Skip to main content
 

นายยืนยง



ชื่อหนังสือ
          :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ
ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)
ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ. 2547
จัดพิมพ์โดย        :           สำนักพิมพ์ วสี ครีเอชั่น

เป็นความบังเอิญทีเดียวที่ทำให้ฉันสนใจหนังสือเล่มหนึ่ง ค่อนข้างหนาขนาดที่นอนอ่านจะทุลักทุเลน่าดูชม ยิ่งถ้าเผลอหลับอาจต้องศัลยกรรมดั้งจมูกโดยด่วน หนังสือนั้นจะว่าเป็นนิยายก็ใช่ เพราะผู้แต่งเขียนอย่างมีลีลาวรรณศิลป์ สำนวนภาษาเข้าขั้นปรมาจารย์ก็ว่าได้ หากจะว่าเป็นสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ก็ไม่ผิดอีก เนื่องจากตัวละครและเหตุการณ์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มีตัวตนอยู่จริงในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นคณาธิปไตย เอ้ย ประทานโทษ ประชาธิปไตย ต่างหาก

อีกกระทงหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นอัตชีวประวัติของผู้แต่งด้วย

พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ คือหนังสือเล่มดังกล่าว โดย อ.ก. รุ่งแสง (โพยม โรจนวิภาต) เป็นผู้แต่ง กล่าวถึงอ.ก.รุ่งแสง แม้เคยได้ยินผ่านหู แต่ไม่ค่อยคุ้น เพิ่งมารู้จากหนังสือเล่มนี้เอง เขาเป็นนักเขียนคนสำคัญ 1 ใน 10 ของคณะสุภาพบุรุษ ร่วมสมัยกับศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) และ พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ เล่มนี้เคยเผยแพร่มาครั้งหนึ่งแล้วในนิตยสาร ฟ้าเมืองไทย

การอ่านหนังสือเล่มนี้จะไม่มีมรรคผลงอกงามเลย นอกเสียจากได้อ่านชีวประวัติสายลับคนสำคัญของรัชกาลที่ 7 ที่ฝ่าฟันอุปสรรคฉกาจฉกรรจ์ในช่วงบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงขนานหนัก แต่ฉันกลับพบว่าจะไม่เป็นธรรมเลย หากอ่านประวัติศาสตร์จากฝ่ายกษัตริย์นิยม หรือรอยัลลิสต์ ฝ่ายเดียว และเพื่อขยายอาณาเขตความคิดอ่านของเรา จึงต้องแสวงหาหนังสือประวัติศาสตร์จากผู้แต่งท่านอื่น นำมาสังสรรค์กันให้ชุลมุนไปหมด จะว่าสนุกก็ใช่ แต่ออกจากปวดตามาก ทำให้พึ่งยาเสพติดประเภทแก้ปวดกล้ามเนื้อ

จำได้ว่าเคยอ่านจากหนังสือที่จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ ที่วิเคราะห์ถึงกรณีรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชย์สมบัติ ซึ่งคณะผู้แต่งได้จำแนกกลุ่มแนวคิดไว้เป็น 3 กลุ่มคร่าว ๆ ได้แก่ กลุ่มกษัตริย์นิยม กลุ่มสนับสนุนคณะราษฎร (คำว่า คณะราษฎร นี้ อ.ก.รุ่งแสง ใช้ คณะราษฎร์ มีตัวการันต์กำกับที่รอเรือ แต่ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ใช้ คณะราษฎร ไม่มีการันต์ ท่านให้เหตุผลว่า มาจากราษฎร นั่นเอง) และสุดท้าย กลุ่มเป็นกลาง ๆ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนจึงหาหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่พบเป็นครั้งที่สอง น่าเสียดายจริง ๆ

ด้วยเหตุผลของความเป็นธรรม ฉันจึงต้องอ่านหนังสือของแต่ละกลุ่มมาประกอบด้วย นอกเหนือจากความเป็นธรรมแล้ว ฉันคิดว่าอย่างน้อย การอ่านหนังสือหลายเล่มในหัวข้อเดียวกัน ทำให้เราชั่งตวงวัดปริมาตรความคิด อารมณ์ได้แม่นยำกว่าจะเลือกอ่านเล่มใดเล่มหนึ่ง

เข้าเรื่องสายลับ พ.๒๗ ดีกว่า

พ.๒๗ สายสับพระปกเกล้าฯ  โดย อ.ก.รุ่งแสง (โพยม โรจนวิภาต) มี สัมพันธ์ ก้องสมุทรเป็นบรรณาธิการ
จัดพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์ วสี ครีเอชั่น รวม 1 เล่มจบ พ.ศ. 2547
นายโพยม โรจนวิภาต ผู้แต่งเป็นข้าราชการสำนักในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก (พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) เป็นบันทึกชีวประวัติของข้าราชการสำนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปฏิบัติราชการลับในฐานะสายลับ รหัส พ.๒๗ เป็นรหัสประจำตัว

มีจุดมุ่งหมาย คือ ทำหน้าที่พิเศษสอดส่องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวปฏิกิริยาของราชวงศ์สมัย ร.7 ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทย พ.ศ. 2475 - 2476 (ยุคประชาธิปไตยอลวน ผ่านไปสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ลุกลามมาเป็นสงครามเอเชียบูรพา พ.๒๗ ปฏิบัติหน้าที่สำคัญในแผนกสงครามจิตวิทยาของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยผู้แต่งแบ่งเป็นภาคที่ 1- 4 มีชื่อตอนกำกับเสร็จ

อ.ก.รุ่งแสง ได้เปิดทัศนะเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เข้าทำนองประกาศเจตนารมณ์เลยทีเดียว เขาเขียนเกริ่นนำในตอนแรกว่า

เจ้าฟ้าชายประชาธิปศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา หรือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 กษัตริย์ซึ่งถูกยึดอำนาจโดยการนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เพื่อดำเนินการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่พระยาพหลฯ และพวกปกครองโดยวิธีคณาธิปไตย การกบฏซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชจึงอุบัติขึ้น ทำให้พระองค์ทรงอยู่ในฐานะที่ลำบากมากในระหว่างพวกกบฏซึ่งมีราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ไปเกี่ยวข้องด้วยกับรัฐบาลคณะปฏิวัติ โดยฝ่ายรัฐคณะปฏิวัติเข้าใจว่าพระองค์อาจมีส่วนสนับสนุนฝ่ายกบฏด้วย

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังสือเล่มนี้เขียนโดยกลุ่มนิยมกษัตริย์ ซึ่งนี่ไม่ใช้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด  

โปรดทำความเข้าใจด้วย เพราะในที่นี้หรือที่ไหน หรือเหตุการณ์นี้หรือเหตุการณ์ไหน เราคงตัดสินแน่วแน่ลงไปโดยไร้ข้อโต้แย้งว่า ใครเป็นผู้ร้าย ใครเป็นพระเอก หรือใครจะเดินทางสายกลาง (เหยียบเรือสองแคม) ทั้งนี้ไม่ใช่เหตุผลด้านมุมมองหรือเป็นเรื่องอัตวิสัยเท่านั้น และหากจะว่ากันตามข้อเท็จจริง

ตามหลักฐานปฐมเหตุโดยไม่สืบสาวราวเรื่อง ความจริงอันเป็นที่ประจักษ์ย่อมไม่ใช่ความจริงในขั้นสัจจะที่ไร้ข้อโต้แย้ง (สัมบูรณ์)  แต่อาจเป็นความจริงในเชิงตรรกะเท่านั้น ยังมีหลายส่วนที่อ.ก.รุ่งแสง เขียนในทำนองเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว เช่น "ส่งปืนกลและทหารรักษาวังเพิ่มไปวังไกลกังวล" ให้ประชาชนเข้าใจว่ากษัตริย์สะสมอาวุธไว้เพื่อยึดอำนาจคืนจากคณะราษฎร์ ยังมีการปรุงแต่งข่าว "ตกบันไดพลอยโจน" มั่งล่ะ หรือในหน้า 195

มีความพยายามกลั่นแกล้งกษัตริย์ โดยให้กรรมกรคนหนึ่งชื่อ นายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระปกเกล้าฯ เป็นจำเลยในศาล เรื่องนายคนนี้เช่าห้องแถวของกรมพระคลังข้างที่พักอาศัย แล้วไม่ชำระค่าเช่า ครั้นถูกทวงถามตามระเบียบของเจ้าหนี้ กรรมกรคนนี้ก็ยื่นฟ้องว่าพระมหากษัตริย์ว่าหมิ่นประมาท ฯลฯ เป็นที่ทราบกันว่า พวก "สลาตินนิยม" สนับสนุนการบังอาจครั้งนี้ด้วยการจัดหาทนายโดยตลอด

ในวิถีโลดโผนของสายลับ พ.๒๔ นี้ ได้เล่าย้อนเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ถึงรัชกาลที่ 4 ที่พระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแบบอารยะประเทศหลายประการ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พระองค์ทรงเริ่มออกพระราชกำหนดกฎหมาย เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 และทรงร่างเอง มีฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนา เป็นตัวอย่างวิธีการแบบประชาธิปไตย มาถึงรัชกาลที่ 5 เช่นนี้แล้วทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามที่คิดว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ปรารถนาประชาธิปไตยนั้น จะเป็นฟังขึ้นหรือไม่

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ขออนุญาตยกมากล่าวถึง คือกบฏบวรเดช หรือในนามกบฏเก้าทัพ ที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติของคณะราษฎร์ ปี 2475 ฉันขอยกส่วนหนึ่งของบทความที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ (เดือนกุมภาพันธ์ 2552) ของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มาแสดง เพื่อลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง

2475 ปฏิวัติโดยคณะราษฎร อันประกอบด้วย อำมาตยาเสนา ข้าราชการ พลเรือนและนักกฎหมาย ยึดอำนาจจาก "พระราชา" (ร.7)

2476 รัฐประหารซ้ำ 20 มิ.ย. รัฐประหารซ้ำ เมื่อ 20 มิถุนายน โดยคณะราษฎร์ทำการล้มรัฐบาลที่มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ตัวแทน" (ที่ควบคุมไม่ได้) ของ "คณะเจ้า"

และปีเดียวกันนี้ มีรัฐประหารซ้อน หรือกบฏบวรเดช (พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม) ที่นำโดยอดีตเสนาบดี กลาโหมของ "พระราชา" (ร.7)

2477-2478 รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชย์สมบัติ รัฐบาลของคณะราษฎรขาดเสถียรภาพอย่างยิ่ง รัฐบาลสนับสนุนและดันกระแส "ลัทธิอำมาตยาเสนาชาตินิยม" อันมีแกนกลางอยู่ที่เชื้อชาติไทย แทนราชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ยกย่อง "เอกลักษณ์" ของชนชาติไทย กดทับพหุลักษณ์และความหลากหลายของเชื้อ ชนชาติอื่น ๆ อันหลากหลายที่มาแต่ดั้งเดิม

2482 สงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในยุโรป นายกฯหลวงพิบูลสงครามเปลี่ยนนามประเทศจากสยาม เป็นไทย (Siam เป็น Thailand) และเรียกร้องให้มีการปรับพรมแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชาของฝรั่งเศส ที่ทำกันไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

อ.ก.รุ่งแสง เขียนเกี่ยวกับการก่อกบฏบวรเดชไว้อย่างละเอียดลออ เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ในฐานะสายลับ แถมมีพี่ชายที่คลานตามกันมาเป็นหนึ่งในกระบวนการด้วย

หน้า 154 จากการค้นคว้าและสอบหลักฐานแล้ว ปรากฎว่าพระวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชเป็นคนต้นคิดแผนการยึดอำนาจครั้งนั้น จริงหรือไม่ว่าเพราะความผิดพ้องหมองพระทัยกัน   ระหว่างสมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ กับพระองค์เจ้าบวรเดช พระองค์เจ้าบวรเดชจึงคิดแผนการที่จะยึดอำนาจการปกครองโดย "จงใจ" ที่จะปลดอำนาจสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นการแก้แค้น? จริงเฉพาะ เรื่องหมองหมางกัน ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าพระองค์เจ้าบวรฯ จะทรงคิดปฏิวัติเช่นนั้น ก็ต้องทำด้วยเหตุผลอย่างอื่น

ขณะที่หนังสือเล่มอื่นได้เขียนในทำนองว่า การคิดกบฏต่อรัฐบาลของพระองค์เจ้าบวรฯ จะว่าทำไปเพราะทนไม่ได้ที่กษัตริย์ถูกริบรอนอำนาจ ก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด บางเล่มว่ายังคลุมเครือ บางเล่มมีการเขียนว่าก่อนเกิดเหตุการณ์พระองค์เจ้าบวรฯ ไปเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 7 ถึงวังไกลกังวล หัวหิน และได้เงินมาสองแสนบาทเพื่อการนี้อีกด้วย ขณะที่อ.ก.รุ่งแสง เขียนว่าขณะที่เขาเป็นสายลับได้สืบสาวถึงขั้นทราบละเอียดในแผนการเชิงยุทธวิธีของคณะกบฏ มีใครเป็นผู้ร่วมงานกี่คน ๆ แล้วยังส่งข่าวถึงพระองค์ก่อนเหตุการณ์จะเกิดอีกด้วย

ในฐานะผู้อ่าน (อย่างฉัน) มีแต่จะงงงวยมากขึ้น ไม่รู้จะฟังใคร หากถือคติไม่รู้มากก็ไม่ทุกข์ก็ดีไป เพราะนอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีเกร็ดที่น่าอ่านอีกเพียบ เช่นในหน้า 80

กล่าวถึง หอวัง' ผลิตแพทย์ วิศวกรและนักปกครองมาหลายสมัย จนภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ปี 2475 วังเจ้านายถูกถือว่าไม่มีความหมายใด ๆ หอวังจึงถูกทำลายอย่างราบเรียบไม่เหลืออิฐสักก้อน ต้นไม้สักต้น เพื่อสร้างเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ชื่อสนามศุภชลาศัย ตามราชทินนาม หลวงศุภชลาศัย ผู้ดำริสร้าง หอวัง'  แต่เดิมคือวังของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระเชษฐาของทูลกระหม่อม เมื่อท่านเจ้าของวังทิวงคตแล้ว วังนี้จึงทำหน้าที่เป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอวังเป็นสถาปัตยกรรมคล้ายพระราชวังวินเซอร์ แต่ย่อขนาดลงเป็น 1 ใน 7 ส่วน

ส่วนที่จะยกมาอีกนี้ เป็นการแสดงถึงสำนวนโวหารอย่างนักประพันธ์ของ อ.ก.รุ่งแสง ซึ่งต่อให้ไม่มีใครรับประกันฝีไม้ลายมือ เขาก็เขียนได้น่าอ่าน

หน้า 149 ภายหลัง 24 มิถุนายน 2475 เมื่อมีการปฏิวัติก็ต้องมีปฏิกิริยาติดตามมาเหมือนเงาตามตัว ฝ่ายที่ได้ครองอำนาจก็พยายามรักษาอำนาจที่ถือว่าได้มาโดยเสี่ยงอันตรายนั้นอย่างเต็มที่ ความหวาดระแวงว่าจะถูกแย่งอำนาจกลับคืนไป ถึงกลายเป็นโรคประจำตัวอยู่ตลอดกาล นั่นคือปฏิกิริยาของฝ่ายก่อการปฏิวัติ เพื่อความปลอดภัยจึงกำเนิดอำนาจตำรวจแบบ Police State รัฐที่ปกครองด้วยอำนาจตำรวจ ผู้วิจารณ์อาจถูกจับไปคุมขังได้ง่าย ๆ จนเกิดศัพท์ใหม่ว่า โอษฐภัย ผู้ที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ พวกกษัตริย์นิยม (รอยัลลิสต์)

นอกจากนี้อ.ก.รุ่งแสงยังได้แสดงให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองสมัยต้นของระบอบประชาธิปไตยเอาไว้หลายร้อยเล่มเกวียน อย่างที่เราคุ้นกันแค่ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ก็ใช่ หรือที่เขียนว่า "เสร็จศึกบวรเดชแล้วจึงมีคติเตือนใจกันไว้ว่า ใครที่คิดปฏิวัติจงอย่าได้คบกับตำรวจเป็นอันขาด"

อย่างว่านั่นแหละ หนังสือเล่มใหญ่ต้องใช้เวลาอ่าน แต่อ่านแล้วจะพบเจอกับอะไรนั้น จะให้บรรณาธิการรับประกันก็ไม่ถูกเรื่อง เอาเป็นว่าอ่านเอาเพลิดเพลินจำเริญใจเป็นขั้นหนึ่งล่ะ ส่วนใครจะได้มรรคผลวิเศษกว่าใครนั้น สุดแท้แต่อัตวิสัยของใครของมัน และ ฉัน ผู้อ่านที่ติดกับดับความอลเวงอลวนของประวัติศาสตร์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ (ดังคำทำนายของโหราศาสตร์เมื่อสมัยต้นราชวงศ์จักรีที่ว่า ราชวงศ์นี้จะมีอายุไม่เกิน 150 ปี ซึ่งตกอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 7 พอดี) ก็ต้องหามาอ่านอีกหลายเล่ม โดยเฉพาะที่ถูกกล่าวขานอย่างเลอเลิศในแวดวงนักอ่าน เช่นผลงานของสุพจน์ ด่านตระกูล ในเล่ม นายปรีดี พนมยงค์ กับในหลวงอานันท์ฯ และกรณีสวรรคต หรือพลิกแผ่นดิน ประวัติการเมืองไทย ของ ประจวบ อัมพะเศวต เล่มที่ให้รายละเอียดยิบ ๆ มีกระทั่งใครผ้าขะม้าหลุดโน่นเลย ใครนินทาใครก็ปรากฏอยู่ด้วย เรียกว่าอ่านมันอ่านเพลินอีกเล่ม หรือผลงานของชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่เขียนปกในไว้ว่า

แด่ นายปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร ผู้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ และระบบประชาธิปไตย

อย่างไรเสีย โปรดติดตามอ่านอีกหนึ่งตอนนะ.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2536 ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร ผู้เขียน : ดอกเกด ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์ ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess) ผู้เขียน : ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett) ผู้แปล : เนื่องน้อย ศรัทธา ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน ปีกลายที่ผ่านมา มีหนังสือขายดีติดอันดับเล่มหนึ่งที่สร้างกระแสให้เกิดการเขียนหนังสืออธิบาย เพื่อตอบสนองความสนใจผู้อ่านต่อเนื่องอีกหลายเล่ม ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์เอย ด้านมายาจิตเอย ทำให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องความคิดเป็นจริงเป็นจัง หนังสือเล่มดังกล่าวนั่นคงไม่เกินเลยความคาดหมาย มันคือ เดอะซีเคร็ต ใครเคยอ่านบ้าง?…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ ชวนอ่านเรื่องสั้นมหัศจรรย์ ปลายกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ข่าวสารที่ได้รับค่อนไปทางรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปทั่วโลก ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นร่วงรูดเป็นประวัติการณ์ ชวนให้บรรดานักเก็งกำไรอกสั่นขวัญแขวน ไม่กี่วันจากนั้น รัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้ใช้อำนาจทำร้ายประชาชนอย่างไร้ยางอาย ตลอดวันที่ 7 ตุลาคม 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม สำนักพิมพ์ : นิลุบล ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ... แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ทั้งโลกเป็นเช่นนี้ ผู้เขียน : ชมัยภร แสงกระจ่าง ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ คมบาง เมื่อคืนพายุฝนสาดซัดเข้ามาทั่วทิศทาง กระหน่ำเม็ดราวเป็นคืนแห่งวาตะภัย มันเริ่มตั้งแต่หกทุ่มเศษ และโหมเข้า สาดเข้า ถ้าเป็นหลังคาสังกะสี ฉันคงเจ็บปางตายเพราะฝนเม็ดหนานัก มันพุ่งแรงเหลือเกิน ต่อเนื่องและเยือกฉ่ำ ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผชิญกับความกลัวที่ว่าบ้านจะพังไหม? ตัดเรือน เสา ที่เป็นไม้ (เก่า) ฐานรากที่แช่อยู่ในดินชุ่มฉ่ำ โถ..บ้านชราภาพจะทนทานไปได้กี่น้ำ นั่งอยู่ข้างบนก็รู้หรอกว่า ที่ใต้ถุนนั่น น้ำคงเนืองนอง…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย ผู้เขียน : ว.วินิจฉัยกุล ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง        ชื่อหนังสือ : อาหารรสวิเศษของคนโบราณ      ผู้เขียน : ประยูร อุลุชาฎะ      ฉบับปรับปรุง : กันยายน 2542      จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แสงแดดใครที่เคยแก่อายุเข้าแล้ว พออากาศไม่เหมาะก็กินอะไรไม่ถูกปาก ลิ้นไม่ทำหน้าที่ซึมซับรสอันโอชาเสียแล้ว อาหารจึงกลายเป็นเรื่องยากประจำวันทีเดียว ไม่เหมือนเด็ก ๆ หรือคนวัยกำลังกินกำลังนอน ที่กินอะไรก็เอร็ดอร่อยไปหมด จนน่าอิจฉา คราวนี้จะพึ่งแม่ครัวประจำตัวก็ไม่เป็นผลแล้ว ต้องหาของแปลกลิ้นมาชุบชูชีวิตชีวาให้กลับคืนมา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall ) ผู้เขียน : แพทริเซีย แมคลาแคลน ผู้แปล : เพชรรัตน์ ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน หากใครเคยพยายามบ่มเพาะให้เด็กมีนิสัยรักหนังสือ รักการอ่าน ย่อมเคยประสบคำถามจากเด็ก ๆ ของท่านทำนองว่า หนังสือจำเป็นกับชีวิตมากปานนั้นหรือ? เราจะตายไหมถ้าไม่อ่านหนังสือ? หรือเราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ไม่อ่านหนังสือจะได้ไหม? กระทั่งบ่อยครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบอย่างซื่อสัตย์ได้ไม่ง่ายนัก เป็นที่แน่นอนอยู่ว่า ผู้ใหญ่บางคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่างแต่ว่า…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ก่อนเริ่มโรงเรียนวิชาหนังสือ (สูจิบัตรในงาน ‘หนังสือ ก่อนและหลังเป็นหนังสือ’ ) จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ผีเสื้อ สัปดาห์ก่อนไปมีปัญหาเรื่องซื้อหนังสือกับพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ด้วยเพราะหนังสือที่จะซื้อมีราคาไม่เป็นจำนวนถ้วน คือ ราคาขายมีเศษสตางค์ เป็นเงิน 19.50 บาท เครื่องคิดราคาไม่ยอมขายให้เรา ทำเอาพนักงานวิ่งถามหัวหน้ากันจ้าละหวั่น ต้องรอหัวหน้าใหญ่เขามาแก้ไขราคาให้เป็น 20.00 บาทถ้วน เครื่องคิดราคาจึงยอมขายให้เรา เออ..อย่างนี้ก็มีด้วย เดี๋ยวนี้เศษสตางค์มันไร้ค่าจนเป็นแค่สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง หนังสือเล่มดังกล่าวนั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 45 (กรกฎาคม – กันยายน 2551) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา ใครที่เคยติดตามอ่านช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นรายไตรมาส เล่มเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ ย่อมมีใจรักในงานเขียนเรื่องสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าผลงานเรื่องสั้นที่ปรากฏ “ผ่านเกิด” ภายใต้รสนิยมบรรณาธิการนาม สุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้นจะต้องรสนิยมคนชื่นชอบเรื่องสั้นมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ค่อยปรากฏกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ทั้งที่ตอนประชาสัมพันธ์เปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ได้พิจารณาคัดเลือกหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ส่งประกวด ประจำปี 2551 จำนวน 76 เล่ม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือรวมเรื่องสั้น 9 เล่ม ดังนี้   1.ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่น ๆ ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ 2.เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ 3.ตามหาชั่วชีวิต ของ ‘เสาวรี’ 4.บริษัทไทยไม่จำกัด ของ สนั่น ชูสกุล 5.ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ของ เงาจันทร์ 6.เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของ วัชระ สัจจะสารสิน 7.เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ของ…