Skip to main content
                       
 
   มาตีความภาษาอำมาตย์กันเถอะ
 
 
1.ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
 
ภาษาอำมาตย์
 
การทำการเมืองไทยให้ใสสะอาด เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในอนาคต
 
การตีความ 
 
การทำอย่างไรก็ได้เพื่อล้างอิทธิพลของทักษิณให้หมดจากการเมืองไทยและสถาปนาไทยให้เป็นประชาธิปไตยแบบเปลือกไปตลอดกาล
 
 
 
2.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอาจตั้งน้องชายให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก
 
ภาษาอำมาตย์
 
2.1 เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ
 
2.2 แต่งตั้งตามความเหมาะสมหรือความสามารถของตัวบุคคล
 
2.3 บังเอิญว่ามีนามสกุลจันทร์โอชาเหมือนกันและตระกูลนี้ก็มีเลือดทหารเต็มร้อย
 
การตีความ
 
เป็นการเล่นพรรคเล่นพวกเหมือนกับสภาผัวเมียในอดีตโดยหวังว่าสายเลือดจะทำให้ผบ.ทบ.คนใหม่นั้นซื่อสัตย์ต่อนายกรัฐมนตรีมากกว่าคนอื่นซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะไว้ใจได้หรือไม่ในระยะยาว
 
 
 
3.การซื้อเรือดำน้ำจากจีนมูลค่า 36,000 ล้านบาท
 
ภาษาอำมาตย์
 
เพื่อเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บแก่กองทัพเรือในยามที่ความขัดแย้งทางทะเลจีนใต้กำลังทวีความรุนแรงเช่นเดียวกับการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศ
 
การตีความ
 
3.1 เป็นการประจบประแจงจีน เพราะรัฐบาลตะวันตกกำลังบี้รัฐบาลทหารอย่างหนัก
 
3.2 เป็นการแสดงอำนาจและผลประโยชน์ของกองทัพเหนือสังคมไทยบนเหตุผลที่ยกขึ้นมาแบบข้างๆ คู ๆ  แม้ว่าจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำก็ตาม
 
 
 
4.การให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแบบขวานผ่าซากและใช้อารมณ์
 
ภาษาของอำมาตย์
 
ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา มีนิสัยนักเลง ชอบพูดน้อยต่อยหนัก
 
การตีความ
 
4.1 ท่านเป็นคนมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ 
 
4.2 ท่านพยายามกลบเกลื่อนถึงความไม่รู้และความไร้อำนาจของตนโดยการแสร้งทำให้นักข่าวรู้สึกเกรงใจหรือหวาดกลัวไม่กล้าถามคำถามยากๆ  บางครั้งท่านก็จะพูดแบบอ่อนน้อมและปล่อยมุขตลกเข้าทำนองตบหัวแล้วลูบหลัง
 
 
5. คำพูดจีบของพลเอกพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกรต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีนที่ว่า "ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมก็คงจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้"
 
ภาษาอำมาตย์
 
เป็นการแสดงมิตรภาพระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้งโดยใช้ประโยคอุปมาอุปไมย
 
การตีความ
 
5.1 เป็นการประจบประแจงจีน เพราะรัฐบาลตะวันตกกำลังบี้รัฐบาลทหารอย่างหนัก
 
5.2 เป็นการทำให้รัฐมนตรีของจีนตอกหน้ามาว่า "กูรู้นะว่ามึงเป็นดอกทอง เพราะถ้าสหรัฐฯ คืนดีกับมึง มึงก็จะกินรวบทั้งกูและมันด้วย"
 
 
6.การสึกจากพระของสุเทพเทือก สุบรรณเพื่อตั้งมูลนิธิในการช่วยเหลือสังคม
 
ภาษาอำมาตย์
 
เป็นการช่วยเหลือสังคมอย่างไร้ความเห็นแก่ตัวของนายสุเทพโดยปราศจากการเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเมือง
 
การตีความ
 
6.1 นายสุเทพได้รับการกดปุ่มจากผู้มีอำนาจแฝงบางคนเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลทหารสามารถเตะถ่วงทางอำนาจผ่านการชูประเด็นปฏิรูป (ชั่วนิรันดร) ผ่านการเลือกตั้ง
 
6.2  นายสุเทพช่วยให้พรรคแมงสาบสามารถแสดงบทบาทผ่านมูลนิธิในการขอส่วนบุญเอ๊ยส่วนแบ่งทางอำนาจกับกองทัพเช่นสามารถเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลพลเรือนในอนาคตแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยก็ตาม
 
 
 
7.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศว่าไม่ยึดตึดเก้าอี้นายกรัฐมนตรี 
 
ภาษาอำมาตย์
 
เป็นการแสดงความมุ่งมั่นสำหรับพลเอกประยุทธ์เพื่อการทำงานเพื่อประเทศชาติโดยไม่นึกถึงผลประโยชน์และอำนาจ
 
การตีความ
 
7.1 เพื่อเป็นการสร้างภาพสำหรับพลเอกประยุทธ์ว่าตัวเองมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประเทศชาติโดยไม่นึกถึงผลประโยชน์และอำนาจ
 
7.2 เพื่อเป็นการนั่งเก้าอี้ตัวนี้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องไม่ขัดกับข้อ 7.1 เพราะบรรดาลิ่วล้อหรือลูกน้องจะประกาศสนับสนุนตัวเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปจากปัญหาทางการเมืองบางประการซึ่งถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า และตัวพลเอกประยุทธ์ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเลใจ
 
7.3 เพื่อเป็นการเตรียมทางหนีทีไล่หากข้อ 7.2 ไม่สำเร็จเช่นผู้มีอำนาจตัวจริงกดปุ่มให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนก็จะได้ไปอย่างสง่างาม 
 
 
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 "Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers." Blanche Dubois  ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงคำว่า Three Bs ผู้ใฝ่ใจในดนตรีคลาสสิกก็จะทราบทันทีว่าหมายถึงคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3  ของเยอรมัน นั่นคือ Bach  Beethoven และ Brahms ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน นั่นคือบาคเป็นคีตกวีในยุคบาร็อค เบโธเฟนและบราห์ม เป็นคีตกวีในยุคโรแมนติก นอกจากนี้บาคเป็นบิดาที่มีบุตรหลายคน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
การสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมากซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง"ไทยฆ่าไทย" ครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดไปและคนไทยน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนดีกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
      ขออุทิศบทความนี้ให้กับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
             เป็นเรื่องตลกถึงแม้ผมเอาแต่นำเสนอแต่เรื่องของดนตรีคลาสสิก แต่ดนตรีซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อนจนถึงปัจจุบันคือดนตรีแจ๊ส และผมฟังดนตรีชนิดนี้เสียก่อนจะฟังดนตรีคลาสสิกอย่างจริงจังเสียอีก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าในป
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    เมื่อพูดถึงเพลงประสานเสียงแล้ว คนจะนึกถึงเพลงสวดศพของโมซาร์ทคือ Requiem หรือ Messiah ของแฮนเดิลเป็นระดับแรก สำหรับเบโธเฟนแล้วคนก็จะนึกถึงซิมโฟนี หมายเลข 9 เป็นส่วนใหญ่ ความจริงแล้วเพลงสวด (Mass) คือ Missa Solemnis อันลือชื่อ ของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่ไม่
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แน่นอนว่าคนไทยย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกับฉากของหญิงสาวผมสั้นสีทองในเสื้อและกระโปรงสีดำพร้อมผ้าคลุมด้านหน้าลายยาวที่เริงระบำพร้อมกับร้องเพลงในทุ่งกว้าง เข้าใจว่าต่อมาคงกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังที่มีสาวม้งร้องเพลง "เทพธิดาดอย"อันโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เนื้อเพลง Lover's Concerto ที่ด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    ฟังเพลงของเขามามากต่อมากแล้วเรามาทายกันดีกว่าว่าหน้าตาของเขาน่าจะเป็นอย่างไร สูงผอม บอบบาง ขี้โรค อารมณ์อ่อนไหวง่ายและหน้าตาเต็มไปด้วยความทุกข์อยู่ไม่คลาย ?  และเมื่อเห็นภาพของโชแปงซึ่งเป็นภาพถ่ายของเขาเพียงภาพเดียว (ไม่นับภาพวาดอีกหลายๆ ภาพ และภาพยนตร์ที่อิงกับชีวิตของเขา) ก็ค