Skip to main content

เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ

หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า

 


เก่อ แหย่ โหม่ โพ มา คู คู
                        โปะ ธ่อ เส่อ โกะ เส่ เผล่อ ทู

เก่อ แหย่ โหม่ โพ มา ประ ประ                  โบะ ธ่อ เส่อ โกะ เส่ เผลอ วาฯ....


เหล่าลูกแม่ลงมือพร้อมกัน                        มาช่วยกันยกเสาทองคำ

เหล่าลูกแม่ลงมือพร้อมเพรียง                    มาช่วยกันยกเสาต้นเงิน


ขณะที่ขับขานธา เดาะธ่อ อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หนุ่มสาวจะพยายามหาจังหวะเพื่อไปสู่ หมวดธา หน่อ เดอ จ๊อ หรือหมวด ธาหนุ่มสาว จนบางทีผู้ใหญ่ต้องพยายามดึงกลับมาที่ธา เดาะธ่อ เนื่องจากยังไม่สมควรแก่เวลาที่จะไปในหมวดหนุ่มสาว เมื่อผู้ใหญ่ดึงกลับมาที่ ธา เดาะ ธ่อ ซักพัก หนุ่มสาวจะพยายามดึงไปที่หมวดหน่อ เดอ จ๊อ อีก ผู้ใหญ่จึงต้องดึงกลับมาที่ หมวด ธา เดาะ ธ่อ จนกว่าผู้ใหญ่จะเห็นสมควรว่าได้มีการขับขาน ธา หมวดเดาะ ธ่อ ไปมากพอสมควรแล้ว จึงจะปล่อยให้เป็นช่วงของธา หน่อ เดอ จ๊อ ต่อไป


หมวด ธา หน่อ เดอ จ๊อ นั้นเป็นการเริ่มต้นเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว โดยใช้ภาษากวี หรือภาษาบท ธา เป็นการสื่อสาร บางทีเป็นการตอบโต้หยอกล้อ กระเซ้าเย้าแหย่กัน ซึ่งเป็นบรรยากาศที่หนุ่มสาวต่างมีความสุขมากที่สุด ว่ากันว่าหากหนุ่มสาวติดลมบนในการต่อบทธากันแล้ว ไก่ขันครบสามครั้งก็ยังไม่อยากเลิก ฟ้าแจ้งแล้วก็ยังไม่อยากหยุด


แต่เมื่อฟ้าสางก็ถึงคราวยุติการขับขานบทธาเพื่อไปพักผ่อนเอาแรงในคืนที่สอง ซึ่งในคืนที่สองจะมีการลำดับขั้นมนการขับ หมวดหมู่ของบทธาที่แตกต่างจาก คืนแรก มีธา บางหมวดหมู่แทรกเข้ามาเพิ่มจากคืนแรก


ตอนหัวค่ำของคืนที่สองแห่งงานศพ ผู้คนจะอยู่กันเต็มบ้านของผู้ตายแล้ว บ้างมวนยาสูบ บ้างทานข้าว บ้างดื่มย้อมใจ บ้างดื่มน้ำชา สักพัก จะได้ยินเสียงของ ธา หมวด ธ่อเส่ส่า หรือ หมวดขึ้นต้นไม้ ถูกขับขานขึ้นเพื่อเป็นการบอกถึงวาระแห่งการมีชีวิตบนโลกมาถึงแล้วเปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ได้ถึงยอดไม้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงและกลับสู่บ้านเมืองนอน เพื่อบอกกับคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยว่าชีวิตเปรียบเหมือนการขึ้นต้นไม้ ขึ้นอยู่ที่ใครถึงช้าถึงเร็ว ถึงเร็วก็ไปก่อน ถึงช้าก็ไปทีหลัง แต่ทุกคนก็ต้องถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ธ่อ เส่ส่า แจะ อือ แจะ เออ                     หน่อ โธ่ เออ เออ หน่อ ชอ เออ

หมือ ฉา หน่อ แลจะ แพแล                     กว่า เนอโธ่ โกะ เนอ ชอ แซฯ.....


ขึ้นต้นไม้ เชื่องช้าเฉื่อยชา                       เหมือนนกก็ไม่ใช่ เหมือนไก่ก็ไม่เชิง

กลางวันเจ้าไปแห่งหนใด                         ไก่และหมูเจ้า ส่งเสียงร้อง


หลังจากหมวด ธา ธ่อเส่ แล้วจะต่อด้วย ธา หมวด เลปลือแหมะ หรือ ส่องหน้าผู้ตาย ตามด้วยหมวด ธาแหน่หมื่อ เหน่ลา หรือหมวดชี้ทางให้คนตาย แต่หลังจากชี้ทางให้คนตายแล้วจะคั้นด้วย หมวดธาแป่โป่ แปซวย หรือ หมวดคั่วข้าวเม่า ข้าวฟ่าง เพื่อเป็นอาหารสำหรับผู้ตายเอาไปกินระหว่างทางกลับสู่ปรโลก เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการที่คนเราเกิดมามือเปล่า ก็ต้องจากไปอย่างมือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพออยู่พอกิน หากมีต้นข้าวเม่าอยู่ก็เหมือนมีต้นเงินอยู่ หากมีข้าวฟ่างอยู่ก็เหมือนมีต้นทองคำอยู่ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนฝักใฝ่สะสมทรัพย์สินที่กินไม่ได้ เพราะมีเงินมีทองแล้วสุดท้ายก็เอาไปไม่ได้ สิ่งที่เอาไปได้คือสิ่งที่กินได้


ตนปกาเกอะญอยังมีความเชื่อว่า เมื่อคั่วข้าวเม่าข้าวฟ่างให้ผู้ตาย จะทำให้ผู้ตายกลับไปที่ปรโลกโดยไม่ขาดแคลนข้าว แต่หากไม่คั่วให้ จะทำให้กลับไปไม่มีข้าวกิน ฉะนั้นการรักษาความเชื่อและพิธีกรรมนี้จึงเป็นการรักษาพันธุ์ข้าวเม่าข้าวฟ่างให้ยังอยู่ต่อไปด้วย ซึ่งปัจจุบันชุมชนปกาเกอะญอหลายที่ที่ไม่มีการสืบทอดพิธีกรรมความเชื่อนี้ ทำให้ข้าวเม่าข้าวฟ่างสูญพันธุ์ในชุมชนด้วยเช่นกัน ธา หมวดแป่โป่ แปซวย นั้นมักเริ่มต้น ดังนี้


แปโป่ บอบอ แป่โป่ บอ                            แป่ซวย บอบอ แป่ซวย บอ

จอแล โหะ จื๊อ เจ่ หย่า คอ                        จื๊อ เจ่ จอ แล โหละ หย่า คอ

ชุ ญา โอะ เลอ ทู อะ พอ                          ชุ ญา โอะ เลอ เจ๊ะ อะ พอ


คั่วข้าวเม่าแตกเป็นสีเหลือง                       คั่วข้าวฟ่างแตกเป็นสีเหลือง

ตัวพี่เกิด มาแบบมือเปล่า                          ตอนพี่เกิดนั้น มามือเปล่า

ต่อไป จะมียุ้งทองคำ                               ภาคหน้านั้นจะมีฉางเงิน

 

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน “ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์”…
ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง…
ชิ สุวิชาน
หลัง ธาหมวด แป่โป่ แปซวย แล้ว ก็จะต่อด้วย ธาหมวดโข่เส่ คะมอ ตามด้วย หมวดโดยมีเด็กชายนำการเดินวนอยู่เหมือนวันแรก  และหมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขานต่อจาก หมวดโข่ เส่ คะมอ ต่อด้วย หมวด เชอเกปลือ  หมวดฉ่อลอ หมวดแกวะเก  หมวดธาชอเต่อแล จากนั้น หมวดธาเดาะธ่อ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาอย่างแน่นขนัดของหนุ่มสาวเช่นเดิม เมื่อธาเดาะธ่อหรือเริ่มต้นมาแล้ว ก็จะมีหมวดธา เดาะแฮ, หมวด ธาเดาะเหน่,หมวด ธาลอบะ ,หมวด ธา ลอกล่อ ซึ่งล้วนแต่เป็น ธา หน่อ เดอ จ๊อหรือธา หนุ่มสาว ซึ่งตั้งแต่ ธา หมวด เดาะธ่อ เป็นต้นไป ถือว่าเป็น เพลงธา ที่สามารถขับขานเป็นปกติได้ทุกโอกาส ทุกสถานที่…
ชิ สุวิชาน
เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า   เก่อ…
ชิ สุวิชาน
หมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขาน ซึ่งเป็นหมวดที่ว่าด้วย การจากไปสู่ปรโลก ซึ่งปกติแล้วก่อนที่คนจะตายมักมีลางสังหรณ์ปรากฎแก่คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างเสมอ นั่นหมายความว่าถึงเวลาของผู้ตายแล้ว เวลาแห่งความตายนั้นย่อมมาถึงทุกคน เพราะฉะนั้นก่อนตายควรทำความดีหรือทำคุณประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินถิ่นเกิดที่เราอาศัยอยู่ตอนมีชีวิตให้มากที่สุด เมื่อลางสังหรณ์มาถึงเราจะได้จากอย่างหมดทุกข์หมดห่วง ตัวอย่าง ธา หมวดนี้เริ่มต้นดังนี้ มี หม่อ เคลอ ฮะ เหน่ อะ เด                 มีหม่อ คอ ฮะ เหน่ อะ เด เต่อ เหม่ เคลอ ฮะ เหน่ อะเด      …
ชิ สุวิชาน
“โมะโชะมาแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เมื่อเห็นร่างชายวัยปลายกลางคนเดินเข้ามา สายตาทุกดวงจึงมองไปที่ โมะโชะ เขาคือผู้นำในการขับขานเพลงธา เขาต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองมาหลายปีกว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่รับผิดชอบสำหรับตำแหน่งนี้คือการเป็นผู้นำในการขับขานธาในพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเช่น งานแต่ง หรืองานตาย บางชุมชนทั้งหมู่บ้านไม่มีโมะโชะเลย เวลามีงานต้องไปยืมหรือเชื้อเชิญโมะโชะจากชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้ ว่ากันว่าชุมชนที่สมบูรณ์นอกจากต้องมีผู้นำชุมชนตามประเพณีที่เรียกว่า ฮี่โข่ ต้องมีจำนวนหลังคาในชุมชนมากกว่า 30 หลังคาเรือนแล้ว…
ชิ สุวิชาน
ช่วงเย็นหลังจากที่ทำงานในไร่ และกำลังจะนั่งกินข้าวร่วมครอบครัว “ลุงเร็ว ปู่ วาโข่ หายใจขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้หายใจลงแล้ว” หลานชายมาวงข่าวเกี่ยวกับพือวาโข่ซึ่งเป็นพ่อของเขา เขาละจากวงทานข้าวของครอบครัว แล้ววิ่งไปหาพ่อทันที พือวาโข่ เป็นฉายาที่เด็กๆ ในหมู่บ้านและหลานๆเ รียกชื่อผู้เฒ่าผู้ชายที่อาวุโส จนผมหงอกทั้งหัว พือหมายถึงพ่อเฒ่า วาโข่หมายถึง ผมขาว หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า พีวาโข่ พีแปลว่าแม่เฒ่า นั่นเอง คนรุ่นนี้จะเป็นที่รักใคร่ของลูกหลานทั้งในครอบครัวและในชุมชน เพราะถือเป็นทรัพยากรบุคคลของชุมชนทีมีค่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นในชุมชนที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาทางออกได้…
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศในบ้านเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเสียงเตหน่าบรรเลงในบ้านไม่เว้นแต่ละคืน  บางคืนเป็นเสียงเตหน่า ลายเดิมที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนถ่ายทอด  แต่บางคืนมีเสียงเตหน่าลายแปลกออกมาจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้จนต้องเงี่ยหูฟัง  นานแล้วที่เจ้าของเสียงเตหน่ากูห่างหายไปจากการร่ำเรียนวิชาจากพ่อ  แต่วันนี้เขากลับมาหาครูผู้สอนเตหน่ากูของเขาอีกครั้ง แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างสงสัยจึงต้องมา"พ่อผมจะไปล้มไม้มาทำเตหน่ากู ควรจะหาไม้อย่างไรดี" ประโยคแรกที่เขามาถามพ่อ"จริงๆ แล้วไม้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นไม้ที่โค้งงอ แต่คนสมัยก่อนเขานิยมใช้ไม้เก่อมา หรือภาษาไทยเรียกว่าไม้ซ้อ…
ชิ สุวิชาน
มีบทธา ซึ่งเป็นบทกวีหรือสุภาษิตสองลูกสอนหลานของคนปกาเกอะญอมากมาย ที่กล่าวถึงเตหน่ากูเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนปกาเกอะญอ แต่ในตรงนี้จะยกมาเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของ ธา ที่กล่าวถึงเตหน่ากู 1. เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชึ             เด เต่อ มึ เด ซึ เด ซึ2.เตหน่า เลอ จอ แว พอ ฮือ            เต่อ บะ จอ จึ แซ เต่อ มึ3.เตหน่า ปวา แกวะ ออ เลอ เฌอ      เด บะ เก อะ หล่อ เลอ เปลอ4.เตหน่า ปวา เจาะ เลอ เก่อ มา     …
ชิ สุวิชาน
ลูกชายหายหน้าไปจากการเรียนรู้การเล่นเตหน่ากูกับพ่อเป็นหลายสิบ จนผู้เป็นแม่ที่คอยหุงอาหารให้หมูในตอนหัวค่ำเกิดคำถามต่อผู้เป็นพ่อ “ไอ้ตัวเล็กมันเล่นเป็นแล้วเหรอ? มันถึงไม่มาฝึกเพิ่ม” แม่ถามพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกะบะไฟดินในบ้าน “มันบอก มันจะฝึกเอง มันคงไปฝึกที่บ้านผู้สาวมั้ง?” พ่อตอบแม่พร้อมกับสันนิษฐานพฤติกรรมของลูกชาย “มันก็ธรรมดาแหละ วัวตัวผู้พอมันเริ่มเป็นหนุ่ม มันก็เริ่มแตกฝูงไปหาตัวเมียในฝูงอื่น ก็เหมือนพ่อตอนเป็นหนุ่มนั่นแหละ อยู่บ้านอยู่ช่องซะที่ไหน กลางค่ำกลางคืนดึกแล้วไล่กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ค่ำไหนค่ำนั้น มาหาทุกคืน” แม่เปรียบเทียบให้พ่อฟัง
ชิ สุวิชาน
“วิธีการเล่นล่ะ? แตกต่างกันมั้ย?” ลูกชายถามพ่อ “ถ้าเล่นอย่างไดอย่างหนึ่งได้นะ ก็เล่นอีกอย่างได้เองแหละ ขอให้เข้าใจวิธีการตั้งสายเถอะ อย่าตั้งสายเพี้ยนละกัน” พ่อบอกและย้ำกับลูกชาย “งั้นพ่อสอนเพลงอีกซักเพลงที่เล่นแบบเมเจอร์สเกลนะ” ลูกขอวิชาจากพ่อ “เอาซิ! เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นกับเตหน่ากูบ่อยๆ อีกเพลง ร้องตามนะ” พ่อเริ่มร้องนำ ลูกจึงเริ่มร้องตาม
ชิ สุวิชาน
สองสามคืนผ่านไป ลูกชายไม่ได้มายุ่งกับพ่อ แต่คืนนี้ภายในบ้านไม้ไผ่ หลังคาตองตึงทรงปวาเก่อญอหลังเดิม ลูกชายถือเตหน่ากูมาอยู่ข้างพ่ออีกครั้ง “ลองฟังดูนะ ใช้ได้หรือยัง?” ลูกชายพูดจบเริ่มดีดเตหน่าและเปล่งเสียงร้องเพลงแบบไมเนอร์สเกลให้พ่อฟัง แต่ด้วยความตั้งใจมากไปหน่อยทำให้การเล่นบางครั้งมีสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ลูกชายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุด เล่นและร้องให้พ่อซึ่งเป็นครูสอนเตหน่ากูให้เขาจนจบเพลง “ฮึ ฮึ ก็ดี เริ่มต้นได้ขนาดนี้ก็ไช้ได้” พ่อตอบเขาแบบยิ้มๆ “แล้วพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่งได้หรือยัง?” เขามองหน้าพ่อ “อ๋อ ที่มาเล่นให้ฟังนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าเล่นไมเนอร์ได้แล้ว จะขอเรียนแบบเมเจอร์ต่อว่างั้นเถอะ”…