Skip to main content

  

และแล้วรางวัลซีไรต์ปี 2552 รอบของนวนิยายก็ประกาศผลแล้ว ปรากฏเป็นผลงานนวนิยายเรื่อง ลับแลแก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล โดยแพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์ (ประกาศผลเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา)ใครเชียร์เล่มนี้ก็ได้ไชโยกัน ฉันเองก็มีเล่มนี้เป็นหนึ่งในหลายเล่มด้วย รู้สึกสะใจลึก ๆ ที่อุทิศได้ซีไรต์ เนื่องจากเคยเชื่อว่า งานดี ๆ อย่างที่ใจเราคิดมักพลาดซีไรต์เป็นเนืองนิตย์ ผิดกับคราวนี้ที่งานดี ๆ ของนักเขียน "อย่างอุทิศ" ได้รางวัล

ที่ว่านักเขียน "อย่างอุทิศ" นั้นก็เพราะ เขามีลักษณะพิเศษบางอย่าง โดยเฉพาะความจริงใจในคำพูด เขาไม่อ้อมค้อมหรือติดนิสัยพูดเอาดีเข้าตัวอย่างนักเขียนบางคน ตอนที่อ่านหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ที่รายงานข่าวซีไรต์ อุทิศ

ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจ และปลอดโปร่งที่รู้ว่าตัวเองได้รับรางวัลนี้ เพราะตั้งแต่เข้ารอบก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน สิ่งแรกที่อยากทำคือโทรศัพท์ไปหาแม่ เพื่อจะบอกข่าวดี นั่นแสดงให้เห็นถึง ความนับถือตัวเองของอุทิศ ขณะที่เขาก็ให้เกียรติรางวัลซีไรต์ (ดูจากคำว่า "ลุ้น" ) ขณะที่เคยมีนักเขียนหลายคนที่ "ลุ้น" เหมือนกัน แต่กลับให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้ลุ้นอะไร หรือมองข้ามช็อตซีไรต์ไปแล้ว หรือไม่ก็พูดว่าซีไรต์ก็เป็นเรื่องของซีไรต์ เราเป็นเพียงนักเขียนตัวเล็ก ๆ ถ้อยคำเหล่านี้จากหลายนักเขียน จากหลายครั้งปีที่เคยได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ทำให้รู้สึกว่า ไอ้คำพูดดูดี ฟังเท่เหล่านี้ ไม่รู้ทำไมมันจึงได้ระคายหูเหลือเกินนะ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะหาความจริงใจจากนักเขียน จงอย่าฟังที่เขาพูด แต่ให้ "อ่าน" ผลงานของเขา

 

นี่เป็นเพียงฉากหนึ่งในหลากหลายพฤติกรรมนักเขียนบ้านเรา ที่ผู้อ่านอย่างเรา ๆ จะเรียกร้องหาความจริงใจจากนักเขียนแทบไม่ได้เลย ฉันจึงลงความเห็นว่า เราควรอ่านวรรณกรรม โดยละเลยที่จะไม่กล่าวถึงตัวนักเขียน ต้องให้ความสำคัญกับ "ตัวบทวรรณกรรม" เป็นสำคัญ เพราะนักเขียนก็หาใช่เทวดาชั้นฟ้าที่ไหน เขาเป็นคนประเภทที่มีความสามารถด้านภาษา มีจินตนาการสร้างสรรค์ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะวิเศษกว่ามนุษย์ปุถุชนอย่างเราไปเสียหมด ไม่ใช่หรือ

 

เช่นเดียวกับรางวัลซีไรต์ ที่อายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบกว่า ๆ ถ้านับเป็นคนก็ยังหนุ่นแน่น สาวเซียะ แต่รางวัลซีไรต์ไม่ใช่คนนะจ๊ะ เขาดำรงตนเยี่ยงสถาบัน หรืออย่างน้อยก็ดำรงสถานภาพของตนของเป็นสถาบัน มันจึงไม่หนุ่ม หรือไม่มีวันหนุ่ม ตรงกันข้ามคือ แก่ตั้งแต่เกิด หรือเกิดมาก็เป็นอัมพาตไปเสีย ไม่ต่างจากยักษ์ปักหลั่น ที่ดีแต่ทำตัวใหญ่โข

ดูคล้ายมีอำนาจอิทธิพล หรือขนานหนักก็ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง

 

ลองมาดูองค์ประกอบรางวัลซีไรต์แบบผิวเผินกันสักหน่อย

1.ผู้ก่อตั้ง ผู้สนับสนุน (สปอนเซอร์)

2.คณะกรรมการดำเนินงาน รวมถึงสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

3.นักเขียน ผู้ส่งผลงานร่วมประกวด

4.นักอ่าน

5.สำนักพิมพ์

6.สถาบันการศึกษา

 

เราจะเห็นได้ว่า ผู้ก่อตั้งและคณะกรรมการดำเนินงานได้พยายามยกระดับซีไรต์ให้เป็นสถาบันเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งอันทรงพลัง จะแตะต้องได้หรือแตะต้องไม่ได้ไม่ทราบ แต่มีตราสัญลักษณ์ของอำนาจอันสูงสุดเป็นผู้ส่งมองรางวัล เพราะพิธีมอบรางวัลจะต้องมีบุคคลในราชวงศ์ระดับสูงเป็นผู้ส่งมอบ ถือเป็นพิธีกรรมที่ส่งไม้ต่อความศักดิ์สิทธิ์ไปในตัว

 

อีกอย่างหนึ่งคือ คณะกรรมการดำเนินงาน ซึ่งส่วนใหญ่มีตรานักวิชาการนำหน้า อันแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางปัญญา ทำให้เกิดทัศนะคติประเภท ใครอ่านหนังสือซีไรต์จะดูเป็นคนฉลาด มีภูมิกว่าอ่านหนังสือแฉดารา หนังสือนิยายเกาหลี นี่เป็นเพียงภาพลักษณ์ของซีไรต์ แต่อย่าลืมว่าภาพลักษณ์เหล่านี้ดำรงอยู่เพียงฉาบฉวยเท่านั้น เพราะนับวันยอดขายหนังสือรางวัลซีไรต์ก็ดิ่งลงต่ำเรื่อย ๆ คล้ายกับภาพลักษณ์ฉาบฉวยเหล่านี้กำลังจุดระเบิดตัวเองทีละจุด

 

จากยอดขายที่ไม่กระเตื้องขึ้นเลย ทำให้พอจะสรุปได้ว่า รางวัลซีไรต์ไม่ใช่แรงจูงใจสำคัญสำหรับนักอ่านอีกต่อไปแล้ว ความมีปัญญา ความทรงภูมิ ไม่ได้เกิดจากการอ่านหนังสือซีไรต์อย่างเดียว นอกจากกรณีของครูที่บังคับให้นักเรียน นักศึกษาที่สอบตกวิชาภาษาไทย ไปซื้อหนังสือรางวัลซีไรต์ เล่มใดก็ได้มาส่งครู หรือในกรณีที่นักเรียน นักศึกษาซื้อมาอ่านเพื่อการศึกษา ทำรายงาน แต่ตรงนี้วงเล็บไว้ว่า สื่อความรู้ไม่ได้อยู่ในหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น เรามีอินเตอร์เน็ตให้ใช้อย่างกว้างขวางในวงการศึกษา ดังนั้นการอ่านหนังสือจึงไม่ต้องพึ่ง "หนังสือเล่ม" แต่อย่างเดียว เพราะบทความที่กล่าวถึงหนังสือต่างโพสต์กันในเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้เลือกเสาะหาตามสะดวก นี่มันคลื่นลูกที่สามนะจ๊ะ ไม่ใช่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

 

ฉะนั้น หากซีไรต์ยังคงทนุถนอมความศักดิ์สิทธิ์แบบเดิม ๆ โดยไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ไปพร้อมกับกระบวนการเคลื่อนไหวในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมแล้ว ซีไรต์จะยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นหน้าทู่มองตาปริบ ๆ ขณะที่ภาคส่วนอื่นเคลื่อนที่กันขนานใหญ่ ตอนนั้นซีไรต์อาจได้รับฉายาเป็นจระเข้ขวางคลองไปอีกชื่อหนึ่ง

 

ยิ่งหากอ่านผลงานที่ได้รางวัลซีไรต์ เราจะเห็นเลยว่า ผลงานไม่ว่าจะเรื่องสั้น นวนิยาย หรือกวีนิพนธ์ เป็นอันต้องมีเค้าโครงหรือมีกลิ่นอายของงานสกุลเพื่อสังคม หรือเพื่อชีวิต หรือประเภทเหมือนจริง อยู่นั่นเอง เราจะไม่มีโอกาสได้เห็นวรรณกรรมสกุลอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซ็กซ์ เรื่องความวิปริตทางเพศ เรื่องสุนทรีย์ เรื่องผีสาง เรื่องวิทยาศาสตร์ หรือสกุลอื่น ๆ เลย เพราะอะไรหรือ หรือเพราะซีไรต์ซึ่งยึดถือตัวเองเป็นสถาบันอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องรักนวลสงวนตัว หรือเพราะต้องดำรงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของสถาบันสูงสุด

 

ที่ผ่านมา ซีไรต์เคยลืมหูลืมตาสนทนากับความเปลี่ยนแปลงที่สังคมทุกภาคส่วนกำลังเคลื่อนไหวอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงภาคเอกชนหรือธุรกิจเลย ไม่มีวันตามเขาทัน หรือถึงจะตามทันก็ทำเป็นสงวนตัว ไม่อยากข้องแวะกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อันนี้ไม่ทราบว่าทำไมบรรดานักเขียนเขาจึงกลัวคำว่า "เงิน" กันมากแท้ พอมีการได้รับรางวัลที่เป็นตัวเงินเมื่อไหร่ ไม่กล้ายอมรับความจริงกัน แล้วทำไมนักเขียนจึงไม่อาจยอมรับได้ว่า ผลงานของตัวเองนั้นก็ถือเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ตัวนักเขียนก็เป็นผู้ผลิตคนหนึ่งในตลาดบริโภค

 

แต่เราก็ไม่ลืมว่า การบริโภคหนังสือนั้นไม่ใช่ยุติอยู่ที่ขั้นตอนของการซื้อขายจ่ายเงิน แต่หนังสือซื้อมาแล้วต้องใช้เวลาอ่านด้วย ดังกิจกรรมการบริโภคหนังสือจึงไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มันก่อให้เกิดกระบวนการเคลื่อนไหวในทางความคิดได้

และเราต้องรู้ด้วยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคหนังสือได้เปลี่ยนไปพร้อมกับภาคสังคมอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นซีไรต์จะรอให้ครบรอบตัดสินในแต่ละปี โดยที่ไม่ริเริ่มทำกิจกรรมใดเลย ก็เท่ากับว่าซีไรต์ได้วางระเบิดตัวเองอย่างที่บอก

 

หากรางวัลนี้มีเจตนาในการสร้างสรรค์จริง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างสรรค์เสียบ้าง จะยืนสวมชฎารอความตายหรือไงไม่ทราบ ถ้าซีไรต์ตาย กลุ่มที่หวังเกาะกระแสซีไรต์คงสิ้นหวังไปตามกัน หรือหากฉันจะเขียนผิดพลาด ก็คงผิดเพราะเข้าใจผิดว่าซีไรต์ยังไม่ตาย เพราะแท้จริงแล้ว ซีไรต์ได้ตายไปตั้งนานแล้ว

 

หรือเพราะแท้จริงแล้ว ซีไรต์ไม่เคยเป็นที่ให้ยึดเกาะอันมั่นคงของทั้งสำนักพิมพ์ และนักเขียนอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะซีไรต์เป็นแต่เพียงหน้ากากสวมชฎาของสำนักพิมพ์ที่พิมพ์วรรณกรรมเพื่อเอาหน้า เพราะเขามีรายได้จากยอดพิมพ์ยอดขายหนังสือแนวอื่นเป็นพื้นฐานอันมั่นคงอยู่แล้ว หรือจะเป็นเพียงหน้ากากสวมชฎาให้นักเขียนเปี่ยมความหวังบางคนแปะไว้ข้างคอมพ์ ไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง หวังว่าสักวันตัวเองจะมีโอกาสขึ้นเวทีซีไรต์

ซีไรต์เป็นได้แค่นี้จริง ๆ หรือ

 

ทั้งนี้ในฐานะรางวัลซีไรต์สามารถดำรงตัวอย่างสง่างาม สมภาคภูมิมาได้จนอายุปูนนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว

มันย่อมมีข้อดีอยู่บ้าง

 

โลกเคลื่อนที่อยู่ทุกขณะ ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา วิทยาศาสตร์ได้สร้างปรากฎการณ์แห่งความเคลือบแคลงใจอันเต็มไปด้วยข้อกังขา ขณะที่ข้อเท็จจริงมีอายุสั้นลงเรื่อย ๆ แต่ซีไรต์ยังมัวนุ่งผ้าโจงกระเบน เคี้ยวหมากหยับ ๆ ทำตัวเป็นสถาบันส่งเสบียงให้กองทัพผู้โหยหาอดีต เห็นทีจะต้องเอาตัวใครตัวมันแล้วล่ะ

 

ถึงตอนนั้น คำว่า "คุณค่าวรรณกรรม" ที่คงมีอรรถประโยชน์อยู่บ้าง อาจเป็นเพียงป้ายโฆษณาชวนเชื่อที่ไร้น้ำยาในวงการตลาด หมดโอกาสจะสานต่อคุณค่าอันแท้จริง ซึ่งทุกวันนี้ก็ได้เลือนเลอะไปแล้ว.

หมายเหตุ แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ                     :    เค้าขวัญวรรณกรรมผู้เขียน                         :    เขมานันทะพิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓     :    สำนักพิมพ์ศยาม  
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิเจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชะตากรรมของสังคมฝากความหวังไว้กับวรรณกรรมเพื่อชีวิตเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว  หากเมื่อความเป็นไปหรือกลไกการเคลื่อนไหวของสังคมถูกนักเขียนมองสรุปอย่างง่ายเกินไป  ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผลงานเหล่านั้นถูกนักอ่านมองผ่านอย่างง่ายเช่นกัน  เพราะนอกจากจะเชยเร่อร่าแล้ว ยังเศร้าสลด ชวนให้หดหู่...จนเกือบสิ้นหวังไม่ว่าโลกจะเศร้าได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายรวมว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่กับโลกแห่งความเศร้าใช่หรือไม่? เพราะบ่อยครั้งเราพบว่าความเศร้าก็ไม่ใช่ความทุกข์ที่ไร้แสงสว่าง  ความคาดหวังดังกล่าวจุดประกายขึ้นต่อฉัน เมื่อตั้งใจจะอ่านรวมเรื่องสั้น โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ของ…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ       :    รายงานจากหมู่บ้าน       ประเภท         :    กวีนิพนธ์     ผู้เขียน         :    กานติ ณ ศรัทธา    จัดพิมพ์โดย     :    สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิพิมพ์ครั้งแรก      :    มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๕๐เขียนบทวิจารณ์     :    นายยืนยง
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ      :    ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไปประเภท    :    เรื่องสั้น    ผู้เขียน    :    จำลอง  ฝั่งชลจิตรจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งแรก    :    มีนาคม  ๒๕๔๘    
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด ๔๒ ( ตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา สาเหตุที่วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตยังคงมีลมหายใจอยู่ในหน้าหนังสือ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองที่อาจมีรสนิยม ความรู้สึกฝังใจต่อวรรณกรรมแนวนี้ว่าทรงพลังสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาสังคมได้ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเหตุผลนี้เพียงประการเดียวก่อน คำว่า แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่ของเชยแน่หากเราได้อ่านเพื่อชีวิตน้ำดี ซึ่งเห็นว่าเรื่องนั้นต้องมีน้ำเสียงของความรับผิดชอบสังคมและตัวเองอย่างจริงใจของนักเขียน…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ      :    เถ้าถ่านแห่งวารวัน    The Remains of the Day ประเภท            :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งที่ ๑    :    กุมภาพันธ์   ๒๕๔๙ผู้เขียน            :    คาสึโอะ  อิชิงุโระ ผู้แปล            :    นาลันทา  คุปต์
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ      :    คลื่นทะเลใต้ประเภท    :    เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก    :    ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน    :    กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้  ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ : คลื่นทะเลใต้ประเภท : เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน : กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุงวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลาถึงปัจจุบัน ในยุคหนึ่งเรื่องสั้นเคยเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนสภาวะปัญหาสังคม สะท้อนภาพชนชั้นที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ และยุคนั้นเราเคยรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้…
สวนหนังสือ
‘พิณประภา ขันธวุธ’ ชื่อหนังสือ : ฉลามผู้แต่ง: ณัฐสวาสดิ์ หมั้นทรัพย์สำนักพิมพ์ : ระหว่างบรรทัดข้อดีของการอ่านิยายสักเรื่องคือได้เห็นตอนจบของเรื่องราวเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย...ไม่จำเป็น...ที่จะต้องเดินย่ำไปรอยเดียวกับตัวละครเล่านั้นในขณะที่สังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความเป็น “วัตถุนิยม” ที่เรียกว่า เป็นวัฒนธรรมอุปโภคบริโภค อย่างเต็มรูปแบบ ลัทธิสุขนิยม (hedonism) ก็เข้ามาแทบจะแยกไม่ออก ทำให้ความเป็น ปัจเจกบุคคล ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ทั้งสามสิ่งที่เอ่ยไปนั้นคน สังคมไทยกำลัง โดดเดี่ยว เราเปิดเผยความโดดเดี่ยวนั้นด้วยรูปแบบของ ภาษาและถ้อยคำสำนวนที่สะท้อนโลกทัศน์ของความเป็นปัจเจกนิยมได้แก่ เอาตัวรอด…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’  ชื่อหนังสือ      :    วิมานมายา  The house of the sleeping beautiesประเภท         :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ครั้งที่ ๑   :    มิถุนายน ๒๕๓๐ผู้เขียน          :    ยาสึนาริ คาวาบาตะ ผู้แปล           :    วันเพ็ญ บงกชสถิตย์   
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือประเภทจัดพิมพ์โดยผู้ประพันธ์ผู้แปล:::::เปโดร  ปาราโม ( PEDRO  PARAMO )วรรณกรรมแปลสำนักพิมพ์โพเอม่าฮวน รุลโฟราอูล  การวิจารณ์วรรณกรรมนั้น บ่อยครั้งมักพบว่าบทวิจารณ์ไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหรืออ่านวรรณกรรมเล่มนั้นแล้วได้เข้าใจถึงแก่นสาร สาระของเรื่องลึกซึ้งขึ้น แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่บทวิจารณ์ต้องมีคือ การชี้ให้เห็นหรือตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดเด่นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ของวรรณกรรมเล่มนั้น วรรณกรรมที่ดีย่อมถ่ายทอดผ่านมุมมองอันละเอียดอ่อน ด้วยอารมณ์ประณีตของผู้ประพันธ์…