีก่อน ทำให้ผู้เขียนรู้ว่าไม่มีสาวคนไหนอยากจะขายเซ็กซ์แบบ “ไร้อารมณ์” หรือพูดง่ายๆ ไม่อยากขายเซ็กซ์ในฐานะ “สิ่งของ” ทว่าพวกนางอยากให้มันมี “อารมณ์/ความรื่นรมย์” ในชีวิตทั้งนั้น

พวกนางอยากไปกับลูกค้าที่นางชอบและดึงดูดความสนใจ หลายนางต่างก็มีวิธีการ “เลือก” ลูกค้าที่ตัวเองจะไปด้วย และมีกลวิธีหลบหลีก ไม่นอนกับลูกค้าที่นางไม่ชอบ หรือถ้าตกลงนอนก็ต้องให้เขาดื่มจัดๆ จะได้หมดสติ หรือไม่ก็ทำเป็นป่วยหรือเป็นเมนส์จะได้ไม่ต้อง “โดนเอา” เยอะ

การต่อรองระหว่าง “การค้า” กับ “อารมณ์” ของสาวขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาของสาว เช่น มีสาวขายบริการทางโทรศัพท์ (สาวบ้าน) นางหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “เห็นแขกแก้เครื่อง (แก้ผ้า) เฮาเห็น “ของ” ใหญ่ ก็คืนเงิน (เพราะ) เคยโดนของใหญ่แล้ว เจ็บมว๊ากกกก เลือดออก บ่คุ้ม” บางคนเจอ “ของใหญ่” ก็ตะล่อมให้ลูกค้าเข้าห้องน้ำ แล้วอาศัยจังหวะนั้น “ล๊อคขังเพิน(ลูกค้า) เพินออกจากห้องน้ำบ่ได้ แล้วเฮาก็แล่นหนีออกไปโลด” (อิอิ) ...ลูกค้าตามมาด่าที่ร้านก็ช่างเถาะ”

สาวร้านกินดื่มเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมลูกค้าต่างชาติ เช่น คนจีน เมื่อมาใช้บริการก็มา “เอา” อย่างเดียว ไม่พูดไม่จา ส่วนลูกค้าที่เป็นคนลาวยังคุยกับสาวบ้าง สาวส่วนใหญ่จะชอบคนแก่ เพราะไม่ค่อยมีแรง “เอา” ไม่ต้องร่วมเพศหลายครั้งต่อคืน และเขาก็มีเงิน

สำหรับลูกค้าต่างชาติสาวจะรับลูกค้าที่ร้าน ไม่(กล้า)ออกไปข้างนอกเพราะ “ย่าน” (กลัว) นั่นคือว่าการออกไปข้างนอก จะทำให้สาวหมดอำนาจการต่อรองมากยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือ สาวเล่าให้ฟังว่าถ้าถามลูกค้าว่า “มีลูก มีเมียบ่” ผู้ชายจะอายไม่ค่อยกล้าบอก ราวกับว่าการมาใช้บริการสาวเป็นความผิด

ลูกค้าส่วนใหญ่ของสาวร้านกินดื่ม เป็นคนลาว อาชีพที่ทำคือข้าราชการ รองลงมาคือ พ่อค้า คนขับรถรับจ้างเช่นสามล้อ ตุ๊กๆ (ตามลำดับ) บางร้านก็มักมีลูกค้าต่างแขวง (จังหวัด) มากกว่าลูกค้าในแขวงหลวงพระบาง  รองลงมาคือลูกค้าต่างชาติ เช่น จีน เวียดนาม และไทย อายุลูกค้าก็มีทั้งคนหนุ่มและคนแก่ วันที่ผู้เขียนไปนั่งคุยกับสาวที่ร้านฯ บังเอิญพบลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย อายุไม่น่าจะเกิน 20 บ้านเกิดอยู่ต่างแขวง (จังหวัด) แต่มาเรียนหนังสือที่แขวงหลวงพระบาง  ราคาค่าบริการ (เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน) ชั่วคราว 500 บาท ค้างคืน 1,000 – 3,000 บาท แต่ก็ไม่แน่นอนนัก บางครั้งค้างคืนก็ได้ 500 บาท เพราะลูกค้าของสาวมีน้อย ไม่สม่ำเสมอ บางวันสาวไม่มีลูกค้าเลย

ส่วนสาวบ้าน วิธีการหาลูกค้าของนาง คือการจัดทำแคตาลอคภาพถ่ายของพวกนาง แล้วเอาไปให้ยามและพนักงานต้อนรับตามโรงแรมระดับ ๓ ดาวขึ้นไป ไว้เพื่อให้เชียร์แขกให้ใช้บริการ และจะแบ่งจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ยามหรือพนักงานต้อนรับฯ ค่าบริการ (เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน) แพงกว่าสาวร้านกินดื่ม คือ  ชั่วคราว 1,000 บาท ครึ่งคืน 3,000 – 4,000 บาท ทั้งคืน 5,000 บาท

สาวๆ เกือบทั้งหมดมีแฟน หากไม่มีแฟนก็มีลูกค้าประจำ

พวกเราหลายคนคงคิดว่าชีวิตของสาวบริการฯ นั้น มีมิติเดียว คือเรื่องเงิน ขายเซ็กซ์ก็เพื่อเงิน แต่ให้ตายเหอะโรบิ้น...ชีวิตของคนมันมีหลากหลายมิติ ไม่ใช่แค่ขายตัวเพื่อเงินมิติเดียวซะเมื่อไร บนอาชีพดังกล่าว พวกเขายังสามารถหาโอกาสอื่นๆ ที่จะเป็นไปได้เพื่อเติมเต็ม “ความเป็นคน” ที่ตัวเองนิยาม (เช่น เป็นแฟน เป็นคนรัก กระทั้งเป็นเมียของชายคนหนึ่ง)

ภายใต้การเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคม จากความสัมพันธ์ “ชั่วคราวในคืนหลอกลวง เป็นรักแท้” นั้นคือ ความต้องการทางเพศในระยะสั้น ที่ต่อมาอาจพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวได้ (คือเปลี่ยนความสัมพันธ์จากลูกค้ามาเป็นแฟน และเมีย)

ดังนั้นสาวแทบทุกคนจึงมีแฟน หากไม่มีแฟนก็มีลูกค้าประจำ เช่น ผู้เขียนถามนางสั้น (นามสมมติ) สาวร้านกินดื่ม ว่า “มีแฟนบ่” นางบอกว่า “บ่ซ่างเว่า” (ไม่อยากบอก) แต่ต่อมาก็บอกว่ามีลูกค้าประจำ “ข้าเจ้าอยู่สะหวันนะเขต ข้าเจ้ามาหาบ่อยๆ ถ้าค้าขาย ข้าเจ้าก็จะมาหา” เป็นปีๆ แล้ว มาหาก็มักจะเอาของมาฝาก เอาเงินมาให้ใช้

สาวบ้าน (สาวบริการฯ ทางโทรศัพท์) ที่ผู้เขียนคุยด้วย ๒ คน มีแฟนคอยเลี้ยงดูอยู่ด้วย แฟนไม่อยากให้ไปขายบริการฯ นางก็พยายามเชื่อฟังแฟน แต่บางคนก็ “แอบ” ไปรับลูกค้าโดยที่แฟนไม่รู้บ้าง

หากมองมุมใหม่ พวกนางไม่ใช่เพียงแค่ “เหยื่อ” ของการกระบวนการการทำให้เพศสัมพันธ์เป็นสินค้า ทว่าโดยกลยุทธ์และประสบการณ์ในอาชีพนี้ นางเป็น agency ที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองได้เลย เช่น บางคนเล่าว่าเพื่อนของนางได้ผัวเป็นตัวเป็นตน รับไปเลี้ยงดูและออกจากอาชีพสาวบริการฯ

ดังนั้น “ซ่อง” ก็อาจจะเป็น “พื้นที่ของการนิยามความสัมพันธ์ทางเพศใหม่” ซึ่งขึ้นอยู่ว่าเขามีความสัมพันธ์กับใคร และความสัมพันธ์นั้นได้ถูกนิยามความหมายใหม่จากลูกค้า ลูกค้าประจำ มาเป็นแฟนหรือไม่

ซึ่งสาวก็เป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง ที่ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างแฟนกับลูกค้า

ความแตกต่างระหว่างลูกค้ากับแฟน ดูได้ผ่านการใช้ถุงยางฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรังเกียจ-ไม่รังเกียจ ไว้ใจกัน-ไม่ไว้ใจกัน ความเป็นอื่น-ความเป็นของกันและกัน

สำหรับลูกค้า สาวทุกคนต้องการใช้ถุงยางฯ เพราะว่า “ย่านพยาธิติดแปด” (กลัวติดโรคติดต่อ)เห็นเพื่อนติดแปดแล้วเจ็บ เลย “ย่าน” (กลัว) และสาวๆ ก็มักไม่ใช้ยาคุมกำเนิด ดังนั้นสาวจึงกลัวว่าตัวเองจะท้อง

ดังนั้น สำหรับลูกค้าแล้ว สาวส่วนใหญ่ให้ลูกค้าใส่ถุงยางฯ ตลอด แต่บางครั้งก็ไม่ได้ใช้ถุงยางฯ เช่น เพราะ ลูกค้า “ลัก” ถอดออก หรือลูกค้าบางคนบอกว่า “กูมาสี่...(ห สระ อี) ไม่ได้มาสี่ถุงยางฯ” เป็นต้น

 เรื่องแบบนี้ สาว ซึ่งอยู่บนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ชาย-ผู้หญิง ที่ดูเหมือนเป็น “รอง” ก็ยังมีกลวิธีต่างๆ ในการให้ลูกค้าใส่ถุงยางฯ หรือ “หลบเลี่ยง” เวลาที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงยางฯ เช่น การตกลงกับลูกค้าก่อนออกจากร้านว่าถ้าไม่ใส่ถุงยางฯ ก็จะไม่ไปนอนด้วย การตกลงด้วยวาจา มีทั้งการให้เหตุผลต่อลูกค้าว่า ลูกค้ามีลูกมีเมียแล้ว ควรกลัวเอาโรคไปติดเมีย

หรือที่สาวนางหนึ่งกล่าวว่า ก็ “ตั๋ว” (โกหก) ลูกค้าต่างๆ นานา เพื่อให้ลูกค้ากลัวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลูกค้าบางคนโดนเราตั๋ว ก็ “โ..ยอ่อน” ไปแลย (อิอิ)

บางทีการพูดด้วยวาจาให้เห็นภาพโรคติดต่อฯ ก็ไม่ได้ผล(ว่ะ) สาวเล่าว่า ลูกค้าบางคนบอกว่า “บ่ย่านเป็นโรค...ยอมตายย่อนเจ้า” (ไม่กลัวเป็นโรค ยอมตายเพราะเธอ)

อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ มีโครงการขององค์กรพัฒนาภาคเอกชนระหว่างประเทศองค์กรหนึ่งมาสอนวิธีให้สาวต่อรองกับลูกค้า เพื่อหาทางเลือกในกรณีที่ลูกค้าไม่ใส่ถุงยางฯ หลังจากที่ต่อรองด้วยการบอกกล่าวลูกค้าแล้วไม่ได้ผล ควรใช้การกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชายด้วยการเลียหลังใบหู คอ หัวนม หัวแม่มือ ข้อแขน ปลายอวัยวะเพศ อัณฑะ ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าหายขุ่นเคืองใจ หลังจากนั้นใช้ปากกับอวัยวะเพศ เลีย อม ดูด เบาๆ ผู้ชายส่วนมากจะชอบ แล้วใส่ถุงยางฯ ทางปากให้ลูกค้า

หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้มือช่วย ใช้มือคลึงลูกอัณฑะ จากนั้นชักอวัยวะเพศรูดขึ้นลง อย่าให้แรง ลูกค้าจะเจ็บ แล้วจึงใส่ถุงยางฯ ให้ลูกค้า หรือการช่วยเหลือให้ลูกค้าหลั่งภายนอก เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ร่องนม หรือการชักอวัยวะเพศให้ลูกค้า เป็นต้น

วิธีการนี้ฟังดูเหมือนว่าจะเวิร์ค แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยเวิร์ค (ว่ะ) เพราะสาว “ขี้เดียด” (รังเกียจ) ที่จะเอามือจับอวัยวะเพศของลูกค้า แม้แต่การหอมแก้มก็เป็นเรื่องน่าขี้เดียด

เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว ผู้เขียนต๊กกะใจหมดเลย  เพราะตอนแรกนึกว่าการที่สาวบริการทางเพศจับอวัยวะเพศ หรือจูบปากลูกค้านั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่มันกลับไม่ใช่แฮะ แม้แต่กับแพทย์ สาวที่เป็นพยาธิติดแปดก็ไม่กล้าไปพบแพทย์ด้วยเหตุผลว่าอายแพทย์ “...อายแท้ ย่านแพทย์เห็น” พวกหล่อนมักซื้อยาชุดมากินและใช้ยาสอดช่องคลอด บางครั้งก็กินยาพื้นเมือง ก็หาย

กับแฟน เกือบจะร้อยทั้งร้อยจะไม่มีการใช้ถุงยางฯ

บางคนก็บอกว่าไม่ต้องใช้ถุงยางฯ กับแฟนตัวเองก็ได้ แต่สาวบางคนบอกว่าจริงๆ แล้วอยากให้แฟนใส่ เพราะกลัวท้องและกลัวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะรักกัน เชื่อใจกัน หากบอกให้แฟนใส่ แฟนจะมองว่าเรารังเกียจแฟน

และเพราะแฟน “จอบยาก” (บอกยาก) สาวรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงเหมือนกันเพราะแฟนชอบไปกินเหล้าแล้วเที่ยวสาวบริการ บางคน แฟนให้เหตุผลที่ไม่ใส่ถุงยางฯ ว่า “บ่เสียว บ่คัก

ถุงยางฯ ในความหมายนี้จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือของการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือความปลอดภัยทางเพศและการควบคุมการตั้งครรภ์ ทว่าคือ “สัญลักษณ์” ของความไม่รัก ไม่ไว้ความไว้วางใจกัน

ส่วนสาวบ้าน ที่ดูมีอำนาจต่อรองมากกว่าสาวร้าน ก็ไม่ได้ใช้ถุงยางฯ สาวบอกว่า “เอากันบ่อย เมื่อยใส่

สรุปว่า ถุงยางฯ สำหรับสาวคือ “เส้นแบ่ง” ระหว่าง “ความเป็นลูกค้า” กับ “ความเป็นแฟน” และความเป็น “คนอื่น” กับ “คนรัก”

ดังนั้นบนความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน (ระหว่างความเป็นลูกค้าและความเป็นแฟน) ทำให้ความหมายของถุงยางฯ เปลี่ยนไป

และการไม่ใช้ถุงยางฯ สำหรับสาวๆ แล้ว อีกนัยหนึ่งคือการเติมเต็ม “ความหมาย” ของชีวิตที่พวกนางได้นิยามเอง นั่นคือ “การยอมรับบทบาทใหม่ของความเป็นแฟน” แม้ว่าจะเสี่ยงต่อโรคติดต่อร้ายแรง และการท้องไม่พร้อม ก็ตาม...

...และแล้วการรื้อความหมายเดิม และสร้างความหมายใหม่ของถุงยางฯ จึงเป็นเรื่องที่ยากนะ สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ แถวนี้

เก๋ อัจฉริยา ชูวงศ์เลิศ

บล็อกของ เก๋ อัจฉริยา

เก๋ อัจฉริยา
อาจจะจริงที่ใครหลายคนพูดว่าการติดคุกโดยไม่ขอประกันตัวและการอดอาหารของ “ไผ่ ดาวดิน” (เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม จากคดีแจกเอกสารไม่แสดงความเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญในตลาดอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ) ไม่มีพลังในเชิง “ยุทธศาสตร์” แม้ว่ามันคือความพยายามของสันติวิธีในการการปลุกกระแสเรื่องสิ
เก๋ อัจฉริยา
อยากให้ทุกคนดูตารางข้างล่างนี้ เมื่อวานฉันไปลุ้นผลการนับคะแนนและจดตัวเลขนี้มากับมือ
เก๋ อัจฉริยา
ห่านามนิง ชายร่างเล็ก อายุ 74 ปี อาจารย์สอนภาษาไทเมืองคองของผู้เขียน เป็นอดีตครูโรงเรียนมัธยม หัวหน้างานการศึกษาอำเภอบาเทื๊อก และรองประธานคณะกรรมการบริหาร (ตามลำดับ) ปัจจุบันเป็นครูสอนภาษาไทแทงหวาและนักวิจัยอิสระ ห่านามนิงเล่า[1] ให้ผู้เขียนฟังเกี่ยวกับเ
เก๋ อัจฉริยา
ภาพข้างล่างนี้เป็นการทานอาหารมื้อแรกของฉันในรอบ 2 ปี ที่พร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนในครอบครัวไทขาว อำเภอมายโจว (เมืองมุน) จังหวัดฮว่าบิ่ง ที่ฉันเคยไปอาศัยอยู่หลายเดือน ในทุกปี ตั้งแต่ทำปริญญาเอก ในปี 2008  (จริงๆ ทำปริญญาเอกและมาที่มายโจวแล้วแต่ปี 2007 เพียงแต่อยู่บ้านอื่น) ยกเว้นปี 2015 จนถึงป
เก๋ อัจฉริยา
ปกติเมื่อฉันมาถึงฮานอย ฉันก็ใช้บริการแท๊กซี่สนามบินนอยไบ เท่าที่ฉันสังเกต แท๊กซี่ส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าฉันพูดภาษาเวียดนามได้ ก็ชอบคุยโน่นนี่นั่นกับฉัน พี่แท๊กซี่คนนี้ก็เหมือนกัน พี่แกเป็นผู้ชาย อายุน่าจะประมาณ 40 กว่าๆ เมื่อพี่แกเห็นฉันพูดภาษาเวียดกะแก แกถามว่าฉันเป็นคนช่าติอะไร พอบอกว่าไทย แกหันมา
เก๋ อัจฉริยา
วันที่ 18 มิถุนายน 2558 หลังจากที่เถ่ยซาว (อาจารย์ซาว) หย่อนลุงนิง (ห่านามนิง) และผู้เขียนไว้ที่โรงแรมที่ตัวอำเภอเถื่องซวนเมื่อเย็นวาน เช้าวันต่อมาเราจึงต้องไปวิจัยกับเครือข่ายใหม่ แต่ขอออกนอกเรื่องเพื่อขอบันทึกเกี่ยวกับความไฝ่รู้ของห่านามนิงสักหน่อย
เก๋ อัจฉริยา
มาเถื่องซวนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 17-19 มิถุนายน 2558 ผู้เขียนนัดกันไว้กับลุงนิงหรือห่านามนิงว่าจะไปเถื่องซวนด้วยกัน เพราะแกได้ทุนและร่วมทำวิจัยกับทางมหาวิทยาลัยห่งดึ๊ก (ĐH Hồng Đức) มหาวิทยาลัยประจำจังหวัดแทงฮว๋า เกี่ยวกับคนไทเสาะ (Thaí Gịo) ซึ่งมีอยู่มากในอำเภอเถื่องซวน (Thường Xuân) เดิมท
เก๋ อัจฉริยา
วันที่ 12 มิถุนายน 2558 ผู้เขียนซึ่งกำลังเก็บข้อมูลเพื่อทำวิจัยไทแดงได้กลับไปที่อำเภอบาเทื๊อก จังหวัดแทงฮว๋าอีกครั้ง ครั้งนี้ได้นัดหมายกับห่านามนิง (อดีตครูมัธยม หัวหน้าแผนการศึกษา และรองประธานคณะกรรมการประชาชนอำเภอบาเทื๊อก) และห่ากงโหม่ว (อดีตเจ้าหน้าที่อำเภอบาเทื๊อก) ผู้ซึ่งเป็นครูผู้สอนภาษาไทแ
เก๋ อัจฉริยา
จากบทความเรื่อง “มหาวิทยาลัยที่ไม่มีนิสิต: กรณีนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวของ ม.นเรศวร” ตามลิ้งค์นี้ http://www.prachatai.com/journal/2015/05/59557  ซึ่งบทความดังกล่าวนั้น กล่าวถึงนโยบาย Green University ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อส่งเ
เก๋ อัจฉริยา
แม้จากประมาณการตัวเลขจากกรมปศุสัตว์พบว่ามีวัวเนื้อที่เกษตรกรไทยขุนเพื่อส่งออกในนาม “วัวไทย” ประมาณ 6 ล้านตัว แต่เชื่อหรือไม่ว่า วัวที่เอามาขุนจำนวนมากมายเหลือประมาณนั้นถูกนำเข้ามาจากประเทศพม่า แต่ละสัปดาห์ มีวัวประมาณ 3,000 – 5,000 ตัว หรือเดือนหนึ่งๆ ก็มีประมาณ 12,000 - 20,000 ตัว ได้ถูกนำข้ามแด