Skip to main content
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความทรงจำของตัวละครเข้ามาแทรกแซงพื้นที่ของความเป็นจริงมากเท่าเรื่องที่ 2 และเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นตัวตนของเฟลลินี่ได้ชัดเจนกว่า  สำหรับ La Dolce Vita ยังเป็นผลงานชิ้นแรกที่เฟลลินีแยกตัวเองออกจากตระกูลลัทธินวสัจนิยม (Neo-realism) ซึ่งเคยยิ่งใหญ่ในอิตาลีในช่วงปลายและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการเปลี่ยนจากชีวิตของชนรากหญ้ามาเป็นชนชั้นกลางแทน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในช่วง 7 วัน 7 คืนของมาร์เชลโล รูบินี (มาร์เชลโล มาสโตรเอนนี่) นักข่าวหนุ่มเจ้าสำราญซึ่งชีวิตวุ่นวายไปงานและกิจกรรมบันเทิงกับชนชั้นกลางใหม่ของอิตาลีที่เต็มไปด้วยคนนิสัยประหลาด ๆ (เฟลลินีให้สัมภาษณ์ว่าเกิดจากประสบการณ์การเดินทางที่ไปพบคนมากหน้าหลายตาของเขาเอง) แน่นอนว่ามาร์เชลโลต้องพาตัวเองไปพัวพันบรรดาสาวๆ ทั้งหลายที่มีตัวตนที่แตกต่างหลากหลาย แต่ปัญหาก็คือเขาไม่เคยพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์เพียง 1 รางวัลในสาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (ภาพยนตร์ที่ชนะเลิศในปีนั้นคือ West Side Story) และชนะเลิศใบปาล์มทองคำที่เมืองคานส์รวมไปถึงเวทีอื่นๆ อีกมากมาย หากมีการจัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก ภาพยตร์เรื่องนี้ก็มักจะถูกรวมในลำดับต้นๆ อีกด้วย
 
 
 
                                      
 
                                        ภาพจาก  www.moviepostershop.com
 
 
โปรดระวัง บทความต่อไปนี้คือการแนะนำและการวิเคราะห์ภาพยนตร์ จึงมีการเปิดเผยใจความสำคัญทั้งหมด
 
La Dolce Vita ดูเหมือนจะมีเนื้อหาที่เรียบเงียบแต่ความจริงแฝงด้วยปรัชญาชีวิตและการวิพากษ์สังคมอิตาลีอันเน่าเฟะในยุคหลังสงครามโลกที่ทุนนิยมและลัทธิวัตถุนิยมเข้าครอบงำอย่างเจ็บแสบ กระนั้นก็สร้างปัญหาให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับบริบทของสังคมอิตาลีและศาสนาคริสต์อยู่มากเอาการ (ดังนั้นการตีความผมก็ต้องอาศัยความคิดเห็นบางส่วนจากคนอื่นอีกที คงไม่ว่ากัน) ภาพยนตร์เปิดฉากมาก็สร้างความอื้อฉาวโดยให้เฮลิคอปเตอร์ใช้เส้นลวดยกรูปปั้นพระเยซูบินว่อนไปทั่วกรุงโรมเพื่อถวายองค์สันตะปะปาที่นครรัฐวาติกัน แต่สามารถตีความได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการที่สังคมอิตาลีตัดรากเหง้าของตนออกจากศาสนา และให้เฮลิคอปเตอร์อีกลำที่ติดตามนั้นมีนักข่าวอยู่ด้วย 2 คนซึ่งหนึ่งในนั้นคือมาร์เชลโลร่อนลงมาจีบพวกสาวๆ ที่ใส่ชุดบิกีนีอาบแดดอยู่บนดาดฟ้าราวกับจะบอกว่าภาพยนตร์ต่อไปนี้เป็นเรื่องทางเนื้อหนังมังสาเสียทั้งหมด (ถ้าลองเป็นเมืองไทยเช่นให้เฮลิคอปเตอร์บรรทุกพระพุทธรูปและตามด้วยภาพของสาว ๆ คงจะโดนแบนจนเสียหนังไปเลย) ซึ่งก็จริงเพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของภาพยนตร์จะนำเสนอการแสวงหาความสุขของหนุ่มสาวชนชั้นกลางจากการดื่มกินเต้นรำและเกมประหลาด ๆในงานเลี้ยงกลางคืนชนิดดื่มเมรัยแก้วต่อแก้ว บุหรี่มวนต่อมวน ไม่เช้าไม่เลิก (ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่นำเสนอชีวิตแบบนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมคือ La Notte ของมิคัลอันเจโล อันโตนีโอนี)
 
ฉากที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่น่าเบื่อ ไร้เป้าหมายของชนชั้นกลางอิตาลีก็คือมาร์เชลโลกับแม็ดดาเลนา(อานุก แอมเม่)ไฮโซสาว ที่ขับรถไปเรื่อยเปื่อยในกรุงโรมยามค่ำคืนได้ตีสนิทกับโสเภณีที่ขายตัวอยู่บริเวณนั้นเพื่อพาทั้งคู่ไปมีสัมพันธ์สวาทในบ้านโกโรโกโสของหล่อน แต่นั้นเป็นเพียงการแสวงหาความแสวงหาความสนุกตื่นเต้นของคนทั้งคู่ (หากเป็นภาพยนตร์ปัจจุบันก็คงจะแสดงถึงฉากร่วมรักพร้อมกัน 3 คนไปด้วย)  มาร์เชลโลยังไปตกหลุมรักกับซิลเวียดาราสาวเจ้าเสน่ห์ที่เดินทางมาโฆษณาตัวเองท่ามกลางการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ของสื่ออิตาลี แต่ดูเหมือนสาวเจ้าจะไม่ค่อยเล่นกับมาร์เชลโลด้วยเท่าไรนักอาจเพราะมีชายอื่นเข้ามาแห่แหนมากเกินไป แต่ฉากที่น่าประทับใจก็คือเขาและเธอเตร็ดเตร่ไปในกรุงโรมยามกลางคืนและเธอก็ได้โดดลงไปเล่นน้ำในสระที่มีน้ำพุอันเป็นภาพนิ่งที่สำคัญของภาพยนตร์ก็ว่าได้ (แต่เบื้องหลังการถ่ายทำถือว่าเป็นฉากที่ทำได้ยากเย็นที่สุด) กระนั้นมาร์เชลโลยังต้องเวียนหัวกับเอ็มม่าแฟนสาวที่เพียรจะจับเขาแต่งงานให้ได้ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพราะทั้งคู่โกรธเคืองและทะเลาะกันแต่ก็คืนดีกันอย่างรวดเร็วเหมือนเด็ก มาร์เชลโลหลงรักและหลายครั้งตกอยู่ใต้อำนาจเอ็มม่าแต่ไม่อยากจะให้เธอผูกมัดจนเกินไป เมื่อเขาพยายามหนีสุดท้ายก็กลับมาหาเธอจนได้ 
 
สิ่งสำคัญหนึ่งที่ภาพยนตร์ต้องการโจมตีอย่างหนักหน่วงคือความไร้ศีลธรรมของสื่อโดยสะท้อนผ่านบรรดานักข่าวซึ่งเป็นเพื่อนของมาร์เชลโลซึ่งมุ่งเสนอการทำข่าวอย่างไม่สนใจต่อความเป็นส่วนตัวของคนอื่น ฉากตลกที่ขำไม่ออกก็คือมาร์เชลโลถูกดาราหนุ่มอเมริกันทำร้ายร่างกายด้วยความหึงหวงต่อซิลเวีย พวกช่างภาพก็กรูกันไปถ่ายภาพกันสนุกสนานแทนที่จะทำให้การช่วยเหลือพวกเดียวกัน นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังให้สื่อมวลชนกระล่อนไม่เลิกโดยการปั่นข่าวเด็ก 2 คนที่อ้างว่าได้พบกับมาดอนน่าหรือพระนางมาเรียนั้นเอง ทำให้ชาวอิตาลีจำนวนมากแห่กันไปสวดขอพรกันยกใหญ่ หลายคนพาคนแก่ป่วยหนักไปเพื่อจะได้พรให้หายแต่ก็สิ้นใจเสียก็มี อันนี้สื่อให้เห็นคล้ายคลึงกับ The Bicycle Thief ของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลีอีกคนคือ วิคตอริโอ เดอ ซิก้าที่สื่อให้เห็นถึงความงมงายของชาวอิตาลีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มอบสมบัติอันล้ำค่าให้กับวัฒนธรรมแบบประชานิยมของโลกนั้นคือคือต้นกำเนิดของคำว่า ปาปารัสซี่หรือนักข่าวที่ชอบติดตามดาราเพื่อถ่ายรูปอย่างไม่คิดชีวิตนั้นคือเพื่อนนักข่าวของมาร์เชลโลคนหนึ่งมีชื่อว่า ปาปารัสโซ่ (paparazzo) โดยคำว่า paparazzi เป็นพหูพจน์ คำนี้คนเขียนบทได้มาจากชื่อของเจ้าของโรงแรมในงานเขียนสารคดีท่องเที่ยวในอิตาลีของนักเขียนชาวอังกฤษคนหนึ่ง
 
 
                                          
                                                ภาพจาก www.i.ytimg.com
 
La Dolce Vita คือภาษาอิตาลีแปลว่า The Sweet Life หรือ"ชีวิตอันแสนหวาน" ดูผิวเผินว่ามาร์เชลโลมีความสุขอยู่กับชีวิตแบบนี้ของเขาแต่ว่าลึก ๆแล้วเขากลับเบื่อหน่าย ระอากับชีวิตของเด็กที่ไม่รู้จักโตของตัวเอง ภาพยนตร์ยังชี้ให้เห็นว่าสาเหตุหนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้ใกล้ชิดกับบิดามากนัก ภาพในอุดมคติของมาร์เชลโลจึงถ่ายโอนไปยังเพื่อนของเขาคนหนึ่งคือสไตเนอร์ นักดนตรีและปัญญาชน ที่มีครอบครัวอันอบอุ่น ภรรยาและลูกน่ารัก 2 คนคือภาพอันแสนสมบูรณ์แบบที่มาร์เชลโลอิจฉาและหลงไหล แต่แล้วภาพยนตร์ก็ได้ทำเขาตกใจสุดขีดโดยการให้สไตน์เนอร์สังหารลูกและตัวเขาเอง จึงไม่แปลกที่เฟลลินีจะให้สไตเนอร์คือตัวแทนของชนชั้นกลางอิตาลีที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบ เป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่แสวงหาแต่สิ่งดีงาม แต่ลึกๆ แล้วกลับกลัวที่จะถูกขังภายในกรอบที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แน่นอนว่าเมื่อขาดต้นแบบแล้วมาร์เชลโลย่อมสิ้นหลังและหันไปหมกมุ่นกับใช้ชีวิตอันแสนหวานของตนต่อไป นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าแท้ที่จริงสไตเนอร์ก็คืออีกมุมหนึ่งของตัวตนของมาร์เชลโลนั้นเอง นอกจากนี้เฟลลินีก็เสียดสีชนชั้นกลางที่ชอบทำตัวเหมือนกับเป็นปัญญาชนทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ ผ่านแขกในงานของสไตเนอร์ที่มาเชลโลเข้าร่วมด้วย
 
ผู้หญิงอีกคนในชีวิตมาร์เชลโลที่น่ากล่าวถึงก็คือ เปาโล เด็กสาว 16 ปีที่มาร์เชลโลรู้จักเพราะไปทานอาหารในร้านที่เธอเป็นเด็กเสิร์ฟ ลักษณะอันงดงามใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอถูกนักวิชาการตีความว่าเปรียบได้ดังนางฟ้าหรือความงดงามทางจิตวิญญาณของมนุษย์ (ลักษณะเช่นนี้ยังถูกพัฒนาไปเป็นคลอเดีย ดาราสาวในฝันของกุยโด้พระเอกในเรื่อง 8 1/2) ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าทรงพลังและสื่อความหมายอย่างมากมาย บรรดาไฮโซทั้งหลายรวมทั้งมาร์เชลโลที่เมากันสุดเหวี่ยง ละเล่นกันสุดชีวิตทั้งคืนได้เดินทางไปเที่ยวที่ชาดหาดที่อยู่ไม่ไกลในยามเช้าตรู่ ณ ที่นั้นชาวประมงเหวี่ยงแหได้ปลาประหลาดที่ตายมาหลายวันได้ทำให้ชาวไฮโซแห่กันไปดู มาร์เชลโลได้พบกับเปาโลอีกครั้ง เธอได้พยายามย้ำเตือนอะไรบางอย่างให้แก่เขาแต่เพราะทั้งคู่อยู่ไกลกันทำให้เสียงคลื่นกลบเสียงของเธอ ทำให้คนดูได้คาดเดาจากอากัปกิริยาของเธอต่างๆ นาๆ มีคนตีความว่าเปาโลนั้นพยายามเตือนเขาให้กลับไปเขียนหนังสือหรือสร้างสรรค์ศิลปะอันจะเป็นตัวสร้างคุณค่าให้กับชีวิตมากกว่าจะอยู่แบบพวกสุขนิยมหรือ Hedonism อันมีซากปลาประหลาดอาจจะหมายถึงชีวิตอันเน่าเหม็นของชนชั้นกลาง ส่วนปฏิกิริยาของมาร์เชลโลหลังจากนั้นคือไม่ยอมเข้าใจเธอก่อนจะโบกมือลากลับไปรวมกลุ่มเพื่อนไฮโซเพื่อดื่มด่ำอยู่กับ "ชีวิตอันแสนหวาน"ต่อไป
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  1.บวรศักดิ์ อุวรรณโณคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญของตนนั้นเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความต่อไปนี้บางส่วนเอามาจากบทความของคุณเดวิด เบอร์นาร์ด จาก http://www.chambersymphony.com/   เข้าใจว่าโซโฟนีหมายเลข 7 นี้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความนี้ได้รับการแปลและตัดต่อบางส่วนจากเว็บ The History Place:World War in Euroe ผู้เขียนไม่ทราบชื่อ  บทความนี้ยังถูกนำเสนอเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของฮิตเลอร์เมื่อ 70 ปีที่แล้ว (30 เมษายน ปี 1945) เช่นเดียวกับก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 คงมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถสะท้อนความคิดทางปรัชญาอันลุ่มลึกและมักทำให้ผมระลึกถึงอยู่เสมอเวลาดูข่าวต่างๆ หรือไม่เวลาพบกับเหตุการณ์ทางการเมือง ภาพยนตร์เหล่านั้นนอกจากราโชมอนของ อาคิระ คุโรซาวาแล้วยังมี Being There ที่ภาพยนตร์สุดฮิตอย่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1. กลุ่มกปปส.ต่อหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์คิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1. เพลง  Give It Up ของวง  KC&Sunshine Band  (ปี 1983)  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.Don Giovanni คีตกวี วู๊ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  The Pianist ซึ่งกำกับโดยโรมัน โปลันสกีถูกนำออกฉายในปี 2002  และได้รับการยกย่องรวมไปถึงรางวัลออสการ์และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อพูดถึงเพลงคลาสสิก ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของทุกคนก็คือผู้ชายหรือไม่ก็เด็กชายฝรั่งสวมวิคแต่งชุดฝรั่งโบราณกำลังเล่นเปียโนอยู่ หากจะถามว่าคนๆ นั้นคือใคร ทุกคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ โมสาร์ต คีตกวีผู้มีชื่อเสียงมากที