Skip to main content

นายยืนยง

20080528 ปาจา
(หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพปก ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๓๒ เดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ภาพจาก :
http://burabhawayu.multiply.com/reviews/item/16

ชื่อนิตยสาร : ปาจารยสาร
ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๘ เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕
จัดพิมพ์โดย : บริษัท ส่องศยาม

ฤดูฝนตก ฟ้าย่อมเปียกปอน จะออกจากบ้านไปไหนทีก็ยากลำบาก หนึ่งคือกลัวเปียกทั้งอาศัยอยู่ใต้ฟ้า สองคือไม่รู้แห่งจะไป หยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาจากความทรงจำที่ไหนสักแห่ง ความกังวลก็แล่นหายไป

นิตยสาร หมายถึง หนังสือที่พิมพ์ออกเป็นประจำสัปดาห์หรือปักษ์ หรือเดือน บางฉบับอ่านแล้วก็ผ่านเลย บางฉบับมีภาพประดับที่งาม ขณะบางฉบับมีเนื้อหาให้อ่าน เก็บไว้อ่าน หรือเก็บไว้เป็นหน้าบทประวัติศาสตร์ส่งทอดถึงรุ่นลูกหลาน โดยเฉพาะนิตยสารปาจารยสาร ที่เขาเขียนโปรยประจำปกหน้าว่า โยงหัวใจและความคิด เพื่อชีวิตแสวงหา ท้าทายบริโภคนิยม

เมื่อหยิบเล่มเก่าที่ยังอยู่ดีเรียบร้อยในตู้ก็สะดุดใจกับภาพปกฝีมือ วสันต์ สิทธิเขตต์ เป็นภาพพิมพ์แกะไม้ที่มีชื่อว่า “ผมเห็นคุณมีสองหัวเดินไปในเมือง ๒๕๓๑” ชื่อศิลปินกับสายฝนช่างพอเหมาะกันดีแท้

ครั้นจึงนึกได้ว่า เล่มนี้มีบทความน่าอ่านเยอะทีเดียว นึกต่อไปได้อีกว่า ครูสาวคนหนึ่งเคยถามถึงกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ กับนายปรีดี พนมยงค์ คำถามของหล่อนทำให้ฉงน อีกนัยน์ตาของหล่อนนั้นก็เป็นดั่งดวงใจแห่งความกระหายรู้แบบเด็ก ๆ มีหรือใครจะนึกเฉยได้ วันนั้นปาจารยสารเล่มนี้จึงถูกค้นพบในความทรงจำอีกครั้งและทำหน้าที่เป็นวิทยาทานด้วยอาการตื่นใจระคนยินดี

กับวันนี้ที่ฝนทำให้ความทรงจำลื่นละลายออกมา ปาจารยสารเล่มดังกล่าวจึงถูกเปิดอ่านอีกครั้งด้วยชีวิตชีวา

ในหน้าที่ ๒๙ –๓๘ เป็นหัวข้อเรื่องเด่น ที่เขียนโดย ซาลาดิน ชามชาวัลลาชื่อบทความฟังดูหนักหน่วงว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
“แอกอันหนึ่ง”แปลได้ว่าในประวัติศาสตร์ไทยมีแอกที่คอยกดทับเราอยู่มากกว่าหนึ่งแน่นอน ใช่หรือไม่?

เป็นบทความที่เขียนได้อย่างน่านับถือ เพราะเหตุใด? หนึ่งเพราะเป็นความสับสน กำกวม และหลอกลวงสิ้นดีที่คนในประเทศหนึ่งจะถูกปิดหูปิดตาด้วย “ข่าว”และ “สถานการณ์ที่สร้างมากลบ” ดูเอาเถิดว่าแม้แต่คนที่ขึ้นชื่อว่า “ครู”ยังหาได้รู้ความ “จริง”ยังหาความกระจ่างต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งไม่ได้ ขออนุญาตผู้เขียนและกองสาราณียกรของปาจารยสาร ยกส่วนหนึ่งของบทความที่น่าอ่านยิ่งมาไว้ ณ พื้นที่ตรงนี้

ว่ากันถึงหลักการเขียนบทความ ซึ่งไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากนักในเรื่องของโครงสร้าง อย่างที่เราเคยร่ำเรียนกันมานั่นเอง

บทความประกอบด้วย ๓ ส่วนสำคัญ คือ (๑) บทนำหรือการเกริ่นนำผู้อ่าน (๒) เนื้อหาหรือใจความ
(๓) บทสรุป แต่การจะเขียนบทความให้น่าอ่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สลับซับซ้อนเสมอไป อีกทั้งบทความก็มีหลายประเภทด้วยกัน ทั้งบทความวิชาการ บทความแสดงทัศนคติ อะไรต่าง ๆ เราเองก็ต้องยอมรับว่าบทความเป็นเนื้อหลักของการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร

แต่บทความ ว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ที่เขียนโดย ซาลาดิน ชามชาวัลลา นั้นนอกจากเป็นเนื้อหาที่น่าหยิบมาเขียนแล้ว ศิลปะการเขียนของซาลาดิน ชามชาวัลลายังน่าหลงใหลได้ปลื้มอีกด้วย ไม่ทราบว่าเขาหรือเธอผู้นี้คือใครกันหนอ? ใครพอรู้จักมักคุ้น หากกรุณาบอกเล่ากันบ้างจะเป็นพระคุณ...

ด้วยภาษาที่กระชับ มีสำนวนแบบที่เรียกได้ว่า ฉูดฉาด เต็มด้วยสีสัน แต่กลับแกร่งกล้าในตัว โดยเฉพาะการตั้งชื่อบทย่อย เช่น ความเป็นไปได้ของการตายทั้งเป็น การจัดการกับความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเปล่งของปีศาจบางคนอาจรู้สึกได้ถึงลีลาอย่างเรื่องแต่งหรือวรรณกรรมไปพร้อมกันด้วย ไม่เท่านั้น การจัดวางองค์ประกอบ การแบ่งสัดส่วนของข้อมูล ที่เข้าใจว่ามหาศาล (ดูจากส่วนอ้างอิงท้ายบทความที่มีถึง ๑๓ รายการ ซึ่งล้วนหนักหน่วงทั้งสิ้น) เรียกว่าบริหารข้อมูลให้เข้าถึงเป้าหมายได้พอดิบพอดี (อีกทั้งจะไม่ต้อง “เจ็บตัว”จากตัวอักษรของตัวเองด้วย) การบริหารข้อมูล จัด ตัด ทอน เพิ่ม ข้อมูลให้เหมาะเจาะนั้นเป็นข้อพึงสังวรยิ่งสำหรับผู้เขียนบทความ ไม่เช่นนั้นผู้อ่านอาจจะ “ตื้อ”กับข้อมูลพะเรอเกวียนประดานั้นได้

ครั้นมาดูการเกริ่นนำเรื่องของซาลาดินกันบ้าง

ซาลาดินอาศัยทัศนะของนักคิด นักปรัชญา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซีกตะวันตก เป็นเครื่องมือในการปูพื้นความเข้าใจร่วมกันกับผู้อ่าน (เพื่อดึงเอาสถานภาพระหว่าง ๒ คน เข้ามาเทียบเคียงกัน) ขอยกมาให้อ่านกันดังต่อไปนี้

ความตายคือ “ความเป็นไปได้ของความสามารถที่จะไม่ต้องอยู่ที่นั่นอีกต่อไป (the possibility of a being-albe-no-longer-to-be=there)” หรือ คือ “ความเป็นไปได้ของความเป็นไปไม่ได้ในทุก ๆ วิถีแห่งการดำรงอยู่ (the possibility of the impossibility of every way of…existing” หรือ

นอกจากนี้ ไฮเดกเกอร์ยังมีความเห็นต่อไปว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ (คนผู้หนึ่ง) จะตายเพื่อผู้อื่นในความหมายที่ว่าเป็นการ ‘ตายแทนคนผู้นั้น’ ต่อให้เขาจะตายเพื่อผู้อื่นโดย พลี (หรือสังเวย) ความตายของตัวให้แก่ผู้อื่นไปก็ตาม” อย่างไรก็ตาม ในฉบับแปลจากภาษาฝรั่งเศส มีความหมายเป็นไปในทำนองว่า คนเราไม่สามารถตายแทนกันได้ ... ฯลฯ... “ไม่มีใครสามารถถือเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้ แน่นอนว่า บางคนสามารถ ‘เดินไปสู่ความตายของตนเพื่อคนอื่น’ ได้ แต่นั่นย่อมหมายถึงการอุทิศตนเพื่อคนอื่น ‘ในกิจการบางเรื่องที่แน่นอน’ ” กล่าวโดยสรุปก็คือ ความตายนั้นไม่มีใครสามารถตายแทนกันได้ (to die in his place) ส่วนความหมายหลังคือ ไม่มีใครพรากเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้ (take the other’s dying away from him) ความหมายทั้งสองที่กล่าวข้างต้น จะเป็นการนำไปสู่ประเด็นสำคัญในกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ...

การนำเอาทัศนคติหรือข้อปรัชญามาเกี่ยวเข้ากับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับทัศนคติที่เคยมีมาของประชาชนคนไทยที่มีต่อกรณีดังกล่าวกับรอยมลทินของนายปรีดี พนมยงค์ ทำให้ผู้อ่านมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงเจตนารมที่แท้ของผู้เขียนบทความนี้ และ “แอกอันหนึ่ง”ที่กล่าวถึงนี้คือ “แอก”ที่มีคนขี่ค้ำอยู่อีกไม่รู้เท่าไหร่ ใช่หรือไม่? ขอยกมาให้อ่านต่ออีกสักหน่อยเถอะ

(หน้า ๓๐ –๓๑) ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ให้ความหมายการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ ที่ซับซ้อนยอกย้อนอย่างมีนัยยะพิเศษในสังคมไทย กล่าวคือ ไม่เพียงแต่ทำในสิ่งที่ขัดขืนต่อความคิดที่ว่า “ไม่มีใครสามารถถือเอาความตายของผู้อื่นไปจากตัวเขาได้” เท่านั้น แต่ได้พรากเอาความตายไปจากพระองค์ท่าน ด้วยการทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นอมตะ เพราะในทัศนะของเสนีย์นั้น การสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นั้นเป็นผลส่งให้ดวงวิญญาณของพระองค์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณของความเป็นชาติ และเท่ากับ “ได้ชุบชีวิตในหลวงอานันท์ให้ฝังสนิทแนบอยู่ในวิญญาณของชาติอันไม่รู้จักตาย ตายอย่างผู้บริสุทธิ์เยี่ยงพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนการเมือง พระองค์ได้สละแล้วซึ่งชีวิตเพื่อปลุกคนไทยให้ตื่นทั่วแผ่นดิน” การหลอมรวมวิญญาณของพระองค์เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณของชาตินั้น ได้ทำให้พระองค์กลายเป็นอมตะหรือไม่ตาย เพราะ “วิญญาณของชาติไทยเป็นวิญญาณที่ฆ่าไม่ตาย”

ไม่เพียงเท่านั้น หากเสนีย์ยังได้ผลักเอาความตายของพระองค์ไปหยิบยื่นให้แก่คนอีกผู้หนึ่งไปตายแทนพระองค์ เพราะการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นั้น กลับมีผลทำให้ต้องออกมรณบัตรแก่อีกบุคคลหนึ่ง คือ ทำให้ปรีดี พนมยงค์ “ถึงฆาตทางการเมือง” ซึ่งเมื่อกล่าวตามสำนวนของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็คือ “ชะตาท่านปรีดีตกที่นั่งถึงฆาตทางน้ำ (คือ) น้ำลายประชาชนคนไทย” จนถึงกับต้อง “ตายทั้งเป็น” เพราะฉะนั้น การสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ ไม่เพียงแต่ได้ทำให้พระองค์กลับมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่ยังได้กลับตาลปัตรผลักดันให้คนอีกผู้หนึ่งตกที่นั่งถึงแก่มรณะลงเสมือนหนึ่งว่าปรีดีได้ “ตายแทน” พระองค์

นั่นเป็นเพียงบางส่วนที่ขอตัดทอนมา ด้วยเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ เป็นการปะติดปะต่อ “รายละเอียด”ข้อมูลและทัศนะจากหนังสือหลายเล่ม จากทัศนคติของหลายฝ่าย แล้วเชื่อมโยงให้ลงตัว กระชับ รัดกุม เหมาะสมกับพื้นที่ของนิตยสาร หากเป็นไปได้ปาจารยสารเล่มนี้ควรหามาเก็บ หามาอ่านอย่างยิ่ง เข้าใจว่าน่าจะติดต่อได้โดยตรงกับกองสาราณียกร เพราะเชื่อว่า นอกจากครูสาวผู้สนใจใคร่รู้ต่อกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ แล้ว อาจจะยังมีบางคนที่ยังคงให้ความสนใจอยู่บ้าง และเพราะเชื่อว่าหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ต่อกรณีนี้เหมือนถูก “สับ”ให้ขาดช่วง ห่างหาย ไปเสียนาน แม้กระทั่งวันที่ ๙ มิถุนายน ของทุกปี ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลหรือ “ใคร?” ออกมาแสดงความรู้สึกกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นอกจากประโคมข่าวกันในวันรัฐธรรมนูญ วันประชาธิปไตยแห่งชาติ วันภาษาไทยแห่งชาติ วันอะไรต่อมิอะไรแห่งชาติกันให้จำไม่หวาดไหว

ไม่เท่านั้น ความ “พยายาม”ที่จะทำให้กรณีดังกล่าวถูกปิดเงียบงึมไปจากความรับรู้ของคนในสังคมจากอดีตถึงปัจจุบันก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียน โดยการกระทำต่าง ๆ เช่นว่า การยกย่องเทิดทูน “บางสิ่ง” หรือ “บางส่วน”ให้มากเกิน มากล้น ก็อาจทำให้ “บางสิ่งที่ถูกลืมอยู่แล้ว”ถูกทำให้เงียบหายไปเลย

ดังที่ซาลาดินได้เขียนไว้ในตอน “ความเป็นไปได้ของการตายทั้งเป็น”ว่า ความพยายามในการฝังศพ “ปีศาจทางการเมือง”เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นประเด็นอันตรายและล่อแหลมในทางการเมืองสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์ ที่อาจจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มนิยมเจ้ากับกลุ่ม “ปีศาจทางการเมือง”อันทำให้กรณีสวรรคตกลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุดปัญหาหนึ่ง ที่ยังปราศจากการค้นคว้าในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเสมือนการทำให้ “ข้อต่อของกาลเวลาแยกออกจากัน”หรือ “the time is out of joint” ที่ยุ่งยากต่อการอธิบายและการทำความเข้าใจเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ก่อให้เกิดความคลุมเครือขึ้นอย่างที่หาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทยในช่วงอื่นใดมาเปรียบเทียบได้ยาก ดังที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นว่ากรณีสวรรคตเป็น “แอกทางประวัติศาสตร์”(burden of history) อันหนึ่งของสังคมไทย ...ฯลฯ ...

แล้ว “แอกทางประวัติศาสตร์”อันหนึ่งนี้ จะพัฒนาไปเป็น “อย่างอื่น”ที่ “พร้อม”หรือจะรอจังหวะ “เหมาะสม”ใด เพื่ออะไร หรือใคร “ปีศาจทางการเมือง”จะแปรโฉมหน้าเลียนแบบ “คนตุลาฯ”หรือไม่

ไม่อยากจะคาดเดา ได้แต่ภาวนาว่า...

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม