พี่นนท์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ฟังพาตี่ทองดี จึงร้องเพลงธาปลือให้ฟัง จนกระทั่งถึงท่อน โย
เย็นนั้นระหว่างงาน พี่นนท์จึงถามคำแปลของเพลงเหล่านั้น หลังจากเสร็จงานนั้นเพลงเส่อเลจึงมีการต่อเติมจนเป็นเพลงขึ้นมาจนได้
“พี่นึกถึงหญิงสาวที่ต้องโตขึ้นมาอย่างลำบาก นึกถึงพัฒนาการการเติบโตของชีวิต ต้องตามพ่อตามแม่ปลูกข้าว กว่าจะโตเป็นสาวต้องผ่านการตรากตรำทำงานอย่างลำบาก พี่เลยจินตนาการการตายของเธอว่า เป็นการเสียชีวิตด้วยไข้ป่า”
พี่นนท์เล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อเขียนเพลงเสร็จ จึงมาฝึกหัดเล่น ช่วงระหว่างที่ซ้อมนั้น ไม่กล้าร้องท่อน โยเอ โย ออ เพราะตอนนั้นกำลังมองหน้าลูกสาวอยู่ที่กำลังนอน เลยใช้คำว่า “ลา ลา" แทน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของพาตี่ทองดี
“ห้ามร้อง ห้ามพูดในบ้านเด็ดขาด”
“เพลงเส่อเล พี่ไปอัดเสียงที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงพระบาทห้วยต้ม ก่อนที่อัดเสียงจะร้องท่อน โยเอ โยออ ก็นึกถึงคำพูดพาตี่ทองดีอีกครั้ง แต่พอถึงเวลาอัดจริงอารมณ์มันพาไปจึงร้องท่อน โย ออกไป ทำให้คนที่มาฟังในวันนั้นเงียบกริบกันหมด ได้ยินแต่เพียงเสียงสั่นน้ำมุก” พี่นนท์เล่าเหตุการณ์ตอนบันทึกเสียงเพลงเส่อเล
อัลบั้มเพลงใต้ถุนบ้านออกมาในเดือนตุลาคม 2544 เหตุการณ์บางอย่างที่มิอาจอธิบายได้ น้องพอวา ลูกสาวพี่นนท์ ได้เสียชีวิตลงสองเดือนหลังจากนั้น คือเดือนธันวาคม 2544 นั่นเอง
“พี่ทองดี มันเกี่ยวกับเพลงเส่อเลไหมครับ?” พี่นนท์ถามพาตี่ทองดี หลังจากที่เสียลูกสาว พาตี่ทองดีตบหลังเบาๆแทนคำตอบ
“พี่ลีซะ บอกพี่ว่า อย่าร้องเพลงนี้อีกเลย แต่พี่รู้สึกว่าพี่ชอบ เมโลดี้ มาก ทำให้นึกถึงเพลงของ John Denver อารมณ์เพลงมันเย็นๆ หนาวๆ พี่เคยไปร้องครั้งหนึ่งที่ รามฯ พี่ไปเล่นให้นักศึกษาฟัง พี่เกือบร้องไม่จบ นั่นเป็นครั้งเดียวที่พี่เคยร้องออกงาน” หลังจากนั้นยังไม่มีใครได้ยินเพลงนี้จากพี่นนท์อีกเลย
พี่นนท์บอกว่าเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่จะเล่นจะร้องเมื่อไหร่แล้วกลัวเลย มันเหมือนเป็นคลื่นของโลก ของแผ่นดิน ของอากาศ หากคุณเปล่งประโยคนี้ออกไป อาจทำให้คลื่นหรือเซลล์ในจักรวาลเปลี่ยนหรือเปล่า?
แม้อยากมาทำใหม่ แต่มิอาจเอาชนะความกลัวที่มีได้
“แม้กระทั่ง จะปั๊มใหม่พี่ยังกลัวเลย พี่รู้สึกแหยงมาก แต่มันน่าจะสิ้นสุดตรงนั้น พี่เรียนปรัชญามา ที่พูดถึงเสรีภาพ ปฏิเสธวิถีแบบวัฒนธรรม อยู่กับความจริง เหตุผล แต่พอโดนแบบนี้เข้าไป เหมือนโดนไม้หน้าสาม เหมือนโดนน็อคเลย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องยกเว้น ขอยกเว้นไว้ซักเรื่องหนึ่ง”
“ที่ไม่กล้าทำใหม่นี้ พี่กลัวหรือกังวลอะไรครับ” ผมถามผู้ประพันธ์เพลงเส่อเล
“ไม่รู้นะ ว่าทำใหม่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น พี่ตายแน่ อายุสั้นแน่ หากเกิดวิปริต ปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น ให้มันสิ้นสุดตรงนั้น” พี่นนท์สนทนากับผมในขณะที่แววตาแสดงความแหยงปนเศร้าออกมาอย่างชัดเจน จนผมไม่กล้าซักข้อมูลต่อ เพราะช่วงขณะที่คุยกันเป็นวาระของเดือนธันวาคมมาถึงอีกครั้ง เพียงแต่เป็นปี 2551 ซึ่งเป็นเดือนที่พี่นนท์และครอบครัวไม่มีวันลบเลือนจากความรู้สึกได้ เนื่องจากนางฟ้าได้กางปีกโบยบินกลับคืนสู่ที่ซึ่งเธอได้จากมา