Skip to main content

นายยืนยง

20080611 bookgarden

ประเภท          :    วรรณกรรมแปล
จัดพิมพ์โดย      :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้า (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2530)
ผู้ประพันธ์     :    Bhabani Bhattacharya
ผู้แปล         :    จิตร ภูมิศักดิ์

ใครเล่าจะหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้ตลอด?  
ถ้อยอักษรจากหน้า 424 ในอมตะนิยายเรื่อง คนขี่เสือได้กะเทาะเปลือกจิตวิญญาณมนุษย์ออกมาอย่างเข้มข้น และอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ คนขี่เสือมาบ้าง บางคนอาจเคยอ่าน และรู้ซึ้ง แน่นอนว่านวนิยายเรื่องนี้จะยังคงอยู่ในใจผู้ที่เคยอ่านมัน เคยสนุก เคยดื่มด่ำ เคยซาบซึ้ง กับมัน แม้ว่าเราจะไม่เคยได้สัมผัสถึงรสชาติชีวิตเยี่ยง คนขี่เสือแต่เราก็จะรักมันและมอบให้เป็นหนังสือในดวงใจเล่มหนึ่ง

คนขี่เสือ เคยถูกกล่าวขานถึงในหลายแง่มุม ในนามหนึ่ง คนขี่เสือถือเป็นวรรณกรรมปฏิวัติทางชนชั้นวรรณะของอินเดียที่ทรงอิทธิพล ขณะอีกในนามหนึ่ง ก็เป็นวรรณกรรมที่สร้างขวัญกำลังใจให้ลุกขึ้นต่อสู้ ส่วนในแง่ของอรรถรสทางวรรณศิลป์นั้น นามของจิตร ภูมิศักดิ์ผู้แปล เราก็รู้จักกันดีถึงฝีมือและศักยภาพ
 
ส่วนเค้าโครงเรื่องที่แต่งตามขนบของเรื่องแต่งนั้น มีการวางเค้าโครงเรื่อง การปูพื้นฐานตัวละคร สร้างลักษณะนิสัยจำเพาะ โศกนาฏกรรม และความสะเทือนใจ แต่คุณค่าที่แท้ของวรรณกรรมหาใช่อยู่ที่องค์ประกอบโครงสร้างเท่านั้น หากอยู่ที่จิตวิญญาณของวรรณกรรม ซึ่งได้เข้าสถิตอยู่ในใจของผู้อ่าน

ขณะที่วรรณกรรมได้สัญจรลึกเข้าถึงจิตวิญญาณของเราผ่านภาษาที่สลักร้อยอย่างประณีตนั้น เราต้องยอมรับเสียก่อนว่า ภาษาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่เจตนารมของผู้ประพันธ์ โดยเฉพาะวรรณกรรมแปล ยิ่งต้องผ่านปราการทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณีส่งผ่านศิลปะการแปลอีกทอดหนึ่ง กว่าจะมาถึงเราผู้อ่าน สำนวนการแปลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ละเอียดอ่อน และควรใจใส่พิจารณาให้ถ่องแท้ ด้วยเหตุที่ว่าการเดินทางข้ามวัฒนธรรม หรือนำเอาวัฒนธรรมออกเผยแพร่สู่สายตาของวัฒนธรรมอื่นนั้น อาจจะมีเหตุผลแฝงอื่นพ่วงพันมาด้วย เราจะเห็นได้จากหนังสือแปลที่ออกสู่ตลาดการอ่านจากอเมริกาบ้าง จากอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นหรือเกาหลีบ้าง ซึ่งบ่อยครั้งนักวิจารณ์ได้ออกความเห็นไปทำนองที่ว่า เป็นการล่าอาณานิคมแบบใหม่ หรือเป็นการแสวงหาอำนาจซื้อใหม่ ๆ จากภายนอกประเทศ แต่กับ คนขี่เสือเราจะเข้าใจได้ว่าเป็นการแสวงหาแนวร่วมเพื่อไปสู่โลกใหม่ โลกแห่งความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ

เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ในอินเดียมีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน และมีกฎบังคับตายตัวยิ่งเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างวรรณะ เห็นจะไม่ต้องกล่าวซ้ำไว้ ณ ที่นี้ หากมองผิวเผินด้วยวัฒนธรรมใหม่ในเชิงที่ว่า มนุษย์มีสิทธิโดยเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน ชนชั้นวรรณะของอินเดียอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการฆาตกรรมมนุษยชาติก็เป็นได้ แต่หากได้ศึกษาลึกซึ้งในหลายแง่มุม บางคนอาจมองว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกของโลกก็ได้

คนขี่เสือ เป็นเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันของช่างตีเหล็กชนชั้นกรรมกรกับลูกสาว
กาโล พ่อช่างตีเหล็ก เป็นการ์มา (กรรมกร)เนื้อตัวดำเมื่อม ผู้กรำงานหนัก ทั้งชีวิตเขารักลูกสาวนามจันทรเลขายิ่งกว่าชีวิตเขาเอง พยายามทุกวิถีทางจะให้เลขาได้เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนบาทหลวงฝรั่ง ซึ่งมีแต่เด็กวรรณะสูงได้เข้าเรียน และเลขาก็เรียนได้ดีเลิศ ขณะที่ลูกสาวเรียน กาโลผู้พ่อก็หาเวลาว่างอ่านหนังสือของลูกด้วย เลขาเองแม้จะได้เรียนสูง แต่เธอก็ชื่นชมฝีมือการตีเหล็กของพ่อมากกว่า ในทุกความรู้สึกนั้นสองพ่อลูกมั่นคงต่อรากเหง้าของชนชั้นตัวเอง

เมื่อสงครามดึงเอายุคเข็ญเข้าสู่เบงกอล เมืองชรานาที่สองพ่อลูกอาศัยอยู่เริ่มอดอยากแร้นแค้น ไม่มีใครว่าจ้างกาโลตีเหล็ก ซ่อมหม้อน้ำ ขณะผู้อดอยากต่างมุ่งหวังอาหารและอพยพเข้าสู่กัลกัตตา กาโลเองจำยอมจากเลขา โดยฝากเธอไว้กับป้าหญิงชราของเธอ

วิกฤตของสงครามที่แผ่เชื้อโรคเป็นความหิวโหยแสบไส้ให้ระบาดเข้าสู่ลำไส้ประชาชนนับล้าน มันคร่าชีวิตผู้คนไปจากอาหารเพียงให้พอประทังลมหายใจ กาโลเองก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เขาโดยสารรถไฟสายที่บรรทุกความอดอยากไปสู่ความหวังที่จะยังชีพในกัลกัตตา ความหิวได้สั่งให้เขาขโมยกล้วยสามผล และสุดท้ายก้าวย่างแรกที่บันดาลให้เขาจำต้องก้าวขึ้นสู่หลังเสือ ที่นั่นคือ คุก สถานจองจำอิสรภาพ

ป.14 คือชื่อเรียกขานในคุกของกาโล ความรู้สึกที่ร้อนรุ่มของผู้ถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่าสั่งสมอยู่ในอกของการ์มาเช่นเขาตลอดมา และที่นั่นเขาได้พบเพื่อน บ.10 นักโทษหนุ่มข้อหาปลุกเร้าให้ประชาชนผู้หิวโหยในเมืองหลวงเข้าปล้นร้านอาหาร เป็นบ.10 อีกนั่นเองที่แนะนำวิธีการหากินให้กาโลเมื่อเขาไปถึงกัลกัตตา

เมื่อพ้นโทษกาโลมุ่งหน้าเข้ากัลกัตตาด้วยความหิวโหย เขาพยายามหางานทำโดยทำหน้าที่เข็นศพคนตายตามท้องถนนเอาไปที่บ้านคุณหมอ เพื่อเลาะเอากระดูกไปขายเมืองนอก กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ทำงานเป็นคนคุมซ่องเพื่อแบ่งเบาความหิวของเขาออกไปเสียบ้าง และขณะทำงานนั้นก็ได้พบกับเลขา ลูกสาวผู้ถูกนางแม่เล้าหลอกเอามาขายซ่อง แม้กาโลช่วยลูกสาวออกมาได้ทัน แต่บาดแผลที่กรีดรอยฝังลึกในจิตวิญญาณของหญิงสาวยังสร้างรอยทางทุกข์โศกแก่เธอเหมือนอย่างจะไม่มีวันเลือนหาย

กาโลนึกถึงบทเพลงของนักโทษ (น.198-199) และเล่าให้เลขาฟังว่า
“ลูกเข้าใจถึงความรู้สึกเบื้องหลังเพลงที่นักโทษร้องเวลาทำงานยังกะวัวกะควายไหม ? ” เขาปาดเอาเหงื่อจากใบหน้ามาไว้ในกำมือ แล้วก็สวดพร้อมกันเป็นหมู่ว่า “กินนี่สิ น้ำมันจากกระดูกของพวกกู กินซะ..เอานี่ไปทอดปลา...อี้ เอานี่ไปใส่แกงมะเขือที่พวกมึงโปรดปรานกันนัก...แล้วนี่เอาไว้ทาตัว...กินนี่สิน้ำมันกระดูกของพวกกู กินซะ !”  และคำพูดในคุกของ บ.10 ที่ว่า (น.72)

“เราเป็นคนชั้นต่ำเป็นผงคลีดิน ได้พวกที่เป็นเจ้านายมันสาปแช่งด่าทอเรา เพราะมันกลัวเรา มันชกเราตรงที่เจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุด – ตรงท้องของเรานี่ เราต้องชกตอบ”

เมื่อถูกกระทำหยามเหยียดจนรวดร้าวถึงที่สุดแล้ว กาโลตัดสินใจก้าวขึ้นหลังเสือเพื่อแก้แค้น เป็นการตีโต้ที่หนักหน่วง เขาทำตามแผนการของ บ.10 และกลายเป็นผู้เกิดสองหน (น.201)

เขาแสดงบทบาทของพราหมณ์ได้ด้วยท่าทางอันเหมือนกับเป็นผู้เกิดสองหนที่แท้จริง เคล็ดลับในการเป็นผู้อยู่ในวรรณะสูงนั้นวางอยู่ในกำมือของเขา และเขาก็กำลังพิทักษ์รักษามันไว้เพื่อให้เป็นกำลังของเขาเอง เออ, มันได้กลายมาเป็นเกราะป้องกันภัยแม้กระทั่งจากตัวของเขาเองเข้าแล้วหรือนี่? หรือว่าสายเชือกด้ายศักดิ์สิทธิ์ที่เขาคล้องเฉวียงบ่าผ่านหน้าอกลงมานั้นมันได้รึงรัดเอาดวงใจของเขาไว้เสียด้วยแล้วหรือไฉน?

กาโลได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในชื่อใหม่และวรรณะใหม่ เขาคือ มงคล อธิการี ฐานะของข้าช่วงใช้ของพระศิวะ เจ้าอธิการในเทวาลัยอันสง่างาม ฐานะความเป็นอยู่ของเขาและเลขาดีขึ้นเป็นลำดับด้วยเงินบริจาค แต่เลขายังคงจมอยู่ในบาดแผลอันร้าวรานนั้นอยู่ตลอดมา กาโลเองก็สังเกตเห็นมาโดยตลอด

แม้กาโลจะครองวรรณะใหม่ได้อย่างสง่างาม แต่เขาไม่อาจละทิ้งความซื่อสัตย์ต่อความเป็นกามาร์ของตัวเองได้ วันหนึ่งเขาได้พบกับ วิศวนาถ ชายชราอีดตช่างตีเหล็กผู้หิวโซ กาโลรับวิศวนาถเข้ามาช่วยงานเล็กน้อยที่เทวสถาน และวิศวนาถนี่เองที่สะกิดให้เขาตระหนักที่จะซื่อสัตย์ในรากเหง้าของตนเอง เขาแอบเอาน้ำนมจากพิธีสรงพระศิวะที่ต้องนำไปเทลงสู่แม่น้ำคงคาตามธรรมเนียม โดยนำเอาน้ำนมนั้นไปแจกจ่ายให้เด็ก ๆ ผู้หิวโหยตามท้องถนน กระทั่งถูกพราหมณ์เฒ่าผู้ดูแลเรื่องพิธีกรรมในเทวสถานจับได้ แต่กาโลออกหน้ารับแทน โดยไม่ยอมไล่วิศวนาถออกจากงาน (น.225) ทำให้วิศวนาถซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาพูดกับกาโลว่า

“ตราบใดที่พวกนี้ยังมีคนอย่างหลวงพ่อ, เขาก็ปลอดภัย ”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ตราบใดที่ยังมีพราหมณ์ที่มีดวงใจเป็นพราหมณ์อย่างแท้จริงอย่างท่านอยู่ ประชาชนก็จะไม่หมดความศรัทธาในระบบสังคมเช่นนี้”


ดวงใจเป็นพราหมณ์? เขาหรือ? กาโลอยากจะหัวเราะ ถ้าหากชายชราผู้นี้รู้ความจริงละก็...? ถ้าหากวิศวนาถเพียงแต่รู้ว่าเขาคือมหาโจรที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์ของนครนี้... และรู้ว่าวิศวนาถกับเจ้าอธิการเทวาลัยเป็นพี่น้องร่วมวรรณะเดียวกัน ...

ในที่สุดกาโลก็เอาชนะในเรื่องน้ำนมได้ เขาฉลาดที่จะใช้อำนาจเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่าง ขณะเดียวกันเขาก็ได้แก้แค้นด้วย

เมื่อกาโลได้ก้าวขึ้นนั่นบนหลังเสือ ทรงตัวและบังคับเสือให้เดินไปตามอำนาจของตัวเองนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับความสับสน ความเจ็บปวดที่สาหัส บ่อยครั้งเขานึกถึงชีวิตแบบช่างตีเหล็กที่เมืองชารนาบ้านเกิด ซึ่งก็ได้แต่โหยหาเท่านั้น เขาไม่สามารถก้าวลงจากหลังเสือได้ กระทั่งเมื่อ บ.10 พ้นโทษออกจากคุกมาและได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากกาโลที่ไปรอรับเขาที่หน้าประตูคุกพร้อมกับเลขา

บ.10 หรือเขาบอกให้ใคร ๆ เรียกเขาว่า บีเทน เป็นวรรณะพราหมณ์โดยกำเนิด แต่เขาได้เป็นผู้เกิดสองครั้ง (ทวิชากร) โดยดึงสายเชือกศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของวรรณะพราหมณ์ทิ้งไป

เขารู้สึกเป็นอิสระจากรากเหง้าเดิมของเขา, รากที่หยั่งความเชื่ออย่างล้ำลึกลงไปในหัวใจของพ่อและแม่ของเขา และบิดเบือนความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ของพ่อและแม่ไปเสียจนไม่หลงเหลือคงรูป (น.296)

น่าหัวเราะเยาะหยันเสียนี่กระไร ที่เขาผู้ซึ่งได้สลัดขาดแล้วจากศาสนาพราหมณ์ได้กลายกลับมาเป็นเครื่องมือในการสร้างพราหมณ์ขึ้นใหม่อีกผู้หนึ่ง ( นั่นคือ กาโล) นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ? พราหมณ์ใหม่กำลังดำเนินงานไปตามแผน เพื่อทำให้คนทั้งหลายทำลายความสูงส่งศักดิ์สิทธิ์แห่งวรรณะของตน และกระทำประทุษฐกรรมต่อเทวะผู้ทรงศักดิ์ และมิใช่พราหมณ์ใหม่ผู้นี่ดอกหรือ ที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อของผู้อื่นและจะพาบรรดาผู้คนไปสู่ความหายนะในท่ามกลางความขัดแย้งอันประหลาดล้ำนี้ (น.300-301)

เรื่องดำเนินมาถึงวาระที่กาโลตัดสินใจเด็ดขาด เขาไม่อยากหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยท่าทีที่บีเทน (บ.10)มีต่อเขา ท่ามกลางการเดินขบวนเรียกร้องอาหารที่กึกก้องกังวานราวกับเสียงครืนคำรามของสายฟ้าฟาด

เขากำลังขี่หลังเสือ และไม่สามารถจะลงมาได้ เขานั่งคร่อมอยู่ ทั้งทั้งที่อยากจะเลิกแต่ก็ช่วยไม่ได้, ในเมื่อเจ้าสัตว์หน้าขนเยื้องย่างบ้างวิ่งบ้างตามใจชอบ. แต่แม้ในขณะที่เขาขี่คร่อมมันอยู่, เขาได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีทางใดที่จะลงจากหลังของมัน นอกจากจะฆ่ามันเสีย

แต่ทว่าความปรารถนาที่จะฆ่าเสือทวีมากขึ้นเพราะพลังอันแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเขา, พลังที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย มันเป็นพลังที่ฟักตัวขึ้นจากการที่ได้เห็นประชาชนในสภาพอันเป็นจริง. ครั้งหนึ่งเขาเคยแต่จ้องมองดูใบหน้าของผู้ที่สูงเกียรติกว่า, บรรดาสมาชิกของสังคม “ชั้นสูง” ซึ่งเงาของสังคมนั้นครั้งหนึ่งได้หวดกระหน่ำเขาให้จมลงไปในความทุกข์ยากลำเค็ญ. แต่แล้วต่อมาเขาได้กลับกลายไปเป็นคนที่มีฐานะเสมอกับพวกมัน และมีราคาค่าตัวเท่ากับพวกนั้น. (น.413-414)

และ ณ บัดนี้ ท่ามกลางไฟ ยัคญะที่ได้จุดโพลงขึ้น, ท่ามกลางอากาศอันตลบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและเสียงสวดสาธยายมนตร์, คือเวลาอันเหมาะยิ่งแก่การฆ่า.  (น.414)

ใครเล่าจะหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้ตลอด?

เรื่องราวของคนขี่เสือ เป็น “นิยายแห่งอิสรภาพ นิยายที่จะบันดาลใจและปลุกประชาชน”นั่นคือคำกล่าวของบีเทน (บ.10) ที่ชื่นชมในการ “ฆ่าเสือ”ครั้งนี้ของกาโล

เมื่อคนขี่เสือ อย่างกาโลได้ก้าวลงจากสถานภาพอันสูงส่งได้สำเร็จ แม้ว่าการก้าวขึ้นหลังเสือของเขาจะถูกบงการด้วยความรู้สึกอยากแก้แค้น อยากทวงคืนความเป็นธรรมมาสู่ชนชั้นวรรณะของตนเอง แต่มรรคผลที่ได้จาก คนขี่เสืออย่างกาโล ยังเป็นมรรควิถีที่ยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก หาใช่คนขี่หลังเสือเยี่ยงนักการเมืองบางชั่ว ข้าราชการจอมทุจริต ที่อาศัยหยิบฉวยความสูงส่งของคำว่า คนขี่เสือเพื่อตีสีหน้าเย่อหยิ่งลอยตัวบนหลังเสือพลาสติกที่แต้มสีไว้เฉิดฉาย อย่าลืมแม้เสือพลาสติกจะกัดใครไม่เป็น แต่เสือพลาสติกก็พร้อมจะย่อยยับลงได้ด้วยเพียงมือหรือเท้าของคนธรรมดา ๆ .

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2536 ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร ผู้เขียน : ดอกเกด ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์ ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess) ผู้เขียน : ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett) ผู้แปล : เนื่องน้อย ศรัทธา ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน ปีกลายที่ผ่านมา มีหนังสือขายดีติดอันดับเล่มหนึ่งที่สร้างกระแสให้เกิดการเขียนหนังสืออธิบาย เพื่อตอบสนองความสนใจผู้อ่านต่อเนื่องอีกหลายเล่ม ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์เอย ด้านมายาจิตเอย ทำให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องความคิดเป็นจริงเป็นจัง หนังสือเล่มดังกล่าวนั่นคงไม่เกินเลยความคาดหมาย มันคือ เดอะซีเคร็ต ใครเคยอ่านบ้าง?…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ ชวนอ่านเรื่องสั้นมหัศจรรย์ ปลายกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ข่าวสารที่ได้รับค่อนไปทางรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปทั่วโลก ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นร่วงรูดเป็นประวัติการณ์ ชวนให้บรรดานักเก็งกำไรอกสั่นขวัญแขวน ไม่กี่วันจากนั้น รัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้ใช้อำนาจทำร้ายประชาชนอย่างไร้ยางอาย ตลอดวันที่ 7 ตุลาคม 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม สำนักพิมพ์ : นิลุบล ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ... แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ทั้งโลกเป็นเช่นนี้ ผู้เขียน : ชมัยภร แสงกระจ่าง ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ คมบาง เมื่อคืนพายุฝนสาดซัดเข้ามาทั่วทิศทาง กระหน่ำเม็ดราวเป็นคืนแห่งวาตะภัย มันเริ่มตั้งแต่หกทุ่มเศษ และโหมเข้า สาดเข้า ถ้าเป็นหลังคาสังกะสี ฉันคงเจ็บปางตายเพราะฝนเม็ดหนานัก มันพุ่งแรงเหลือเกิน ต่อเนื่องและเยือกฉ่ำ ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผชิญกับความกลัวที่ว่าบ้านจะพังไหม? ตัดเรือน เสา ที่เป็นไม้ (เก่า) ฐานรากที่แช่อยู่ในดินชุ่มฉ่ำ โถ..บ้านชราภาพจะทนทานไปได้กี่น้ำ นั่งอยู่ข้างบนก็รู้หรอกว่า ที่ใต้ถุนนั่น น้ำคงเนืองนอง…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย ผู้เขียน : ว.วินิจฉัยกุล ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง        ชื่อหนังสือ : อาหารรสวิเศษของคนโบราณ      ผู้เขียน : ประยูร อุลุชาฎะ      ฉบับปรับปรุง : กันยายน 2542      จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แสงแดดใครที่เคยแก่อายุเข้าแล้ว พออากาศไม่เหมาะก็กินอะไรไม่ถูกปาก ลิ้นไม่ทำหน้าที่ซึมซับรสอันโอชาเสียแล้ว อาหารจึงกลายเป็นเรื่องยากประจำวันทีเดียว ไม่เหมือนเด็ก ๆ หรือคนวัยกำลังกินกำลังนอน ที่กินอะไรก็เอร็ดอร่อยไปหมด จนน่าอิจฉา คราวนี้จะพึ่งแม่ครัวประจำตัวก็ไม่เป็นผลแล้ว ต้องหาของแปลกลิ้นมาชุบชูชีวิตชีวาให้กลับคืนมา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall ) ผู้เขียน : แพทริเซีย แมคลาแคลน ผู้แปล : เพชรรัตน์ ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน หากใครเคยพยายามบ่มเพาะให้เด็กมีนิสัยรักหนังสือ รักการอ่าน ย่อมเคยประสบคำถามจากเด็ก ๆ ของท่านทำนองว่า หนังสือจำเป็นกับชีวิตมากปานนั้นหรือ? เราจะตายไหมถ้าไม่อ่านหนังสือ? หรือเราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ไม่อ่านหนังสือจะได้ไหม? กระทั่งบ่อยครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบอย่างซื่อสัตย์ได้ไม่ง่ายนัก เป็นที่แน่นอนอยู่ว่า ผู้ใหญ่บางคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่างแต่ว่า…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ก่อนเริ่มโรงเรียนวิชาหนังสือ (สูจิบัตรในงาน ‘หนังสือ ก่อนและหลังเป็นหนังสือ’ ) จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ผีเสื้อ สัปดาห์ก่อนไปมีปัญหาเรื่องซื้อหนังสือกับพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ด้วยเพราะหนังสือที่จะซื้อมีราคาไม่เป็นจำนวนถ้วน คือ ราคาขายมีเศษสตางค์ เป็นเงิน 19.50 บาท เครื่องคิดราคาไม่ยอมขายให้เรา ทำเอาพนักงานวิ่งถามหัวหน้ากันจ้าละหวั่น ต้องรอหัวหน้าใหญ่เขามาแก้ไขราคาให้เป็น 20.00 บาทถ้วน เครื่องคิดราคาจึงยอมขายให้เรา เออ..อย่างนี้ก็มีด้วย เดี๋ยวนี้เศษสตางค์มันไร้ค่าจนเป็นแค่สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง หนังสือเล่มดังกล่าวนั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 45 (กรกฎาคม – กันยายน 2551) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา ใครที่เคยติดตามอ่านช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นรายไตรมาส เล่มเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ ย่อมมีใจรักในงานเขียนเรื่องสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าผลงานเรื่องสั้นที่ปรากฏ “ผ่านเกิด” ภายใต้รสนิยมบรรณาธิการนาม สุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้นจะต้องรสนิยมคนชื่นชอบเรื่องสั้นมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ค่อยปรากฏกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ทั้งที่ตอนประชาสัมพันธ์เปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ได้พิจารณาคัดเลือกหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ส่งประกวด ประจำปี 2551 จำนวน 76 เล่ม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือรวมเรื่องสั้น 9 เล่ม ดังนี้   1.ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่น ๆ ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ 2.เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ 3.ตามหาชั่วชีวิต ของ ‘เสาวรี’ 4.บริษัทไทยไม่จำกัด ของ สนั่น ชูสกุล 5.ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ของ เงาจันทร์ 6.เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของ วัชระ สัจจะสารสิน 7.เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ของ…