Skip to main content
นวนิยายเรื่องนี้ถูกเขียนประมาณ ปี 2005 หรือ 2006  ผู้เขียนเองก็จำไม่ค่อยได้ ตัวเอกหรือผู้บรรยายเป็นคนไทยแต่ไปสอนวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลินในเยอรมันช่วงที่นาซีกำลังเรืองอำนาจ อนึ่งไม่ได้มีการตรวจสอบภาษาไทยเท่าไรนัก จึงต้อขออภัยหากมีความผิดพลาดทางภาษาเกิดขึ้น
 
 
                ชั่วกาลปาวสาน
 
               1
            เบอร์ลิน กลางฤดูใบไม้ร่วง ปี 1934
 
 
 
ผมยืนเหม่ออยู่ที่นั้น ตรงแม่น้ำแห่งนั้น แสงสีทองของพระอาทิตย์ยามสายที่แทงทะลุหมอกลงมาจางๆ ทำให้ แม่น้ำซึ่งพริ้วไหว ไปตาม กระแสลมดูเหมือนกับ แถบผ้าสีทองยับ ๆ ผืนหนึ่ง หากแต่ในผ้าผืนนั้น มีจุดดำเล็ก ๆของน้ำมัน เปรอะอยู่เป็นแห่ง เสียงหวูดดังไกล ๆ มาจากท่าเรือ เป็นสัญญาณให้คนงานเข้าทำงานในโรงงานอย่างเร่งรีบ อันเป็นไปตามวัฏฏะประจำวันของ สังคมอุตสาหกรรม ส่วนข้างในดงตึกอันยืนตระหง่านที่อยู่ไกลออกไปนั้น คงจะมีคนทำงานนับร้อยนับพันกำลังสาระวนอยู่กับ เครื่องพิมพ์ดีด และเอกสารกองโตบนโต๊ะ พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ซึ่งดังประสานกันเหมือนวงซิมโฟนีของเด็กใหม่ที่หัดเล่น
 
ทันใดนั้นดอกนาร์ซีซัสตรงข้างทาง ก็ปลิดออกจากต้นตามแรงลม ผมมองตามมันไปตกบนบันไดเล็ก ๆ ที่ทอดตัวลงลงบนแม่น้ำ ต้นนาร์ซีซัส มักจะพลัดใบในช่วงนี้พอดี ตอนที่ผมเป็นเด็ก ก่อนจะย้ายมาอยู่เบอร์ลิน ผมจะชอบมานั่งดูดอกนาซีซัสที่อยู่ข้าง ๆ บ้าน ปลิวไปตามแรงลม และจะเก็บมันขึ้นมามองชื่นชมลวดลายของมันก่อนจะพับมาเป็นที่คั่นหนังสือให้กับพี่สาว …ทำให้นึกถึงแม่ แม่ชอบปลูกไว้ในกระถางบนระเบียงบ้าน และจะบังคับให้ผมรดน้ำมันเกือบทุกวัน
 
ผมก้าวเดินไปยังสะพานแล้วก้มลงหยิบมันขึ้นมาดู
 
"ทำอะไรอยู่ค่ะ? ทิฐิวัฒน์ ต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้รอตั้งครึ่ง ชั่วโมง”
 
เสียงใสๆ ดังจากข้างหลัง โดยไม่ต้องหันไปมอง ผมค่อย ๆ ปล่อยมันลงมาบนน้ำ เจ้าดอกไม้งามติดอยู่บนกอสวะอยู่พักหนึ่งก่อนที่มันจะลอยต่อไป มันคงเป็นจะเป็นผู้นำสาร ส่งหัวใจผมกลับไปหาเมืองสยาม
 
“ เปล่าหรอกครับ ผมกำลังนึกถึงเรื่องอะไรไปเรื่อย เปื่อย “
 
เจ้าของเสียงสวมชุดโอเวอร์โค้ทสีเทาแก่ เอาแขนท้าวคาง อยู่บนอาน จักรยาน มอง ตาแป๋วมาที่ผม เธอยังคงสวมหมวกเบเลต์สีแดงใบนั้น ใบที่ผมเคยซื้อให้เธอเหมือนปีที่แล้ว ผมเคยคิดว่า เธอจะใส่เฉพาะครั้งที่เราเจอกัน แต่แอบได้ยินจากเพื่อนว่า เธอใส่มันทุกวันถึงแม้ผมเดินทางไปตามจังหวัด …. เห็นแล้ว อบอุ่น เหมือนกับผ้าพันคอที่เธอซื้อให้ในวัน คริสต์มาส เราเป็นเพื่อนที่ดีกันมากที่สุดคู่หนึ่งก็ว่าได้
 
“สำหรับคุณ มีการคิดอะไรเรื่อยเปื่อยด้วยหรือ ?”
 
ฮันน่าห์ ค่อยๆ จูงรถจักรยานเคียงคู่ผมซึ่งขึ้นจากท่าและเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ผมมองหน้าของเธอ ใบ ของต้นสน ข้างทางร่วงพรูลงมา คราวนี้ มันลงมาพักพิงกับผมสีบอนด์ ข้างล่างหมวกซึ่งถูกรวบไว้ข้างหลัง ประกายตาสีฟ้าของเธอ ซุกซน มีเสน่ห์ แบบสาวบาวาเรียนแท้ ๆ ผมวิสาสะเอามือปัดดอกจากผมของเธอ บางทีเธออาจจะรู้สึกว่า นิ้วของผมสัมผัสที่ตรงนั้นนานกว่าปกติและมันเผลอไปสะกิดตรงแก้มสีแดงระเรื่อ ก็ได้ เลยยิ้มเขิน ๆ ก้มลงมองพื้นถนนที่ล้อจักรยานกำลังบดลงไป แต่เธอกลับหารู้ไม่ว่าผมไม่ได้คิดอะไรแม้แต่น้อย
 
“ผมแค่นึกถึง เฟาส์" ผมไม่ถึงกับโกหก เพียงแค่เป็นความคิดก่อนหน้านี้
 
“การที่เกอร์เธ่เปรียบเทียบเฟาส์ว่าเหมือนกับคนเยอรมันในยุค ปฏิบัติอุสาหกรรม ก็คงไม่ต่างกับความจริงเท่าไรนัก เรากำลังจะขายวิญญาณให้กับปีศาจ และเจ้าเมสโตเฟเลส กำลังขยายร่างใหญ่ขึ้นมาหลอกหลอนเราอยู่เรื่อยๆ”
 
เธอหัวเราะ
 
“ ว่าแล้ว คุณไม่มีทางจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหรอก ทำไมละค่ะ ทำไมคุณไม่เล่านิทาน ของเอ้อ ......ใครนะ ..... สุนทรภู่ให้ฟังบ้างล่ะ”
 
“จะเอาเรื่อง อะไร ล่ะ ? สังข์ทอง หรือว่า พระอภัยมณี”
 
ประตูตรงเฉลียงชั้นสองของตึกที่อยู่เรากำลังเดินผ่านถูกเปิดออก ชายชราพร้อมกับแมวตัวใหญ่สีทองในอ้อมกอดเดินออกมา เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า แกตั้งใจ จะออกมาหาเราเหลือเปล่า ทุกครั้งที่เราสองคนเดินหรือขี่จักรยาน ผ่าน แกกับเพื่อนสี่ขาจะนั่งอยู่ข้างเฉลียง นั่งฟัง วิทยุ บางครั้งก็ตะโกนทักทาย บางทีเหมือนกับ ไม่เห็นเรา
 
“พวกคุณกำลังพูดถึงปีศาจอย่างนั้นหรือ ? “
 
น้ำเสียงแกจริงจัง จนน่าตกใจพอ ๆ กับ ท่าทางของแก ผมบาง ๆเหนือหูทั้งสองข้าง หงิกงอ พร้อมกับสายตาแข็งกร้าวผ่านกรอบแว่นตาเล็ก ๆ ทำให้แกดูน่ากลัวเข้าไปอีก ชายชราไม่ค่อยออกไปไหนหรือชอบเดินเล่นนัก เขาชอบหมกตัวอยู่คนเดียว แต่ในห้อง เคยได้ยินมานานแล้วว่า แกเคยมีนิวาสถานอยู่ที่ดุสเซลดอฟก่อนการโจมตีครั้งใหญ่ของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภรรยาและลูกของแกเสียชีวิตทันทีจากการระดมยิงของปืนใหญ่ ทุกวันนี้แกมีชีวิตอยู่กับความหลัง เงินบำนาญ และแมวตัวนั้น
 
ผมนึกตำหนิตัวเองในใจที่เผลอพูดเสียงดัง เป็นเรื่องที่พึงระวังอย่างยิ่งในยามนี้ที่จะแม้จะเสียดสีหรือพูดด่าผู้มีอำนาจเป็นนัย ๆ มันอาจจะทำให้ต้องพบกับความพินาศในชีวิตได้ เพียงแค่ลมปาก วูบเล็ก ๆ
 
ฮันน่าห์พยายามแก้ต่างแทนผม
 
“เปล่าหรอก เรากำลังพูดของ นิยายของเกอร์เธ่ต่างหาก”
 
จู่ ๆ แกก็หัวเราะออกมา ดังๆ ไม่มีสาเหตุ แข่งกับเสียงเปียโนพร้อมเสียงร้องแบบซาฟราโน ที่อยู่ห้องถัดที่พึ่งดังเมื่อกี้เองไป ต้องหยุดลงชั่วขณะก่อนจะดังต่อไปเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนหัวเราะ แมวตัวอ้วนร้อง หงาว ดิ้นรนขยับตัวแต่ก็ต้องนิ่งเพราะแกรัดมันภายใต้อ้อมแขน ไว้แน่นกว่าเดิม
 
“เปล่าดอก สหายหนุ่มสาว สิ่งนี้มันไม่ใช่ ความเพ้อฝันอีกต่อไป หากแต่ปีศาจตนนั้นได้ปรากฏร่างออกมาหลอกหลอนเราทั้งผองและมันกำลังจะลากพวกเราไปลงนรกเช่นเดียวกับมัน ฉันเคยเห็นมัน ไม่นานนี้และมันกำลังจะมาอีก เตรียมใจไว้เถิด !!”
 
ผมแย่งจักรยานจากฮันน่าห์ แล้วรีบจูงมันแทนเธอ เพื่อที่เราทั้งสองจะได้ไปห่าง ๆจาก ตาแก่คนนี้โดยเร็ว เสียงตะโกนประโยคซ้ำ ๆ กันและต่อเนื่อง ของแก ทำให้ คนที่อยู่ห้องใกล้ ๆ ทนไม่ได้อีกต่อไป ต้อง ประสานเสียงด่ากันขรม พร้อมกับเสียง เด็กร้องไห้จ้า
 
เหมือนกับว่าวันนี้มหาวิทยาลัยของเราอยู่ไกลแสนไกล และดูทางที่เรากำลังเดินเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับเมื่อวาน หมอกตอนเช้าจางหายไปพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่แรงขึ้นอยู่เรื่อย ๆ บนถนน คนเริ่มเดินไปมา พร้อมรถยนต์ส่วนตัววิ่งกันขวักไขว่ รถบรรทุกทหารคันใหญ่แล่นผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว ใครหลายคน บนรถตะโกน แซว เราอย่างสนุกปาก เธอกลับหัวเราะ โบกมือให้แล้วหันมาพูดกับผม
 
“เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงกลางรถได้ไหม อยู่ข้างบ้านฉันเอง เขาชื่อ กุนเดอร์เป็นเพื่อนกันตั้งเล็กแต่น้อย แม่ของเขายังเคยเลี้ยงฉันเลย ตอนที่ลูกชายถูกเกณฑ์ แกพูดเรื่องนี้กับคนแถวบ้านเป็นวัน ๆ"
 
ผมไม่หัวเราะด้วย -ป่านนี้ดอกนาร์ซีซัสดอกนั้นคงจวน ๆ ลอยไปถึง ชานเมืองแล้ว
 
รวมความแล้วไม่น่าจะต้องจินตนาการอะไรให้มากนักเหมือนสงครามโลกที่ 1 ตอนที่เจ้าหนุ่มนั้นจะออกไปรบที่แนวหน้า ก็ต้องล่ำลา พ่อแม่พี่น้องกับ ญาติ เหมือนกับอัศวินจากจรไปรบ หลังจาก กอดพ่อกอดแม่แล้ว ก็เคาะหัวของน้องชายจอมแก่นแก้ว เบา ๆ เจ้าน้องชายก็เอามือชนกับมือของพี่ชายเป็นรหัสที่ทำร่วมกันมาแต่เล็ก ๆ พร้อมกับบ่นว่าอยากจะโตเท่าพี่ชายและได้ออกรบร่วมกัน พี่ชายก็ขึ้นไปบนรถบรรทุก แล้วโบกมือให้กับทุกคนในมือบ้าน ด้วยเสียงแห่งความปีติและ ความภาคภูมิราวกับชายหนุ่มจะได้ไปรับใช้เทพเจ้า
 
พอสงครามเกิดขึ้น ผู้เป็นแม่จะล้มทั้งยืน เมื่อได้รับจดหมายแสดงความเสียใจจาก กองทัพ ถึงการเสียชีวิตของลูกชาย หรือไม่ครอบครัวก็ ต้องเอาดอกไม้ไปเยี่ยมที่หลุมฝังศพ หรือเรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่า ลูกชายที่หายสาบสูญไปกับสงคราม จะมีร่างอยู่ในหลุมไหนสักแห่งบนโลกนี้หรืออาจจะไม่เหลืออะไรแม้แต่สักอณูเดียว
 
“วัฒน์คะ” เสียงของฮันน่าห์เรียกชื่อผมเบา ๆ
 
“หือ ?”
 
“ ถึงตึกคณะคุณแล้ว จะเดินไปไหนอีกล่ะ ?”
 
.....................................
 
                   2
 
สียงพิมพ์ดีดดังถี่ยิบเหมือนข้าวตอกแตกหยุดชะงักทันทีเมื่อผมก้าวเดินเข้ามาในภาควิชา ความอึมครึมรอคอยผมตั้งแต่ประตู เพราะ หน้าต่างถูก เปิดไม่กี่บาน วี่แววของ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าอาจารย์ดูจะไม่มีอยู่เลย เว้นแต่ ฟรอยไลน์ (นางสาว)ลีโอนอร่า เลขานุการของภาควิชา ซึ่งนั่งเงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ เพื่อทักทายผมผ่านสายตาที่ลอดแว่นพร้อมกับน้ำเสียง เย็น ๆ เหมือน ตาแก่เจ้าของแมว
 
"มีพวกนักศึกษาหนุ่ม ๆ มาหาคุณเมื่อกี้นี้เอง ส่วนจดหมายกับพัสดุก็กองกันอยู่บนโต๊ะคุณตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
 
ผมกล่าวขอบคุณด้วยเสียงอันเบา เป็นการดีเหมือนกันที่จะพูดอะไรเบาๆ เพราะ การพูดดังมันอาจจะไปกระทบกับ “หูวิเศษ” ของคนที่เรารู้จักหรือแม้แต่คุ้นเคยกันหลายปีกางรอไว้อยู่แล้ว และด้วยเหตุนี้ทำให้เพื่อนอาจารย์ของผมหลายคนที่ชอบพูดดังๆ เมื่อสักสองสามปีก่อน ต้องหายหน้าหายตาไป หรือโชคดีก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นพิเศษ อาจารย์คนเดียวของภาควิชาที่ไม่มีสายเลือดของเผ่าอาระยัน ก็ค่อย ๆ เดินเหยียบพื้นไม้เสียงเอี้ยดอ้าด เข้าไปในห้อง ก่อนเข้าไป ผมยังอุตสาห์ ก้มมองที่บังตาของห้อง โปร์เฟสเซอร์ วอนลิค ชไนเดอร์ ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ตอนนี้ ร้างเจ้าของ และดูเหมือนแมงมุมเจ้ากรรมจะมา สร้างใย เป็นเครื่องประดับประจำห้องจนดูเหมือนปราสาทร้างไป
 
ชั้นหนังสือที่เคยมีกองหนังสืออยู่เต็ม เกือบจะเรียกได้ว่า มีแต่กองฝุ่น และสีมัว ๆ พร้อมสนิมเขรอะ ๆ ของตู้อยู่แทน มีนิตยสาร ยอดขายดีที่สุดในประเทศ ประเภท “ท่านหญิงอยากสวย” หรือ “ทำอย่างไรจะให้เพศตรงข้ามหลงเสน่ห์” สองสามเล่ม และหนังสือพิมพ์เก่า ๆ อายุประมาณก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกทอดทิ้งอยู่บนโต๊ะ
 
ผมรีบเอาเสื้อโอเวอร์โค้ท ไปแขวนกับ เสาและวางแฟ้มเอกสารไว้ในห้องตัวเอง ย่อง ๆ เข้าไปใน ห้องชไนเดอร์ แล้วหันซ้ายหันขวา ก้มลงไปที่ข้างตู้หนังสือ ก่อนก้มลงไปเคาะ พื้นไม้เบา ๆ เมื่อเห็นว่าเสียงสะท้อนดังออกมาไม่เหมือนกับจุดอื่น ก็ค่อย ใช้ เหล็ก ท่อนเล็ก ๆ ในตู้ งัด เอาฝากระดานที่ขาดช่วงกับกระดานอื่นขึ้นมา แล้วจึงเอื้อมมือลงไปข้างล่างสิ่งที่ผมสัมผัสก็คือ กองหนังสือ ซึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ภายในลืบของช่อง ลึกลับนั้น
 
เปล่าหรอก ที่พบไม่ใช่ความบังเอิญ หรือ เพราะผมได้ยินเสียงกระซิบ เห็นภาพนิมิตร จากวิญญาณของ ชไนเดอร์ เพื่อนอาจารย์ผู้ที่เคารพรักที่สุดในภาควิชา แต่เป็นเพราะเสียงพูดที่แผ่วเบาและสั่นเครือ จนแทบจำใจความไม่ได้ ของ เขาในขณะที่ถูกพวก ตำรวจเกสตาโปฉุดกระชาก ลากถูขึ้นรถไปอย่างป่าเถื่อน ก่อนที่จะไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย แววตาสุดท้ายที่เขามองมาที่ผมคง เหมือนกับแววตาที่ พวกเรา อาจารย์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนก่อน ที่ต้องยืนซึมบนฟุตบาตในเบอร์ลินสแควร์ มองลงมายังกองหนังสือกองมหึมา ขณะถูกเปลวไฟ สีแดงฉาน ค่อย ๆ รายรอบเหมือนงูเหลือมโอบรัดเหยื่อ จนไม่เห็นแม้แต่ขน
 
ข้างหลังกองเพลิงคือธงสวัสดิกะ และรูปของท่านผู้นำ โดยมีบรรดา ทหารและยุวทหารผู้กล้าทั้งหลายกำลังกระเหี้ยนกระหือรือ ในการขนกองหนังสือ กองแล้วกองเล่า มาสังเวยพระเพลิง นายทหาร ตรงหน้าอกมีเหรียญกล้าหาญ เต็มพรืด เดินมายังเรา พร้อมกับยิ้มหยัน ๆ
 
“ความจริง หนังสือขยะ ๆ ของพวกแกน่าจะถูกเผา ตั้งนานแล้ว และถ้าจะให้ดี น่าจะเป็นพวกแกด้วยที่ต้องอยู่ในกองเพลิง”
 
“ความจริง น่าจะเป็นตัวแกและท่านฟูห์เรอร์ ของแกมากกว่าที่น่าจะอยู่ในนั้น !!!"
 
น่าเสียดายที่ว่า ประโยคตอบโต้ เป็นคำพูดที่มาจากปากของผม ในตอนที่กำลังถือกองหนังสือกองเล็ก ๆ อยู่ในห้องนี้… ตอนนี้เอง ผมรู้สึกถึงน้ำหยดเล็ก ๆ ไหลออกจากเบ้าตาอันร้อนเผ่า ก่อนที่จะลงมาอาบแก้ม ผมเอามือปาดมันก่อนที่จะแกะเชือกที่คาดกองหนังสือออก ถึงแม้หนังสือจะเก่ามากแล้ว ก่อนที่ชไนเดอร์จะแอบซ่อนมันไว้ แต่ว่า ยังอยู่ในสภาพดีเกินกว่าพวก มอดหรือปลวกจะทำลายมันได้
 
มีเสียงเดินของใครหลาย ๆ คน ปึงปังบนพื้น และมีเสียงเคาะที่บังตาของห้องผม ผมรีบเอากองหนังสือไปซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะ แต่ไม่ลืมหยิบเอาหนังสือเล่มที่เล็กที่สุดไว้ใต้เสื้อ นักศึกษาของผมนั่นเอง พวกเขาดู มีความกระตือรือร้นพิเศษ ดูไม่แตกต่างจาก เพื่อนของฮันนาห์ ถึงแม้จะพยายามทำตัวเองให้สุภาพต่ออาจารย์เหมือนเดิม แต่ ก็ไม่อาจข่มประกายรังสีของ ความรู้สึกเหิมเกริม ไว้ได้
 
ผมเดินเข้าไปในห้องตัวเอง หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาและยื่นให้เขาไปโดยไม่ถาม และไม่หันมามอง ก้มลงนั่ง หยิบเอาเอกสารเล่มอื่น ๆ มาวางบนโต๊ะ ผมรู้สึกได้ว่า พวกเขายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ถึงแม้ ความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมลงชื่อก็ได้ หากเขาจะเดินออกไปทำเรื่องกับคณะเลย เพราะไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่ภาควิชา ซึ่ง ทางการได้หมายหัวอาจารย์ไว้หลายคนจะมีสิทธิ์อนุมัติ พวกเด็กคงรู้สึกผิดที่ช่วยพวกทหารนำเอาตำราของอาจารย์ มาเผาทิ้งไฟในวันนั้นและคิดว่าอาจารย์คงโกรธ เสียงฝีเท้าของพวกเขา ค่อย ๆ ห่างออกไป โดยไม่มีคำพูดร่ำลาเพียงสักคำ แต่เปล่าเลย ผมเฝ้ารอสักวันหนึ่งหากเยอรมันกลับมาปกติอีกครั้ง เราคงได้พบกันในฐานะเป็นลูกศิษย์และอาจารย์
 
เที่ยงแล้ว หลังจากผมกลับจากห้องเล็คเชอร์ มาที่ภาควิชาอีกครั้ง ความเป็นไปของทุกสิ่งก็เหมือนเดิม ไม่มีอาจารย์มาสักคนเดียว ลีโอนอร่าไม่อยู่เสียแล้ว ทั้งห้องภาควิชาว่างเปล่า และมืดทึบเหมือนเดิม ผมเปลี่ยนทิศทางเดินไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ระหว่างทางพบกับเด็กนักศึกษาเดินสวนมาเป็นระยะ ๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง มหาวิทยาลัยของเรามีการตกแต่งอะไรที่ผิดแปลกจนน่าตกใจ จากเดิมที่ประดับธงของสถาบัน กลับกลายเป็นธง สวัสดิกะอยู่แทนที่เกือบหมด ความจริงไม่น่าประหลาดใจอะไรสำหรับ อธิการบดีของเราที่แข้งอ่อนเข่าอ่อน เมื่อท่านผู้นำเถลิงอำนาจ นับเป็นชิ้นโบว์แดงเลยก็ว่าได้ที่เขาลงทุนนั่งรถไฟร่วมกับท่านผู้นำ เพื่อพบกับน้องสาวของนิชเช่
 
และนางก็ได้มอบไม้เท้าให้กับ ผู้ที่นางคิดว่าจะเป็นอภิมนุษย์นำพาชน เผ่า เยอรมันไปสู่ความยิ่งใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านผู้นำมีความฉลาดไม่พอที่จะอ่าน “ ซาราทุสตร้าได้กล่าวไว้เช่นนั้น” ในบทต้น ๆ เสียด้วยซ้ำ แม้แต่ ริชาร์ด ว๊าคเนอร์ ก็ดูเหมือน เส้นหยักบนสมองของท่านจะลึกไม่พอบันทึกแนวคิดอะไรลงไปได้นอกจากคุยโม้โอ้อวดชื่อของอุปรากรของคีตกวีผู้นี้ที่ท่านเคยงีบหลับในช่วงการแสดง
 
เสียงเชลโล่แว่วมาแต่ไกล ทำให้ผมนึกได้ว่า ตอนนี้กำลังจะเดินมาถึงห้องของ ชมรมดนตรี มีเสียงแคลิเน็ทดังประสานแทรกมา ผมเผลอเหลือบมอง ไปข้างนอกหน้าต่าง เห็น นกลาร์ค สีน้ำตาลแซมขาวตัวหนึ่งเกาะบนกิ่งไม้พร้อมกับร้องเพลงอย่างมีความสุข มันคงคิดว่า คู่ของมันอยู่ในห้องนั้น
 
ผมวิสาสะ เปิดประตูเข้าไป เห็น นักดนตรีกำลังเพลิดเพลินอยู่กับเครื่องดนตรีอยู่หลายคน รวมไปถึงวาทยากรผู้ลือชื่อของมหาวิทยาลัยกำลังอ่าน โน๊ตดนตรีอยู่ห่าง ๆ ชมรมดนตรีเป็นชมรมที่ได้รับผลกระทบอย่างแรงจากการขึ้น เถลิงอำนาจของท่านผู้นำ ดนตรีของ นักประพันธ์เชื้อสาย ยิว ถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่น ถึงแม้จะถูกคำสั่งจากอธิการบดี (และด้วยความร่วมมือจากวาทยากรซึ่งเป็นหัวหน้าชมรมดนตรี นอกจากนี้เขายังแต่งอีกหลายเพลงให้กับพรรคของรัฐบาลอีกด้วย) ให้เล่นแต่เพลงของ ชนชาติแห่งเยอรมัน แต่ชมรมนี้ยังดูคึกคักมีชีวิตชีวาอยู่ เหมือนแต่ก่อน
 
ผู้หญิงที่ก้มหน้าเป่าขลุ่ย พร้อมกับเขียนหนังสืออยู่บนเปียโน อยู่ใกล้ๆ หันมามองผม เราประสานตากันพอดี ผมก้มลงพื้นอย่างเขินอายทันที แต่เธอก็ยังคงจ้องมองมาที่ผมเหมือนเดิม ผมกลัวสายตาคู่นั้น .. ถึงแม้มันจะสวยเหมือนกับจมูกอันเชิดรั้นและคางอันเรียวยาว ของเธอ แต่ มันดูลึกลับ เหมือนห้วงเหวลึก ซึ่งจ้องจะกระชากให้ผมตกลงไป และไม่มีวันจะปีนขึ้นมาได้
 
“มาเรียน”
 
 
ผมเผลอ เอ่ยชื่อของเธอ มาเบา ๆ เป็นครั้งแรกที่ผมพูดชื่อเธอให้เธอให้ยิน นับตั้งแต่เธอเข้ามาเป็นเพื่อนอาจารย์ที่ภาควิชาเดียวกันเมื่อ หลายเดือนที่แล้ว เราไม่เคยวิสาสะคุยกันนอกจากจะทักกันตามมารยาท แต่มีอยู่หลายครั้งที่ผมสังหรณ์ว่า ผมไม่ได้แอบมองเธออยู่ฝ่ายเดียว เพราะนอกเหนือจากความเหินห่าง และความเงียบแล้วความรู้สึกของผมกลับสัมผัสความอบอุ่นที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในสายตาคู่นั้น บางทีถ้าผมไม่หลอกตัวเองมากนัก เราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ในอนาคต
 
หญิงสาวไม่พูดอะไรแม้แต่สักคำเดียว จู่ ๆ เธอก็วางดินสอกับหนังสือไว้บนเปียโน รวบผมยาวสลวยสีแดงไว้ข้างหลังเปิดฝาคลอบแล้วจรดนิ้วบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว เรื่องที่น่าแปลก คือเพลงที่เธอเล่น เป็นเพลงที่ผมชอบเหลือเกิน ร่างของมันค่อย ๆ แล่นเลี้ยวเข้ามาในความทรงจำของผม กลายสภาพเป็นภาพของนกลาร์คตัวนอกหน้าต่างเมื่อกี้เข้ามาอีกครั้ง ในคราวนี้มันโฉบเฉี่ยวบินไปตามต้นไม้ต้น อื่น ๆ แดดช่วงบ่ายของฤดูหนาวส่องผ่านช่องใบไม้เหล่านั้นลงมาบนพื้นเป็นลำ ทอดลงกองใบไม้บนไร่ ร้าง กว้างเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ผมเห็นตัวเอง ตอนเป็นเด็ก วิ่งตามนกตัวนั้นไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่พี่สาววิ่งตามไม่ทัน เจ้าหมาแสนรัก วิ่งเห่าตามไปติด ๆ
 
 
Higher still and higher
From the earth thou springest
Like a cloud of fire;
The blue deep thou wingest,
And singing still dost soar, and soaring ever singest.
 
In the golden lightning
Of the sunken sun
O'er which clouds are bright'ning,
Thou dost float and run,
Like an unbodied joy whose race is just begun.
 
(บทกวีของ Percy Bysshe Shelley)
 
 
ผมมาสะดุ้งรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อมาเรียนกระแทกเสียงเปียโนดัง ๆ เป็นจังหวะ พบว่าบัดนี้เราทั้งสองคนกลายเป็นจุดสนใจของ คนทั้งห้องซึ่งหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้แต่พวกนักศึกษา ที่อยู่ข้างนอก ยังเปิดประตูมาชะเง้อชะแง้มองหลายคน เมื่อเพลงจบ เสียงปรบมือก็ดังเปาะแปะ คนเล่นค้อมศรีษะให้กับผู้ชมเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ถือสมุดดนตรีเดินไปที่ตู้
 
ผมหน้าแดงกร่ำ หยดน้ำเล็กๆ ไหลลงอาบแก้ม กว่าจะพูดออกมาคำหนึ่งได้ก็รู้สึกลำบากเหลือเกิน แถมยังเบาหวิวเกินกว่าที่ใครจะได้ยิน นอกจากตัวเองซึ่ง เหมือนอยู่ในความฝัน
 
“ขอบคุณ… ขอบคุณ มาก"
 
แต่เธอหันหลังกลับมายิ้มให้ผมราวกับจะได้ยินเสียงนั้น
 
นับตั้งแต่วันนั้นมา โรคใหม่ ที่ เกิดขึ้นกับผมแบบเรื้อรัง คือ โรคคิดถึงบ้านอย่างแสนสาหัส อาการของโรคมักจะปรากฏอาการในความฝัน ภาพของนกลาร์ค สวนหลังบ้าน เจ้าบ๊อบบี้ แม่ พี่สาว ดอกนาซีซัส วนไปวนมา และมักจะทำให้ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก ก่อนจะมึนงง เครียดจนนอนไม่หลับ จนต้องลุกขึ้นมาถ่างตา อ่านหนังสือสลับกับ อ่านจดหมายและโปสการ์ดจากเมืองไทยซ้ำไปซ้ำมา นอกจากนี้ยังมีโรคใหม่อีกโรคเข้ามาแทรก แต่เป็นโรคที่ผมกลับชอบเสียด้วย นั่นคือ การคิดถึง มาเรียน ถึงแม้จากวันนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันอีกอย่างจริง ๆ จัง ๆ
 
.......................................................
 
3
 
 
“วัฒน์ จำตาแก่ เฮร์เดอร์ ที่อยู่อาพาร์ตเมนต์ถัดจากบ้านของเราได้เหรือเปล่า ?”
 
ป้าอันนากล่าวทักผมเป็นประโยคแรกเมื่อผมก้าวออกจากประตูบ้านมานั่งกินกาแฟ ขนมปังปิ้งและซุปข้าวโพดที่จัดเตรียมไว้ให้ที่เฉลียงหน้าบ้าน ลุงเเม็กซ์ ยืนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้อยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่นับได้ว่าเป็นมิตรที่ดีของ ลุงสไตน์เวลล์ เป็นเวลาสิบ ๆ ปี ส่วนลุงสไตน์เวลล์เป็นหมอและได้ย้ายไปอยู่เมืองสยามจนรู้จักมักจี่กับพ่อของผมเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อได้รับการฝากฝังจากเพื่อนของพ่อให้ดูแลผม คนทั้งคู่ก็ทำอย่างที่ได้รับปากอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน จนมาถึงปัจจุบัน
 
ป้าอันนา ผู้หญิงร่างท้วมใหญ่ ดูเข้ากันกับอารมณ์ที่ดีอยู่เป็นนิจและการพูดซึ่งมักเต็มไปด้วยการประกอบท่าทาง อาจเพราะตอนเป็นเด็ก แกเคยแสดงเป็นตัวประกอบในโรงละครตลก แต่สามีของแกกลับเป็นชายร่างผอม หลังโก่งจนเห็นกระดูกโปนขึ้นมาผ่านเสื้อสีขาวบางๆ ดูเข้ากันดีกับ หนวดโง้งของแกที่เป็นตามแฟชั่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่แล้ว เวลาที่แกพูดกับใคร นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะจ้องเขม็ง เป็นประกายของคนที่หยั่งรู้โลก แกมักจะชอบก้มหน้าทำงานอยู่เงียบ ๆ คอยฟังคำพูดที่พรั่งพรูจากปากของผู้เป็นภรรยาอย่างตั้งใจและพร้อมจะขัดคอได้เมื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์
 
เมื่อเราทั้งคู่ไปปีนเขาที่ต่างจังหวัดด้วยกันบ่อยครั้งที่ผมสามารถแลเห็นความซาบซึ้ง ปีติที่แกมีต่อความงดงามของธรรมชาติรอบตัว เช่นเดียวกับตัวผมเอง เราจึงสามารถนอนเล่นลงบนทุ่งหญ้าและเฝ้ามองบรรยากาศรอบตัวได้เป็นวัน ๆ โดยมากเราจะถกเถียงกันเรื่องของดนตรีโดยเฉพาะอุปรากรซึ่งรสนิยมของทั้งผมและลุงจะต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือผมชอบอุปรากรแบบอิตาเลี่ยนแต่ลุงจะชอบของวาคเนอร์เป็นชีวิตจิตใจ
 
“รู้จักสิครับ วันก่อน แกยังทำผมหน้าชาเลย”
 
ผมตอบอย่างค่อยไม่สนใจนัก นั่งลงยกกาแฟขึ้นดื่มและหยิบหนังสือพิมพ์หน้าปกเป็นรูปทหารเดินสวนสนามผ่านหน้าท่านผู้นำ ขึ้นอ่าน
 
“แกตายแล้วน่ะสิ”
 
ผมสำลักกาแฟ หน้าชาขึ้นมาทันที
 
“แกตกจากระเบียงของเฉลียงชั้นสองลงมาคอหักตายเมื่อคืน ไม่มีใครรู้เลยจนถึงเช้ามืด แม่บ้านเดินมาพบเข้าถึงกับลมใส่ น่าจะตกลงไปเองนะ สติสะตังก็ไม่ค่อยดีเสียด้วย”
 
ผมนิ่งเงียบ ในสมองกำลังสร้างภาพอันพิศดารขึ้นมา มีฉากเป็นหน้าต่างของห้อง ๆ นั้นโดยมองผ่านจากเฉลียง ผมเห็น เฮร์เดอร์กำลังนั่งบนเก้าอี้โยก สูบบุหรี่ อย่างเพลิดเพลิน เจ้าแมวตัวอ้วนสีทอง นอนหลับอยู่ใกล้ ๆ สักครู่แกก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง มีชายสองคนใส่ชุดโอเวอร์โค๊ทสีเทาพร้อมกับหมวกที่ถูกดึงต่ำลงปิดหน้าเดินผลักประตู เบียดแกเข้ามาในห้อง
 
ทั้งสองฝ่ายคุยกันสักเล็กน้อยก่อนที่หนึ่งในสองอาคันตุกะลึกลับจะอ้อมไปข้างหลังชายชราพร้อมกับเอาผ้ามาปิดปากแกซึ่งพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงเกิดจนโต๊ะพลิกคว่ำ เหยือกน้ำและแก้วตกลงมาแตกกระจาย แต่ก็ต้านแรงของทั้งคนหนุ่มทั้งคู่ไม่ได้ แมวตกใจลุกขึ้นขู่ฟอด ๆ เมื่อเฮร์เดอร์นิ่งเงียบไป ทั้งคู่ก็แบกร่างเขามาที่เฉลียง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนผ่านไปผ่านมา เขาทั้งคู่ก็ปล่อยร่างของชายชราลงข้างล่าง โดยให้หัวทิ่มลงไปก่อน
 
มีคนเอื้อมมือมาสะกิดแขนผม ผมสะดุ้งสุดตัว บรรยากาศรอบข้างกลับมาเป็นสวนหลังบ้านในตอนสาย เหมือนเดิมและเจ้าของมือก็คือป้าอันนานั่นแหละ
 
“เป็นอะไรไปน่ะ เห็นเธอชะงักไปเหมือนกับจะเป็นลม เหงื่อท่วมตัวแนะ ไม่สบายหรือไร”
 
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตาเฒ่าเฮร์เดอร์เสียเอง แต่ ตอนนี้ตายแล้วเกิดใหม่
 
“บางที เฮร์เดอร์อาจจะไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุก็ได้นะป้า”
 
ผมพูดเบา ๆ ไม่ใช่กับป้า แต่กับตัวเอง ชะตากรรมของ เฮร์เดอร์ คงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับความยิ่งใหญ่ของ ความเป็นชาติ ที่ถึงแม้จะสูญเสียชีวิตของพวกริ้น ไร สัก ตัวสองตัวหรือ ร้อย ตัว พันตัว หรือหมื่นตัวก็คงจะไม่มีผลอะไร กลับจะเป็นผลดีเสียอีกสำหรับ จิตวิญญาณแห่งอาณาจักรไรซ์ที่สาม เรื่องที่น่าเศร้าคือทั้งสองคนเป็นคนแก่ที่ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับใครได้นอกจากจะส่งเสียงนกเสียงกาหรือ ลายเส้นจากปากกาที่ขัดแย้ง อำนาจ แค่นั้น
 
-ไม่แน่นะ ในอนาคต แกก็อาจจะโดนแบบสองคนนั้นก็ได้
 
มีเสียง ๆ หนึ่งดังจากจิตใต้สำนึกของผม
 
ลุงแม็กซ์ หยุดใช้กรรไกรแต่งกิ่งไม้เดินมานั่งที่โต๊ะ แล้วมองผมอย่างพินิจ
 
“เธอคงไม่รู้สึกนะว่า ตาแก่เฮร์เดอร์ กับ ชไนเดอร์เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
 
ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่า ทั้งสองคนตอนหนุ่มต่างเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน เมื่อพรรคมีความขัดแย้งมาก ทั้งสองก็ได้ปลีกตัวมาอยู่ห่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นเวลานานแล้วก็ตาม แต่มันไม่นานพอสำหรับจะลบชื่อของพวกเขาออกจากบัญชีดำของพวกเกสตาโปไปได้ ลุงอาจจะเห็นบางสิ่ง อย่างที่ผมเห็นเมื่อกี้
 
ป้าอันนาซึ่งปกติไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับ การบ้านการเมืองนัก นอกจากละครวิทยุถามแทรกเข้ามา
 
“ทำไม เพื่อนอาจารย์ด้วยกันไม่ช่วย โปรเฟสเซอร์ชไนเดอร์ล่ะ?”
 
“คนไหนกันครับ ?”
 
ผมนึกถึงหนังสือต้องห้ามหลายเล่มที่ถูกตัวเองเผาและนำซากไปฝังไว้หลังบ้าน เรียบร้อยแล้ว
 
“ก็คุณหนูมาเรียนคนที่เป็นลูกสาวของท่านนายพลชลินเดอร์อย่างไรล่ะ เห็นว่ามาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาของเธอมาหลายเดือนแล้วไม่ใช่หรือ”
 
“มันเป็นเรื่องภายในของพวกตำรวจลับนะคุณ ต่อให้เจ้าจอมพลเกอรริ่งก็ช่วยไม่ได้ นอกจากท่านผู้นำคนเดียว” ลุงแม๊กซ์ขัดคอขึ้นมาอย่างรำคาญ
 
“โอ้ย นึกถึงตอนป้าเป็นสาว ไม่อยากจะอวดเลยนะว่าป้าเคยทำงานที่บ้านของท่านด้วย ตอนนั้นคุณพ่อของคุณมาเรียนยังเป็นพันเอกอยู่ที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ตอยู่เลย คุณหนูช่างน่ารักเหลือเกิน ป้ายังเคยช่วยหวีผม และแต่งหน้าให้เธออยู่เลย เธอนี่ขาวผ่อง ใสสะอาด หน้าตาเหมือนยังกับตุ๊กตา เลย ช่างเป็นครอบครัวที่สง่างามจริง ส่วน ท่านผู้หญิงก็ไม่ต่างอะไรกับราชินีคู่กับ ท่านไกเซอร์ ผู้องอาจ”
 
ป้าแหงนหน้าขึ้นกุมมือทำเสียงสูงเสียงต่ำ ทำท่าเหมือนนางตัวประกอบละครเวที แต่ผู้เป็นสามีทำท่าฮึดฮัด ด้วยความหมั่นไส้คว้ากรรไกรไปทำงานต่อ ส่วนผมอ้าปากหวอ
 
“ป้าคงทำงานให้กับครอบครัวนี้หลายปีนะสิครับ ?”
 
“ เปล่า ป้าทำงานแค่สามเดือนเอง”
 
ป้าหยุดทำท่า แล้วตอบหน้าตาเฉย
 
ผมจะหัวเราะเลยเฉไฉทำเป็นจิบกาแฟ
 
“เออ แต่เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งนะ คุณผู้หญิงเคยเล่าให้ป้าถึงตอนที่คุณหนูเกิดมานะ จำได้ว่าเป็นช่วงฤดูร้อนที่อบอ้าวมาก แต่ว่า ตอนที่ท่านผู้หญิงเกิดปวดท้องคลอด ปรากฏสายรุ้งขึ้นพาดขึ้นมาที่เส้นตัดระหว่างภูเขากับขอบฟ้า ทั้งที่แถบนั้นไม่มีฝนตกแม้แต่สักเม็ดเดียว แถมที่ตอนที่คุณหนูเกิดขึ้น มีฝูงนก … นกอะไรนะ ? จำไม่ได้เสียแล้ว”
 
“นกลาร์ค”
 
ผมช่วยตอบแทน ป้าหันมามองอย่างฉงน
 
“ใช่ ๆ เธอรู้ได้อย่างไรล่ะ ? ”
 
แล้วก็พล่ามต่อไปอย่างไม่สนใจคราวนี้ ป้าทำท่าเหมือน นางละครอีกแล้ว
 
“ นกลาร์คสองสามตัว เอาแต่บินไปมาอยู่นอกหน้าต่างเป็นชั่วโมง ๆ ไล่ก็ไม่ไป เมื่อมีใครบางคนเผลอเปิดหน้าต่าง พวกมันก็เข้ามาบินอยู่เหนือหัวของ คุณหนูอยู่หลายรอบ”
 
ผมหยุดทำทุกอย่าง มองป้าอันนา เขม็ง ส่วนลุงเเม๊กซ์ส่ายหัวและหัวเราะ
 
“จากนั้นพวกเราในบ้านต่างก็สามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นคืนวันหนึ่งที่ เพื่อนคนใช้ของป้าเห็นเหมือนร่างตะคุ่ม ๆ ของหญิงสาวชุดสีขาว มีปีกเดินขึ้นจากบันไดไปที่ห้องของคุณหนู แต่เมื่อเข้าไปดูก็ไม่มีใครนอกจาก คุณหนูนอนหลับอยู่คนเดียว”
 
“น่าขนลุก”
 
ลุงแม๊กซ์ตะโกนสวนมาด้วยน้ำเสียงประชด
 
ป้าค้อนสามีวงใหญ่ แล้วหันมาพูดกับผมอีก
 
“ป้าจำได้ถึงครั้งหนึ่งที่ป้าได้รับมอบหมายให้อาบน้ำคุณหนู วันนั้นเป็นวันที่ร้อนมาก ป้ารินน้ำจากกามาใส่ในอ่างแล้วค่อย ๆ อุ้มคุณหนูออกจากเตียง มาไว้ที่อ่าง ดูเธอเฉย ๆ ไม่ดิ้นรน ไม่ตื่นเต้นเลย ป้าก็ประคองร่างของคุณหนูลงในน้ำ เอาสบู่มาฟอกทั่วตัวแล้วก็ล้าง ป้าสาบานได้ว่าตอนที่กำลังลูบไล้ต้นขาของเธอ จู่ ๆ ป้าก็รู้เหมือนกับว่ามีพลังอะไรบางอย่างซึมซับเข้ามาที่มือของป้า จนป้าขนลุกซู่ไปทั่วตัว คล้ายไฟดูดนั่นแหละ แต่รู้สึกได้ว่า สายตาพร่ามัว เลือดลมไหลเร็ว ป้าน้ำตาไหล นึกถึงแม่ที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ”
 
ผมอดนึกถึงวันที่ห้องชมรมดนตรีไม่ได้
 
“ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ถูกว่าทำไม นึกถึงตอนที่ป้าเป็นเด็กเท่าคุณหนู และแม่ก็คอยประคองอาบน้ำให้ พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงกระซิบที่อ่อนหวาน ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นในห้องก็มีลำแสงส่องลงมาและมีเสียงนกร้องดังมาจากข้างหน้าต่างด้วย ป้าเริ่มร้องไห้ อาบน้ำให้คุณหนูไม่เสร็จ ต้องไปเรียกเพื่อนให้มาอาบให้แทน”
 
“แล้วเพื่อนเจอแบบที่ป้าโดนไหมครับ ?”
 
“แปลก มันกลับไม่โดนนะ หลังจากนั้นไม่นานป้าก็ต้องลาออก ออกไปแต่งงานกับผู้ชาย ที่บ้านเค้าหาให้ เป็นผู้ชายเซ่อ ๆ คนหนึ่ง”
 
ป้าอันนาหันมาชำเลืองมองที่ลุง บังเอิญลุงก้มลงไปตักเอาดินขึ้นมาจึงไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย แต่แล้วก็ตะโกนเสียงดังลั่น
 
“ฉันจำได้ว่าเป็นละครวิทยุเรื่องหนึ่งนี้นา อันนาพอแล้ว ไปซักผ้าได้แล้ว แดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ!!! ”
 
..............................................

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  1.บวรศักดิ์ อุวรรณโณคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญของตนนั้นเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความต่อไปนี้บางส่วนเอามาจากบทความของคุณเดวิด เบอร์นาร์ด จาก http://www.chambersymphony.com/   เข้าใจว่าโซโฟนีหมายเลข 7 นี้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความนี้ได้รับการแปลและตัดต่อบางส่วนจากเว็บ The History Place:World War in Euroe ผู้เขียนไม่ทราบชื่อ  บทความนี้ยังถูกนำเสนอเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของฮิตเลอร์เมื่อ 70 ปีที่แล้ว (30 เมษายน ปี 1945) เช่นเดียวกับก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 คงมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถสะท้อนความคิดทางปรัชญาอันลุ่มลึกและมักทำให้ผมระลึกถึงอยู่เสมอเวลาดูข่าวต่างๆ หรือไม่เวลาพบกับเหตุการณ์ทางการเมือง ภาพยนตร์เหล่านั้นนอกจากราโชมอนของ อาคิระ คุโรซาวาแล้วยังมี Being There ที่ภาพยนตร์สุดฮิตอย่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1. กลุ่มกปปส.ต่อหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์คิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1. เพลง  Give It Up ของวง  KC&Sunshine Band  (ปี 1983)  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.Don Giovanni คีตกวี วู๊ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  The Pianist ซึ่งกำกับโดยโรมัน โปลันสกีถูกนำออกฉายในปี 2002  และได้รับการยกย่องรวมไปถึงรางวัลออสการ์และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อพูดถึงเพลงคลาสสิก ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของทุกคนก็คือผู้ชายหรือไม่ก็เด็กชายฝรั่งสวมวิคแต่งชุดฝรั่งโบราณกำลังเล่นเปียโนอยู่ หากจะถามว่าคนๆ นั้นคือใคร ทุกคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ โมสาร์ต คีตกวีผู้มีชื่อเสียงมากที