นายยืนยง
ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา
ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528
เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้ และการตรัสรู้อาจเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตติดอันดับหนึ่ง มาแรงแซงโค้งบรรดาทรัพย์สินเงินทองหรือแม้กระทั่งชื่อเสียง ถ้าเป็นอย่างนั้น ยุคพระศรีอาริย์คงใกล้ถึงอยู่รอมร่อ
หากใครปรารถนาจะตรัสรู้ถึงขั้นเข้ากระแสเลือด ฉันขอแนะนำหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายถึงแนวทางสู่
การตรัสรู้ เป็นหนังสือเก่าแก่ที่ขาดตลาดไปนานมากแล้ว สมควรที่สำนักพิมพ์จะรื้อฟื้นพิมพ์ซ้ำใหม่อย่างยิ่ง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลของกระแสการตลาด แต่เป็นเหตุผลของคุณค่าที่แท้จริงของตัวมันเอง หนังสือเล่มดังกล่าวคือ ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา นั่นเอง ผู้อ่านบางท่านจะคุ้นชื่ออยู่บ้าง
ขอนำประวัติผู้เขียนมาเปิดพิธีเสียก่อน
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ได้ก่อตั้งชุมชนชาวพุทธผู้ภาวนาขึ้นหลายแห่งในอเมริกาเหนือ ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดคือ กรรม ซอง ใน บุลเดอร์ โคโลราโด และการเม โนหลิง ในบาร์เนต เวอร์มอนต์ ท่านยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันนโรปะ อันเป็นสถานศึกษา ซึ่งนักศึกษาอาจค้นคว้าภูมิปัญญาแบบพุทธควบคู่ไปกับภูมิปัญญาของตะวันตก ท่านยังเป็นกัลยาณมิตรและเป็นครูวิปัสสนาของนักศึกษาจำนวนมาก
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ในฐานะที่ท่านถูกนับเนื่องเป็นปางอวตารชาติที่สิบเอ็ดของตรุงปะ ตุลกุ จึงได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างเข้มงวดเพื่อให้สืบทอดเป็นเจ้าอาวาสเซอร์มังในธิเบตตะวันออก กระทั่งได้รับการอภิเษกให้สืบทอดเป็นธรรมทายาทของมิลาเรปะและปัทมสัมภาวะ
ตรุงปะต้องอพยพลี้ภัยออกจากแผ่นดินถิ่นเกิดเมื่อครั้งที่จีนคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองธิเบตเมื่อปี 1959 หลังจากได้ไปพำนักในอินเดีย 3 ปี ก็เดินทางไปอังกฤษเพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบที่อ๊อกซ์ฟอร์ด สี่ปีหลังจากนั้นจึงก่อตั้งศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาแบบธิเบตและภาวนาขึ้นในโลกตะวันตก ถือเป็นแห่งแรก นั่นคือ สัมเย หลิง ในสกอตแลนด์
ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เป็นอัตชีวประวัติเล่มหนึ่งชื่อว่า Born in Tibet นอกจากนั้นมีงานทางด้านพุทธธรรมหลายเล่ม เช่น มุทรา , Cutting Through Spiritual Materialism ก็คือ ลิงหลอกเจ้าเล่มนี้ ,
Meditation in Action , The Myth of Freedom , Joumey Without Goals , และ Mandala : The Sacred Path of the Warrier.
ลิงหลอกเจ้า สภาพน่าสงสารแทบขาดใจของฉันเล่มนี้ ได้มาจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนที่เขาเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสมบัติ เขาว่าและมันน่าสนใจมาก ๆ ก็แน่ละสิ ในเมื่อเขาคลั่งไคล้มหายานปานนั้น แต่ฉัน ในฐานะผู้รับมรดกอันเก่าแก่และทรงภูมิกลับไม่ได้ปฏิบัติการใด ๆ ให้เกิดมรรคผลอันใดเลย อย่าว่าแต่เปิดประตูสู่แนวทางแห่งมรรคหรือการตรัสรู้เลย เอาแค่อ่านให้จบ ให้รู้เรื่องหมดจด ให้ซึมซ่านในอณูชีวิต ยังไม่อาจเอื้อม อย่างนี้เขาเรียกว่า “เสียของ” ใช่หรือเปล่า (ขอโทษนะ ’จารย์ หนังสือน่ะวิเศษสุด ฉันมันโง่เอง)
ลิงหลอกเจ้า เล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ่านไม่จบ อะ ๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า มาอีกและ พวกอมปรัชญามาพูด โฮะ ๆ หาใช่ไม่ แต่หมายความตามนั้นจริงทุกประการ คือ อ่านจบไปบทหนึ่งแล้ว พอกลับมาอ่านซ้ำเพื่อหาประโยคเด็ด ๆ กลับรู้สึกฉงนฉงาย เอ๊ะ นี่เราอ่านจบบทนี้แล้วเหรอ? ทำไมเหมือนยังไม่ได้อ่านเลย
เป็นที่ งง มาก พอลองกลับไปอ่านอื่นที่อ่านจบไปแล้ว หรือแม้กระทั่งคำนำ ก็ปรากฏรูปการณ์เดิม ???
เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันไม่ควรจะบรรยายใด ๆ เลยแม้สักประโยคเดียวใช่ไหม แต่ก็หักห้ามใจไม่ได้ ในเมื่อปรารถนาให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้ลิ้มลองอ่าน ลิงหลอกเจ้า ดูสักที อย่างน้อยก็เพื่อเปรียบเทียบหนังสือธรรมะในตลาดทุกวันนี้กับเมื่อหลายปีก่อน แตกต่างกันอย่างไรบ้าง แล้ววัตถุนิยมทางศาสนาคืออะไร ทำไมจึงต้องลอกคราบกันด้วย ท่านผู้อ่านจะได้อ่านกันเปรมเลยทีเดียวเชียว รับประกันได้
ขึ้นชื่อว่านักบวชสายธิเบตแล้ว เราย่อมเข้าใจตรงกันว่าเป็นพุทธมหายาน
ท่านว่า มหายาน คือ ยานอันกว้างใหญ่ เป็นมโนคติที่เห็นว่า ชีวิตนั้นร่ำรวยมาแต่กำเนิด ยิ่งกว่าจะเห็นชีวิตเป็นการดิ้นรนสู่ความรุ่มรวย หากขาดความมั่นใจดังกล่าวนี้แล้ว การทำสมาธิภาวนาจะให้ผลในทางปฏิบัติไม่ได้เลย
มันช่างตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับทัศนคติของฉัน นี่หรือเปล่าหนอที่ทำให้ฉันอ่านลิงหลอกเจ้าแบบเสียของไปเปล่า อีกข้อหนึ่งที่ทำเอากล้า ๆ กลัว ๆ ไปด้วยคือคำบอกกล่าวที่มีลักษณะกล่าวเตือนของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
มีคำกล่าวกันอยู่ว่า “ไม่เริ่มต้นเสียจะดีกว่า หากเริ่มต้นแล้วรีบทำให้เสร็จดีกว่า” ดังนั้นคุณไม่ควรก้าวเข้าสู่มรรควิถีทางศาสนธรรม นอกเสียจากว่าคุณจะต้องก้าว ครั้นเมื่อคุณก้าวหน้าสู่มรรคานั้นแล้ว เมื่อคุณได้กระทำเช่นนั้นจริง ๆ แล้ว คุณถอยกลับไม่ได้ หนทางหนีนั้นไม่มีดอก”
ฉะนั้น ฉันจึงตัดสินใจได้ทันทีว่า อย่าอาจหาญก้าวสู่มรรควิถีแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเผลอเดินนวยนาดไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมตามกระแสสังคม แต่นี่ย่อมไม่ใช่บทสรุป
ครั้นแล้วมาดูเนื้อหากันหน่อยเป็นไร
โดยเนื้อหาที่ฉันเกริ่นไว้ว่าเป็นตำราแห่งการตรัสรู้นั้น ประกอบไปด้วยบทบรรยายที่ชัดถ้อยชัดคำ ขณะเดียวกันก็อุดมด้วยความยอกย้อนอยู่ในความชัดเจนนั้น คล้ายกับคำสอนอย่างเซนในบางประการ ท้ายบทบรรยายจะมีคำถามของนักศึกษา และคำตอบของตรุงปะ เป็นการอธิบายเพิ่มและคลี่คลายความขัดข้องใจไปในตัว ใครเคยอ่านหนังสือของกฤษณะมูรติย่อมคุ้นเคยรูปแบบเช่นนี้อยู่บ้าง
บทบรรยายเหล่านั้นประกอบด้วย บทวัตถุนิยมทางศาสนา การยอมจำนน คุรุ อภิเษก การหลอกตัวเอง อารมณ์ขัน เรื่อยมาจนถึงบทที่ฉันตื้นตันเป็นพิเศษ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ตื้นตันได้ไม่ใช่หรือ นั่นคือ
บทพัฒนาการแห่งอัตตา
อัตตา ก็คือ ผู้เฝ้าดูตัวเรา
ฉันเพิ่งตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว คนที่เรารักมากที่สุดหาใช่ใครที่ไหนไม่ แต่เป็นเจ้าอัตตาที่เฝ้าดูตัวเราอยู่ทุกเวลานานทีนั่นเอง
อย่างในหน้า 157 ที่บรรยายเกี่ยวกับ อัตตา ว่า
โดยทั่วไปลัทธิศาสนาทั้งหลายจะต้องเอ่ยถึงสาระข้อนี้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กันออกไป อาลัยวิญญาณบ้างบาปดั้งเดิมบ้าง ความวิบัติของมนุษย์บ้าง พื้นฐานอัตตาบ้าง ส่วนมากมักเอ่ยถึงไว้อย่างเสียหาย
แต่ข้าพเจ้าหาได้คิดว่า มันจะน่าตระหนกหรือน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนั้นไม่ เราไม่ต้องละลายในสิ่งที่เราเป็น ในฐานะที่มีชีวิตจิตใจ เราล้วนมีพื้นเพที่วิเศษยิ่งอยู่แล้ว พื้นเพนี้ไม่จำเป็นต้องสะอาด สว่างหรือสงบทีเดียวนัก กระนั้นก็ดี เราล้วนมีผืนดินอันอุดมพอจะหว่านเพาะได้ จะปลูกอะไรก็ได้ในนั้น ฉะนั้นในประเด็นนี้ เราจึงไม่ได้ประณามหรือพยายามกำจัดอัตตาของเรา เราเพียงแต่รับรู้มัน โดยแลเห็นมันอย่างที่มันเป็น ฯลฯ
จากย่อหน้าเกี่ยวกับอัตตานี้ ท่านได้บรรยายให้ประจักษ์ชัดว่า อัตตามีพัฒนาการอย่างไร ซึ่งเป็นการประชุมกันของเหตุปัจจัยต่าง ๆ คติพุทธเรียกว่า ขันธ์ห้า และได้อุปมาอุปไมยพัฒนาการนี้ประหนึ่ง ลิงแสนลุกลนตัวหนึ่ง ที่ถูกขังอยู่ในเรือนร้าง มีหน้าต่างห้าบาน ซึ่งในแทนอายตนะทั้งห้า ไม่แน่ว่าชื่อหนังสืออาจจะมาจาก เจ้าลิงตัวนี้ก็ได้ อันนี้เดาเอาเองนะ แต่ที่แน่นอนที่สุด เจ้าลิงลุกลนตัวนั้นก็คือตัวเรานั่นเอง ลองอ่านดูเล็กน้อยนะ
เจ้าลิงที่แสนลุกลนตัวนี้ มักคอยโผล่หัวออกนอกหน้าต่างแต่ละบาน กระโดดขึ้น กระโดดลง อย่างไม่ยอมพัก ลิงตัวนี้ถูกกักไว้ในเรือนร้าง เป็นเรือนที่มีรูปทรง ยิ่งกว่าจะเป็นป่าดงดิบที่ลิงจะกระโดดโหนห้อยได้ หรือแทนที่จะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มันจะได้ยินเสียดสี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กลับมีรูปทรงขึ้นมา ป่าดงดิบกลายเป็นเรือนที่มีรูปทรงของเจ้าลิงตัวนี้กลับกลายเป็นที่คุมขังของมัน แทนที่มันจะโหนห้อยอยู่ตามต้นไม้ มันกลับถูกโลกที่มีรูปทรงสร้างกำแพงล้อมเอาไว้ ดั่งว่าน้ำตกที่เคยไหลหล่น แลดูงดงามตระการตา กลับแข็งตัวไปเสีย เรือนที่แข็งตัวนี้ประกอบด้วย สีสันและพลังงานที่แข็งตัว หยุดนิ่งอย่างสิ้นเชิง นี่ดูเหมือนจะเป็นจุดที่กาลเวลาเริ่มปรากฏเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน อาการไหลรี่ของสรรพสิ่ง กลายเป็นกาลเวลาที่มีรูปทรงจับต้องได้ เป็นการคิดค้นให้กาลเวลาเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
ถึงแม้ฉันจะยังเป็นงงอยู่ และลิงหลอกเจ้าก็ยังเฝ้าหลอกหลอนความมืดทึบในสติปัญญาของฉันอยู่ร่ำไป แต่หลายสูตรหรือบทบรรยายที่พอจะจับความได้นั้น สามารถเชื่อมโยงกับหลักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะกฎฟิสิกส์สมัยใหม่อยู่มากทีเดียว มีหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องของ “เวลา” อยู่หลายเล่ม อย่าง จักรวาลในเปลือกนัท ผลงานของสตีเฟ่น ฮอว์คิง ที่ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล แปลไว้ ท่านผู้อ่านที่ไม่ติดโรคงงอย่างฉัน น่าหามาอ่านควบคู่ไปกับลิงหลอกเจ้าเล่มนี้เป็นอย่างยิ่ง.
บล็อกของ สวนหนังสือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เค้าขวัญวรรณกรรมผู้เขียน : เขมานันทะพิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓ : สำนักพิมพ์ศยาม
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อนิตยสาร : ฅ คน ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๕ (๒๔) มีนาคม ๒๕๕๑บรรณาธิการ : กฤษกร วงค์กรวุฒิเจ้าของ : บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชะตากรรมของสังคมฝากความหวังไว้กับวรรณกรรมเพื่อชีวิตเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว หากเมื่อความเป็นไปหรือกลไกการเคลื่อนไหวของสังคมถูกนักเขียนมองสรุปอย่างง่ายเกินไป ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผลงานเหล่านั้นถูกนักอ่านมองผ่านอย่างง่ายเช่นกัน เพราะนอกจากจะเชยเร่อร่าแล้ว ยังเศร้าสลด ชวนให้หดหู่...จนเกือบสิ้นหวังไม่ว่าโลกจะเศร้าได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายรวมว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่กับโลกแห่งความเศร้าใช่หรือไม่? เพราะบ่อยครั้งเราพบว่าความเศร้าก็ไม่ใช่ความทุกข์ที่ไร้แสงสว่าง ความคาดหวังดังกล่าวจุดประกายขึ้นต่อฉัน เมื่อตั้งใจจะอ่านรวมเรื่องสั้น โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ของ…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : รายงานจากหมู่บ้าน ประเภท : กวีนิพนธ์ ผู้เขียน : กานติ ณ ศรัทธา จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิพิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐เขียนบทวิจารณ์ : นายยืนยง
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไปประเภท : เรื่องสั้น ผู้เขียน : จำลอง ฝั่งชลจิตรจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๔๘
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด ๔๒ ( ตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา สาเหตุที่วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตยังคงมีลมหายใจอยู่ในหน้าหนังสือ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองที่อาจมีรสนิยม ความรู้สึกฝังใจต่อวรรณกรรมแนวนี้ว่าทรงพลังสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาสังคมได้ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเหตุผลนี้เพียงประการเดียวก่อน คำว่า แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่ของเชยแน่หากเราได้อ่านเพื่อชีวิตน้ำดี ซึ่งเห็นว่าเรื่องนั้นต้องมีน้ำเสียงของความรับผิดชอบสังคมและตัวเองอย่างจริงใจของนักเขียน…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ : เถ้าถ่านแห่งวารวัน The Remains of the Day ประเภท : วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งที่ ๑ : กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ผู้เขียน : คาสึโอะ อิชิงุโระ ผู้แปล : นาลันทา คุปต์
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ : คลื่นทะเลใต้ประเภท : เรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้ ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ : คลื่นทะเลใต้ประเภท : เรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุงวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลาถึงปัจจุบัน ในยุคหนึ่งเรื่องสั้นเคยเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนสภาวะปัญหาสังคม สะท้อนภาพชนชั้นที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ และยุคนั้นเราเคยรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้…
สวนหนังสือ
‘พิณประภา ขันธวุธ’ ชื่อหนังสือ : ฉลามผู้แต่ง: ณัฐสวาสดิ์ หมั้นทรัพย์สำนักพิมพ์ : ระหว่างบรรทัดข้อดีของการอ่านิยายสักเรื่องคือได้เห็นตอนจบของเรื่องราวเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย...ไม่จำเป็น...ที่จะต้องเดินย่ำไปรอยเดียวกับตัวละครเล่านั้นในขณะที่สังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความเป็น “วัตถุนิยม” ที่เรียกว่า เป็นวัฒนธรรมอุปโภคบริโภค อย่างเต็มรูปแบบ ลัทธิสุขนิยม (hedonism) ก็เข้ามาแทบจะแยกไม่ออก ทำให้ความเป็น ปัจเจกบุคคล ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ทั้งสามสิ่งที่เอ่ยไปนั้นคน สังคมไทยกำลัง โดดเดี่ยว เราเปิดเผยความโดดเดี่ยวนั้นด้วยรูปแบบของ ภาษาและถ้อยคำสำนวนที่สะท้อนโลกทัศน์ของความเป็นปัจเจกนิยมได้แก่ เอาตัวรอด…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ : วิมานมายา The house of the sleeping beautiesประเภท : วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ครั้งที่ ๑ : มิถุนายน ๒๕๓๐ผู้เขียน : ยาสึนาริ คาวาบาตะ ผู้แปล : วันเพ็ญ บงกชสถิตย์
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือประเภทจัดพิมพ์โดยผู้ประพันธ์ผู้แปล:::::เปโดร ปาราโม ( PEDRO PARAMO )วรรณกรรมแปลสำนักพิมพ์โพเอม่าฮวน รุลโฟราอูล การวิจารณ์วรรณกรรมนั้น บ่อยครั้งมักพบว่าบทวิจารณ์ไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหรืออ่านวรรณกรรมเล่มนั้นแล้วได้เข้าใจถึงแก่นสาร สาระของเรื่องลึกซึ้งขึ้น แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่บทวิจารณ์ต้องมีคือ การชี้ให้เห็นหรือตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดเด่นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ของวรรณกรรมเล่มนั้น วรรณกรรมที่ดีย่อมถ่ายทอดผ่านมุมมองอันละเอียดอ่อน ด้วยอารมณ์ประณีตของผู้ประพันธ์…