Skip to main content

1

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ในโลกที่ตลบอบอวลไปด้วย ดอกไม้-ความรัก-และของวิเศษ

โลกที่เต็มไปด้วยมายาคติ ได้สอดแทรก-ปลูกฝัง-จุดประกาย แก่มนุษย์ ปุทุชน กลุ่มบุคคล

วัยที่ใช้สรรพนามเรียกนำหน้าชื่อว่า “เด็กหญิง” อันเป็นที่ชื่นชอบในการดู การ์ตูนวอสดิสนี่ย์

เพื่อความบันเทิง และสนใจใคร่รู้ในการติดตามดูชีวิตสุดแสนจะวิเศษวิโส ของเรื่องราวการบังเอิญมาพบกัน

ระหว่างเจ้าชายรูปงาม กับ เจ้าหญิง ในช่วงชีวิตที่ต่ำต้อย คอยถูกตะบี้ตะบันกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงใจร้าย

จนได้พรวิเศษนางฟ้าทูนหัว ที่บอกว่าถ้าหนูอยากมีผัว ก็ให้ไปจูบกับกบ แล้วสุดท้ายในตอนจบ

เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็อยู่ด้วยกันอย่างแฮบปี้เอ็นดิ้ง ยากที่จะหาอะไรเสมอเหมือน”

 

 

ชีวิตตอนต้น ที่ดูจะลำบากลำบน สุดแสนจะรันทดโศกตรมนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปในทันทีที่ได้พบกับเจ้าชาย

ได้สวมมงกุฎ ได้สวมกอดกัด ได้จุมพิษกัน แล้วได้อภิเษกสมรสด้วยกัน ผู้คนมากหน้าประดามีต่างก็แห่แหนกันมาเพื่อแสดงความยินดี และมันก็ยังดีที่ในตอนท้ายของเรื่องเจ้าหญิงไม่อุทานออกมาว่า “ไชโย…มีผัวแล้ว”

เนื้อเรื่องจบลงด้วยการทิ้งท้ายไว้พร้อมกับนัยยะแอบแฝงที่เหมือนได้กระซิบบอกกับเด็กผู้หญิงสวยๆว่า

“One day  your prince will come”

(สักวันหนึ่งเธอจะพบกับเจ้าชายของเธอ --แล้วทุกสิ่งอย่างในชีวิตของเธอจะดีขึ้น)

 

 

แล้วมันก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์เหล่านั้นเติบใหญ่เป็นสาวขึ้นมา

ก็ต่างอยากรับรู้ ลิ้มลองใน รสชาติอัน รันจวน หวานชื่น ดาษดื่นของ “ความรัก” กันทั้งนั้น

โลกเทพนิยายได้ เข้าไปทำหน้าที่  Mind set ซึมซับจัดแจงระบบการรับรู้ไว้ซะเรียบร้อยแล้วว่า

“ถ้าเธอไม่มีคนรัก…เธอก็ไม่ใช่เจ้าหญิง”

โอ้พระเจ้า ความรัก คือสิ่งที่คนต่างปรารถนา  การมีผัวคือนิพพานของชีวิต

จนแอบคิดเล่นๆไม่ได้ว่าสาวโสดบางคนอาจจะเป็นอันต้องอุทานออกมาว่า

ครั้งแล้ว ครั้งเล่าว่า “ขอมีผัวสักครั้งในชีวิตให้ชื่นใจ” ให้ตายเถอะ (ก็เป็นได้)

 

2

พักเรื่องโลกไร้ผัวไว้ชั่วครู่ แล้วมาต่อที่ความกลัวที่ชีวิตจะไม่สมบูรณ์พร้อม

เมื่อต้องอยู่อย่างไม่มีคนรัก ของ โคโค่ชาแนล Coco Chanel

กับเรื่องราวที่ได้แสดงออกให้เห็นเจนจัดชัดแจ้ง กันไปเลยว่า การมี “คู่ครอง”

มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคนเรานั้นถูกอัพ แวร์ลู่สูงส่งขึ้นเสมอไป

ว่าด้วยเรื่องราวที่อับจน เป็นอีสาวบ้านนอก ในวัยเด็กของเธอ

สั่งสมความทะเยอทะยานอยากในตน ก่อนที่จะถูกยกระดับชีวิตไปเป็นเมียเก็บ

ของ เศรษฐีหนุ่มนาม เอเตียน บัลซอง จนกระทั่งสามารถเอาดีด้านแฟชั่น

มีแบรนด์ เสื้อผ้าเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายของตัวเอง พร้อมกับการเป็นชู้รัก กับ บอย คาเปล

บุรุษผู้เป็นสหายรักของสามี  แถมยังเป็นบุรุษที่มีอิทธิพลสำคัญ

ต่อการปรากฏตัวของน้ำหอม CHANEL  No.5

 

ใช่มันช่างเป็นน้ำหอมที่สุดแสนจะคลาสสิค รัญจวนใจ

ก่อนที่จะระเหยหายไปกลายเป็นมลทินแก่ตัวเธอ ในเวลาต่อมา

ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่2 โคโค่ เธอก็ไปตกหลุมรักเข้ากับเจ้าหน้าที่ระดับสูง

ของกองทัพนาซีเยอรมันจนได้ เธอเป็นสปาย…เธอคอยส่งสารลับให้กับกองทัพนาซี

ที่แฝงตัวทั้งในและนอกฝรั่งเศส  ก่อนที่ตัวเธอจะถูกชาวปารีเชียง

เนรเทศออกจากสังคมปารีส กว่า 15ปี ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนมาเหมือนเดิมเมื่อเธออายุได้70ปี

 

 

3

โลกมันยังคงหมุนต่อไป จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง

จุดที่คำว่า “ชะนี” กลายเป็น สมญานาม ที่เรียกถึง สุภาพสตรีมีนม และ จิมิ กันทั่วบ้านทั่วเมือง

ซึ่งโดย ส่วนตัวแล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นมา

จากมนุษย์โลกคนไหน –มีรูปแบบชีวิตแบบใด ถึงได้ยกเอาสิ่งมีชีวิตที่ส่งเสียงร้อง ผัวๆๆๆ

โหนเถาวัลย์ กระโจนขึ้นต้นไม้ อย่าง “ชะนี” มาแทนค่า “สุภาพสตรี” ได้

 

ฟังดูเผินๆ มันอาจดูเป็นอะไรที่น่าขบขัน

แต่ชีวิต มนุษย์เพศหญิง มันก็มีอะไรที่มากกว่าการต้องมีผัว— เป็นเมีย—เป็นแม่ของลูก

มากกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่พฤติกรรมวันๆ ไม่เป็นอันทำอะไร

ต้องฝักใฝ่ ใคร่ครวญหาแต่ผู้ชาย มีชีวิตแห้งแล้ง เฉาตาย อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผัว

คุณพระ! ดูจะเป็นการดูถูกดูแคลน ผู้หญิงเกินไปหรือไม่

และ มันก็คงไม่ต่างอะไร ถ้าเราจะตัดสินว่า ผู้ชาย ก็แค่ มนุษย์ที่มีไข่

ฝักใฝ่แต่เรื่อง Sex  คลั่งอำนาจชายชาตรีที่อุปโลกน์ขึ้นมาอย่างภาคภูมิว่าเหนือกว่าเพศแม่

บางที “เรื่องผัว” อาจไม่ใช่ “เรื่องใหญ่” ที่สุดของชีวิตของผู้หญิง

และการเป็นผู้หญิง ก็ไม่จำเป็นต้องมีผัว ไปซะหมดทุกคน

แม้สถิติประชากรชายของโลกจะลงน้อยลงเต็มทีก็เถอะ

 

แต่ด้วยทั้งนี้ทั้งนั้น  ผมก็ไม่ได้มีเจตนาต้องการจะเขียนปรักปรำ ก่นด่า ผู้ชาย

ว่าทอ ริษยา ผู้หญิงที่มีสามี ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่อย่างใด

เพียงแค่ต้องการ จะนำเสนอความต่างในอีกมุม ตั้งคำถาม แล้วหาข้อสรุป

ในประเด็นที่ว่า “สตรีใดไร้ซึ่งสามี พวกเธอก็สามารถเป็น “มนุษย์ที่มีคุณค่า”

ในตัวตน  มีคุณภาพชีวิตที่ไม่น้อยไปกว่าคนที่มีสามี และ สตรีที่แต่งงาน

ออกเรือนแล้ว ใช่-หรือ-ไม่ คำตอบที่รู้ๆกันอยู่ มันก็ต้องใช่อยู่แล้ว

และถ้าหากเราลอง ตรึกตรองคิดดีๆแล้ว ผู้หญิงในปัจจุบันนี้ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีคู่ แต่งงาน มีครอบครัวไป

และส่วนที่เหลือที่ยังโสด พวกเธอก็ยังมีชีวิตหายใจอยู่บนโลกได้ แถมดูแลตัวเองได้สบายมาก

กับสิ่งยืนยันไว้ในผลสำรวจ ของ ศ.ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล ศาสตร์จารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากร และ สังคม

มหาวิทยาลัย มหิดล ที่พบว่า ผู้หญิงที่เลือกเป็นโสด นั้นมีสุข กว่าการมีคู่

และจากผลสำรวจก็พบว่า หญิงไทย มีแนวโน้มครองตัวเป็นโสด

เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ถึง 44% ด้วยเหตุผลง่ายๆส่วนใหญ่บอกว่า มุ่งทำงาน ไม่มีเวลาหาคู่

รักอิสระ แล้วก็อยากที่จะเป็นตัวของตัวเอง

 

ข้อมูลดังกล่าวก็สามารถบ่งชี้ได้อีกว่า อัตราส่วน ของผู้หญิงไทยที่ไม่แต่งงานนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

วัดได้ตั้งแต่สถิติปี 2513 ผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 15-49ปี ไม่แต่งงานประมาณ 22.7%

ปี2523 เพิ่มขึ้นเป็น 25.7%   ปี2533 เพิ่มขึ้นเป็น 28.5%  และปี2543สูงถึง31.8%

 ยังไม่หมด ในสถิติก็พบอีกว่า ผู้หญิงไทยที่มีอายุ50ปีขึ้นไป

ที่ไม่แต่งงานก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน โดยปี2513 อยู่ที่22%  ปี2523เพิ่มขึ้นเป็น 2.5%

ปี2533สูงขึ้นเป็น 3.1%  และปี2543 กระเถิบสูงขึ้นเป็น 4.5%

 

เอาเป็นว่า สถิติตามมาหลังจากนี้คงไม่ต้องพูดถึง

เพราะจำนวนประชากรการเกิดของผู้หญิงนั้นมีมากกว่าผู้ชาย

และถ้าคิดง่ายๆจะให้ผู้หญิงทุกคนมีแฟน เห็นทีก็คงต้องใช้ผู้ชายร่วมกัน หรือ หันมาบริโภคกันเอง

เหตุผลที่เหลือ จะเป็นการเลิกรา หย่าร้างในคู่รัก หรือ เหตุผลที่ไม่อยากมีแฟน – ไม่มีใครมาจีบ หรืออะไรก็ตามแต่

“ผู้หญิง ก็คือ มนุษย์”  มนุษย์ที่บางคนมีลูกแล้วเลิกกับสามี ก็ยังสามารถเป็นซิงเกิ้ลมัม เลี้ยงลูกคนเดียวได้

มนุษย์ที่มีความภาคภูมิใจได้ในตัวเอง  ใช้เวลาไปทำอะไรที่ชอบ

โดยที่พวกเธอเหล่านั้น ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะเจียดชีวิตสักกระเบียด

ออกไป ไขว่คว้าตามล่าหาผู้ชายที่ไหน หรือต้องไปตบตีแย่งใครมาทำผัว เฉกเช่นในละครหลังข่าว

ประหนึ่งว่า ตัวเองขาด แล้วต้องหาอะไรมาทับถมเติมเต็ม

 

  -- เจ้าหญิงดิสนีย์ นอกจากสอนให้ ผู้หญิงมีผัว แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยเรื่องของความกล้า

การไม่ย้อท้อ ต่อ อุปสรรค วิบากกรรมเวร ใดๆเมื่อตอนต้น

 

--โคโค่ชาแนล ที่แม้ครั้งหนึ่งเธอจะต้องล้มเหลวไปกับการเป็นสายลับให้กองทัพนาซี

เธอก็ยังเป็น เฟมินิสต์ผู้ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมก้มหัวให้โชคชะตา พร้อมกล้าหาญลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิใหม่ให้แก่โลกของสตรี ด้วยสไตล์ที่แหกทุกกฎของแฟชั่นผู้หญิงสวมคอร์เซต กระโปรงสุ่มฟูฟ่องในปี1920   ในที่สุด สิ่งที่เธอรังสรรค์ไว้ ก็กลายเป็นซุปเปอร์แบรนด์ และเป็นสิ่งที่สุดแสนจะคลาสสิคตลอดกาล

 

 และผมคิดว่า มันเป็นไปได้ ถ้าผู้หญิงเราจะ “เลิก” ละเมอเพ้อพกซักที ว่าสักวันหนึ่ง

ฉันจะประสพพบเจอกับเจ้าชายรูปงาม แล้วไม่ต้องทำมาหากินดิ้นรนอะไร

วาดฝันไว้สวยๆ ว่าชีวิตจะดีขึ้นได้ จากการ จุมพิษ แค่ครั้งเดียว

 

--มันเป็นไปได้ ที่ผู้หญิงจะมีความสามารถก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยตัวเอง

โดยที่ไม่ต้องไปเป็นเมียเก็บ สมสู่ คบชู้ เป็นสายลับให้กับกองทัพนาซี

จนต้องถูกเนรเทศออกนอก ปารีส เหมือนครั้งหนึ่งในชีวิตของ โคโค่ ชาแนล

 

และมันไม่มีเหตุผลอะไร ถ้าหากเธอเป็นผู้หญิงสักคน

 ที่ถูกปฏิเสธจากผู้ชายที่เขาหมดรัก แล้วต้อง ทุรน ทุราย เรียกร้อง ประชดประชัน

หรือ ลงทุนทำอะไร ที่จวนต้องดับอนาถ ชีวิตตัวเองไป เพียงเพราะ “ชีวิตนี้ไม่มีเขาแล้ว”

 

ท้ายที่สุดแล้ว “สตรีที่ไม่มีผัวก็ไม่ได้แปลว่า คุณไม่มีคุณค่า”

เพราะสตรี ที่มีคุณค่า เขาย่อมรู้ดีว่า ตัวเองนั้นมีดีอะไร ใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร

กับสิ่งใดที่มันใช่กว่า การถูกจำกัดจำเขี่ยอยู่ในบริบทบ้าบอของคำว่า “เป็นชะนี ต้องเรียกหัวผัวอย่างเดียว”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่มีมนุษย์คนไหน ที่เกิดมาแค่ หาผัว หาเมีย อย่างเดียว

แล้วตายจากโลกนี้ไปหรอก

 

--CHAYA Killer Silent

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บล็อกของ Chaya Killer Silent

Chaya Killer Silent
 เครื่องแบบ- ฮิตเลอร์ ในแบบน้อง จากที่มีข่าวดราม่าในบ้านเมืองเราหลายต่อหลายครั้ง เรื่องการนำชุดที่มีสัญลักษณ์สวัสดิกะของนาซี
Chaya Killer Silent
ตอนช่วงเวลา ตีสองสามสิบสี่นาที ค่ำคืนหนึ่งเวลาดีที่ไม่มีสุ่มเสียงใดๆมารบกวนสมาธิผม
Chaya Killer Silent
 ภายในสังคม..สังคมหนึ่ง ย่อมปะปนคละเคล้าไปด้วย
Chaya Killer Silent
ใครบางคนอาจมองว่า “รอยสัก” คือความเท่