Skip to main content

นายยืนยง

20080528 ปาจา
(หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพปก ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๓๒ เดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ภาพจาก :
http://burabhawayu.multiply.com/reviews/item/16

ชื่อนิตยสาร : ปาจารยสาร
ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๘ เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕
จัดพิมพ์โดย : บริษัท ส่องศยาม

ฤดูฝนตก ฟ้าย่อมเปียกปอน จะออกจากบ้านไปไหนทีก็ยากลำบาก หนึ่งคือกลัวเปียกทั้งอาศัยอยู่ใต้ฟ้า สองคือไม่รู้แห่งจะไป หยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาจากความทรงจำที่ไหนสักแห่ง ความกังวลก็แล่นหายไป

นิตยสาร หมายถึง หนังสือที่พิมพ์ออกเป็นประจำสัปดาห์หรือปักษ์ หรือเดือน บางฉบับอ่านแล้วก็ผ่านเลย บางฉบับมีภาพประดับที่งาม ขณะบางฉบับมีเนื้อหาให้อ่าน เก็บไว้อ่าน หรือเก็บไว้เป็นหน้าบทประวัติศาสตร์ส่งทอดถึงรุ่นลูกหลาน โดยเฉพาะนิตยสารปาจารยสาร ที่เขาเขียนโปรยประจำปกหน้าว่า โยงหัวใจและความคิด เพื่อชีวิตแสวงหา ท้าทายบริโภคนิยม

เมื่อหยิบเล่มเก่าที่ยังอยู่ดีเรียบร้อยในตู้ก็สะดุดใจกับภาพปกฝีมือ วสันต์ สิทธิเขตต์ เป็นภาพพิมพ์แกะไม้ที่มีชื่อว่า “ผมเห็นคุณมีสองหัวเดินไปในเมือง ๒๕๓๑” ชื่อศิลปินกับสายฝนช่างพอเหมาะกันดีแท้

ครั้นจึงนึกได้ว่า เล่มนี้มีบทความน่าอ่านเยอะทีเดียว นึกต่อไปได้อีกว่า ครูสาวคนหนึ่งเคยถามถึงกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ กับนายปรีดี พนมยงค์ คำถามของหล่อนทำให้ฉงน อีกนัยน์ตาของหล่อนนั้นก็เป็นดั่งดวงใจแห่งความกระหายรู้แบบเด็ก ๆ มีหรือใครจะนึกเฉยได้ วันนั้นปาจารยสารเล่มนี้จึงถูกค้นพบในความทรงจำอีกครั้งและทำหน้าที่เป็นวิทยาทานด้วยอาการตื่นใจระคนยินดี

กับวันนี้ที่ฝนทำให้ความทรงจำลื่นละลายออกมา ปาจารยสารเล่มดังกล่าวจึงถูกเปิดอ่านอีกครั้งด้วยชีวิตชีวา

ในหน้าที่ ๒๙ –๓๘ เป็นหัวข้อเรื่องเด่น ที่เขียนโดย ซาลาดิน ชามชาวัลลาชื่อบทความฟังดูหนักหน่วงว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
“แอกอันหนึ่ง”แปลได้ว่าในประวัติศาสตร์ไทยมีแอกที่คอยกดทับเราอยู่มากกว่าหนึ่งแน่นอน ใช่หรือไม่?

เป็นบทความที่เขียนได้อย่างน่านับถือ เพราะเหตุใด? หนึ่งเพราะเป็นความสับสน กำกวม และหลอกลวงสิ้นดีที่คนในประเทศหนึ่งจะถูกปิดหูปิดตาด้วย “ข่าว”และ “สถานการณ์ที่สร้างมากลบ” ดูเอาเถิดว่าแม้แต่คนที่ขึ้นชื่อว่า “ครู”ยังหาได้รู้ความ “จริง”ยังหาความกระจ่างต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งไม่ได้ ขออนุญาตผู้เขียนและกองสาราณียกรของปาจารยสาร ยกส่วนหนึ่งของบทความที่น่าอ่านยิ่งมาไว้ ณ พื้นที่ตรงนี้

ว่ากันถึงหลักการเขียนบทความ ซึ่งไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากนักในเรื่องของโครงสร้าง อย่างที่เราเคยร่ำเรียนกันมานั่นเอง

บทความประกอบด้วย ๓ ส่วนสำคัญ คือ (๑) บทนำหรือการเกริ่นนำผู้อ่าน (๒) เนื้อหาหรือใจความ
(๓) บทสรุป แต่การจะเขียนบทความให้น่าอ่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สลับซับซ้อนเสมอไป อีกทั้งบทความก็มีหลายประเภทด้วยกัน ทั้งบทความวิชาการ บทความแสดงทัศนคติ อะไรต่าง ๆ เราเองก็ต้องยอมรับว่าบทความเป็นเนื้อหลักของการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร

แต่บทความ ว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ที่เขียนโดย ซาลาดิน ชามชาวัลลา นั้นนอกจากเป็นเนื้อหาที่น่าหยิบมาเขียนแล้ว ศิลปะการเขียนของซาลาดิน ชามชาวัลลายังน่าหลงใหลได้ปลื้มอีกด้วย ไม่ทราบว่าเขาหรือเธอผู้นี้คือใครกันหนอ? ใครพอรู้จักมักคุ้น หากกรุณาบอกเล่ากันบ้างจะเป็นพระคุณ...

ด้วยภาษาที่กระชับ มีสำนวนแบบที่เรียกได้ว่า ฉูดฉาด เต็มด้วยสีสัน แต่กลับแกร่งกล้าในตัว โดยเฉพาะการตั้งชื่อบทย่อย เช่น ความเป็นไปได้ของการตายทั้งเป็น การจัดการกับความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเปล่งของปีศาจบางคนอาจรู้สึกได้ถึงลีลาอย่างเรื่องแต่งหรือวรรณกรรมไปพร้อมกันด้วย ไม่เท่านั้น การจัดวางองค์ประกอบ การแบ่งสัดส่วนของข้อมูล ที่เข้าใจว่ามหาศาล (ดูจากส่วนอ้างอิงท้ายบทความที่มีถึง ๑๓ รายการ ซึ่งล้วนหนักหน่วงทั้งสิ้น) เรียกว่าบริหารข้อมูลให้เข้าถึงเป้าหมายได้พอดิบพอดี (อีกทั้งจะไม่ต้อง “เจ็บตัว”จากตัวอักษรของตัวเองด้วย) การบริหารข้อมูล จัด ตัด ทอน เพิ่ม ข้อมูลให้เหมาะเจาะนั้นเป็นข้อพึงสังวรยิ่งสำหรับผู้เขียนบทความ ไม่เช่นนั้นผู้อ่านอาจจะ “ตื้อ”กับข้อมูลพะเรอเกวียนประดานั้นได้

ครั้นมาดูการเกริ่นนำเรื่องของซาลาดินกันบ้าง

ซาลาดินอาศัยทัศนะของนักคิด นักปรัชญา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซีกตะวันตก เป็นเครื่องมือในการปูพื้นความเข้าใจร่วมกันกับผู้อ่าน (เพื่อดึงเอาสถานภาพระหว่าง ๒ คน เข้ามาเทียบเคียงกัน) ขอยกมาให้อ่านกันดังต่อไปนี้

ความตายคือ “ความเป็นไปได้ของความสามารถที่จะไม่ต้องอยู่ที่นั่นอีกต่อไป (the possibility of a being-albe-no-longer-to-be=there)” หรือ คือ “ความเป็นไปได้ของความเป็นไปไม่ได้ในทุก ๆ วิถีแห่งการดำรงอยู่ (the possibility of the impossibility of every way of…existing” หรือ

นอกจากนี้ ไฮเดกเกอร์ยังมีความเห็นต่อไปว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ (คนผู้หนึ่ง) จะตายเพื่อผู้อื่นในความหมายที่ว่าเป็นการ ‘ตายแทนคนผู้นั้น’ ต่อให้เขาจะตายเพื่อผู้อื่นโดย พลี (หรือสังเวย) ความตายของตัวให้แก่ผู้อื่นไปก็ตาม” อย่างไรก็ตาม ในฉบับแปลจากภาษาฝรั่งเศส มีความหมายเป็นไปในทำนองว่า คนเราไม่สามารถตายแทนกันได้ ... ฯลฯ... “ไม่มีใครสามารถถือเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้ แน่นอนว่า บางคนสามารถ ‘เดินไปสู่ความตายของตนเพื่อคนอื่น’ ได้ แต่นั่นย่อมหมายถึงการอุทิศตนเพื่อคนอื่น ‘ในกิจการบางเรื่องที่แน่นอน’ ” กล่าวโดยสรุปก็คือ ความตายนั้นไม่มีใครสามารถตายแทนกันได้ (to die in his place) ส่วนความหมายหลังคือ ไม่มีใครพรากเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้ (take the other’s dying away from him) ความหมายทั้งสองที่กล่าวข้างต้น จะเป็นการนำไปสู่ประเด็นสำคัญในกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ...

การนำเอาทัศนคติหรือข้อปรัชญามาเกี่ยวเข้ากับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับทัศนคติที่เคยมีมาของประชาชนคนไทยที่มีต่อกรณีดังกล่าวกับรอยมลทินของนายปรีดี พนมยงค์ ทำให้ผู้อ่านมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงเจตนารมที่แท้ของผู้เขียนบทความนี้ และ “แอกอันหนึ่ง”ที่กล่าวถึงนี้คือ “แอก”ที่มีคนขี่ค้ำอยู่อีกไม่รู้เท่าไหร่ ใช่หรือไม่? ขอยกมาให้อ่านต่ออีกสักหน่อยเถอะ

(หน้า ๓๐ –๓๑) ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ให้ความหมายการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ ที่ซับซ้อนยอกย้อนอย่างมีนัยยะพิเศษในสังคมไทย กล่าวคือ ไม่เพียงแต่ทำในสิ่งที่ขัดขืนต่อความคิดที่ว่า “ไม่มีใครสามารถถือเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้” เท่านั้น แต่ได้พรากเอาความตายไปจากพระองค์ท่าน ด้วยการทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นอมตะ เพราะในทัศนะของเสนีย์นั้น การสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นั้นเป็นผลส่งให้ดวงวิญญาณของพระองค์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณของความเป็นชาติ และเท่ากับ “ได้ชุบชีวิตในหลวงอานันท์ให้ฝังสนิทแนบอยู่ในวิญญาณของชาติอันไม่รู้จักตาย ตายอย่างผู้บริสุทธิ์เยี่ยงพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนการเมือง พระองค์ได้สละแล้วซึ่งชีวิตเพื่อปลุกคนไทยให้ตื่นทั่วแผ่นดิน” การหลอมรวมวิญญาณของพระองค์เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณของชาตินั้น ได้ทำให้พระองค์กลายเป็นอมตะหรือไม่ตาย เพราะ “วิญญาณของชาติไทยเป็นวิญญาณที่ฆ่าไม่ตาย”

ไม่เพียงเท่านั้น หากเสนีย์ยังได้ผลักเอาความตายของพระองค์ไปหยิบยื่นให้แก่คนอีกผู้หนึ่งไปตายแทนพระองค์ เพราะการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นั้น กลับมีผลทำให้ต้องออกมรณบัตรแก่อีกบุคคลหนึ่ง คือ ทำให้ปรีดี พนมยงค์ “ถึงฆาตทางการเมือง” ซึ่งเมื่อกล่าวตามสำนวนของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็คือ “ชะตาท่านปรีดีตกที่นั่งถึงฆาตทางน้ำ (คือ) น้ำลายประชาชนคนไทย” จนถึงกับต้อง “ตายทั้งเป็น” เพราะฉะนั้น การสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ ไม่เพียงแต่ได้ทำให้พระองค์กลับมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่ยังได้กลับตาลปัตรผลักดันให้คนอีกผู้หนึ่งตกที่นั่งถึงแก่มรณะลงเสมือนหนึ่งว่าปรีดีได้ “ตายแทน” พระองค์

นั่นเป็นเพียงบางส่วนที่ขอตัดทอนมา ด้วยเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ เป็นการปะติดปะต่อ “รายละเอียด”ข้อมูลและทัศนะจากหนังสือหลายเล่ม จากทัศนคติของหลายฝ่าย แล้วเชื่อมโยงให้ลงตัว กระชับ รัดกุม เหมาะสมกับพื้นที่ของนิตยสาร หากเป็นไปได้ปาจารยสารเล่มนี้ควรหามาเก็บ หามาอ่านอย่างยิ่ง เข้าใจว่าน่าจะติดต่อได้โดยตรงกับกองสาราณียกร เพราะเชื่อว่า นอกจากครูสาวผู้สนใจใคร่รู้ต่อกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ แล้ว อาจจะยังมีบางคนที่ยังคงให้ความสนใจอยู่บ้าง และเพราะเชื่อว่าหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ต่อกรณีนี้เหมือนถูก “สับ”ให้ขาดช่วง ห่างหาย ไปเสียนาน แม้กระทั่งวันที่ ๙ มิถุนายน ของทุกปี ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลหรือ “ใคร?” ออกมาแสดงความรู้สึกกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นอกจากประโคมข่าวกันในวันรัฐธรรมนูญ วันประชาธิปไตยแห่งชาติ วันภาษาไทยแห่งชาติ วันอะไรต่อมิอะไรแห่งชาติกันให้จำไม่หวาดไหว

ไม่เท่านั้น ความ “พยายาม”ที่จะทำให้กรณีดังกล่าวถูกปิดเงียบงึมไปจากความรับรู้ของคนในสังคมจากอดีตถึงปัจจุบันก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียน โดยการกระทำต่าง ๆ เช่นว่า การยกย่องเทิดทูน “บางสิ่ง” หรือ “บางส่วน”ให้มากเกิน มากล้น ก็อาจทำให้ “บางสิ่งที่ถูกลืมอยู่แล้ว”ถูกทำให้เงียบหายไปเลย

ดังที่ซาลาดินได้เขียนไว้ในตอน “ความเป็นไปได้ของการตายทั้งเป็น”ว่า ความพยายามในการฝังศพ “ปีศาจทางการเมือง”เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นประเด็นอันตรายและล่อแหลมในทางการเมืองสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์ ที่อาจจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มนิยมเจ้ากับกลุ่ม “ปีศาจทางการเมือง”อันทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุดปัญหาหนึ่ง ที่ยังปราศจากการค้นคว้าในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเสมือนการทำให้ “ข้อต่อของกาลเวลาแยกออกจากัน”หรือ “the time is out of joint” ที่ยุ่งยากต่อการอธิบายและการทำความเข้าใจเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ก่อให้เกิดความคลุมเครือขึ้นอย่างที่หาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทยในช่วงอื่นใดมาเปรียบเทียบได้ยาก ดังที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นว่ากรณีสวรรคตเป็น “แอกทางประวัติศาสตร์”(burden of history) อันหนึ่งของสังคมไทย ...ฯลฯ ...

แล้ว “แอกทางประวัติศาสตร์”อันหนึ่งนี้ จะพัฒนาไปเป็น “อย่างอื่น”ที่ “พร้อม”หรือจะรอจังหวะ “เหมาะสม”ใด เพื่ออะไร หรือใคร “ปีศาจทางการเมือง”จะแปรโฉมหน้าเลียนแบบ “คนตุลาฯ”หรือไม่

ไม่อยากจะคาดเดา ได้แต่ภาวนาว่า...

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ ผู้เขียน : องอาจ เดชา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา พ.ศ.2548 ได้อ่านงานเขียนสารคดีที่เป็นบทบันทึกช่วงชีวิตของอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ที่กลั่นร้อยจากความมุ่งมั่นขององอาจ เดชา นักเขียนสารคดีหนุ่มมือเอกแล้ว มีหลายความรู้สึกที่อยากเล่าสู่กันฟัง อีกทั้งทำให้อยากลุกมาเขียนจดหมายถึงคนต้นเรื่องคนนั้นด้วย กล่าวถึงงานเขียนสารคดีสักครู่หนึ่งเถอะ... สารคดีเป็นงานเขียนที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ข้อมูลทุกรายละเอียดล้วนเคารพต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันงานเขียนสารคดีเล่ม ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ นี้ เป็นลักษณะกึ่งอัตชีวประวัติ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ม่านดอกไม้ ผู้เขียน : ร. จันทพิมพะ ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า พ.ศ.2541 ไม่นานมานี้มีโอกาสไปเยี่ยมชมวังเก่าที่เมืองโคราช เจ้าของบ้านเป็นครูสาวเกษียณราชการแล้ว คนวัยนี้แล้วยังจะเรียก “สาว” ได้อีกหรือ.. ได้แน่นอนเพราะเธอยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งน้ำเสียงกังวานและแววตาที่มีความฝันเปี่ยมอยู่ในนั้น วังเก่าหลังนั้นอยู่ใกล้หลักเมือง วางตัวสงบเย็นอยู่ใจกลางแถวของอาคารร้านค้า ลมลอดช่องตึกทำให้อากาศโล่ง เย็นชื่น พวกไม้ดอกประดับแย้มใบเขียวสดรับละอองฝน…
สวนหนังสือ
นายยืนยง      ชื่อหนังสือ     : ชีวิตและงานกวีเอกของไทย ผู้เขียน          : สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร จัดพิมพ์โดย   : สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา พิมพ์ครั้งแรก  : 27 มีนาคม พ.ศ.2508 ตั้งแต่เครือข่ายพันธมิตรประชาชนฯ เริ่มชุมนุมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เสียงจากสถานีเอเอสทีวีก็กังวานไปทั่วบริเวณบ้านที่เช่าเขาอยู่ มันเป็นบ้านที่มีบ้านบริเวณกว้างขวาง และมีบ้านหลายหลังปลูกใกล้ ๆ กัน ใครเปิดทีวีช่องอะไรเป็นได้ยินกันทั่ว คนที่ไม่ได้เปิดก็เลยฟังไม่ได้สรรพ…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : มาตุภูมิเดียวกัน ผู้เขียน : วิน วนาดร ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรกเมื่อกันยายน 2550   ปี 2551 นี้รางวัลซีไรต์เป็นรอบของเรื่องสั้น สำรวจดูจากรายชื่อหนังสือที่ส่งเข้าประกวด ดูจากชื่อนักเขียนก็พอจะมองเห็นความหลากหลายชัดเจน ทั้งนักเขียนที่ส่งมากันครบทุกรุ่นวัย แนวทางของเรื่องยิ่งชวนให้เกิดบรรยากาศคึกคัก มีสีสันหากว่ามีการวิจารณ์หนังสือกันที่ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกค่าย ไม่เลือกว่าเป็นพรรคพวกของตัว อย่างที่เขาว่ากันว่า เด็กใครก็ปั้นก็เชียร์กันตามกำลัง นั่นไม่เป็นผลดีต่อผู้อ่านนักหรอก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นกชีวิต ประเภท : กวีนิพนธ์ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อมีนาคม 2550 ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งบทกวีก็สนทนากันเอง ระหว่างบทกวีกับบทกวี ราวกับกวีสนทนากับกวีด้วยกัน ซึ่งนั่นหาได้สำคัญไม่ เพราะความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกระหว่างผู้สร้างสรรค์ (กวี) กับผู้เสพอย่างเรา ๆ แต่หมายถึงบรรยากาศแห่งการดื่มด่ำกวีนิพนธ์ เป็นการสื่อสารจากใจสู่ใจ กระนั้นก็ตาม ยังมีบางทัศนคติที่พยายามจะแบ่งแยกกวีนิพนธ์ออกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นกวีฉันทลักษณ์ เป็นกวีไร้ฉันทลักษณ์…
สวนหนังสือ
นายยืนยงประเภท          :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย      :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้า (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2530)ผู้ประพันธ์     :    Bhabani Bhattacharyaผู้แปล         :    จิตร ภูมิศักดิ์
สวนหนังสือ
นายยืนยง"ความรู้รสในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องเฉพาะตัว ตัวใครก็ตัวใคร จะมาเกณฑ์ให้มีความรู้สึกเรื่องรสของศิลปะเหมือนกันทีเดียวไม่ได้  ถ้าทุกคนรู้รสของศิลปะแห่งสิ่งใดเหมือนกันไปหมด สิ่งนั้นก็เป็นสามัญไม่ใช่มีค่าแห่งศิลปะที่สูง” ท่านเสฐียรโกเศศเขียนไว้ในหนังสือ รสวรรณคดี (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๓) ครั้นแล้วความซาบซึ้งในรสของกวีนิพนธ์อันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคุณผู้อ่านเล่าเป็นอย่างไรหนอ ในสถานการณ์ที่กระแสข่าวเน้นนำเสนอทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ความเป็นอยู่ของกวีนิพนธ์จึงดูเหมือนจะซบเซาเหงาเงียบไป ทั้งที่เราต่างก็เติบโตมาท่ามกลางเบ้าหลอมแห่งศิลปะของกวีนิพนธ์ด้วยกัน ทั้งจากเพลงกล่อมเด็ก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง(หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพปก ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๓๒ เดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)ภาพจาก : http://burabhawayu.multiply.com/reviews/item/16 ชื่อนิตยสาร : ปาจารยสาร ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๘ เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕จัดพิมพ์โดย : บริษัท ส่องศยาม
สวนหนังสือ
นายยืนยงบทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์    :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล         :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ      :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์      :     โครงการจัดพิมพ์คบไฟ  พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2541
สวนหนังสือ
นายยืนยง  บทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์            :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล                 :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ         :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์        …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๓
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓