"กางเขนนี้คนเอาไม่อยู่ โคตรหนักเลย" เสียงของหนึ่งในชายฉกรรจ์ พูดขึ้นหลังจากนำไม้กางเขนซีเมนต์ขนาดประมาณ 2 เมตรครึ่ง หน้ากว้างประมาณ 6 นิ้วได้ขึ้นไว้บนรถกระบะ ครั้งหนึ่งพระเยซูได้แบกไม้กางเขนของตนเองไปยังภูเขาที่พระองค์จะถูกตรึง ระหว่างทางได้อ่อนระโหยโรยแรง มีชายผู้หนึ่งที่สงสารจึงอาสาช่วยแบก แต่มาครั้งนี้คนเอาไม่อยู่ ผมเพียงแต่นึกในใจว่ากางเขนซีเมนต์นี้ อาจหนักกว่ากางเขนไม้ที่พระเยซูเคยแบกเสียอีกก็ได้
โลงศพบนบ้านถูกยกลงมาที่ลานหน้าบ้านแล้วค่อยวางลงบนกระบะหลังรถอย่างละเมียดละไม ฝาโลงถูกเปิดเพื่อให้คนได้มองหน้าจดจารึกไว้ในความทรงจำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนตะปูจะทำหน้าที่ปิดภาพร่างไร้วิญญาณนั้นจากสายตาคนตลอดไป
ขบวนศพค่อยๆ เคลื่อนออกจากลานบ้านโดยมีรถเป็นแรงงานในการนำศพฝูงชนตามรถยนต์ไปด้วยสีสันเสื้อผ้าประจำเผ่า แดง ดำ ขาว สลับกันไป บ้างหยิบข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายไป บ้างถือพวงหรีดสิ่งสื่อไว้อาลัยรูปแบบใหม่ไป บ้างยกจอบไปด้วย รถเคลื่อนช้าๆ คนเดินช้าๆ ไม่นานก็ถึงป่าช้า
สภาพป่าช้า ป่าความเชื่อ ป่าต้องห้ามวันนี้ แห่งนี้บัดนี้สภาพของพื้นดูโล่งเรียบ มีต้นสนสูงอายุใหญ่ๆ ยืนเรียงรายคอยอารักษ์พื้นที่แห่งนี้อย่างประปราย ต้นไม้หนุ่มหายไป ต้นไม้ทารกถูกตัดตอนจนไม่กล้าโผล่ยอดออกมาสูดคารบอนไดออกไซด์และคลายออกซิเจนออกมา เผ่าพันธุ์ต้นไม้เล็กๆ ที่เป็นต้นไม้ดั้งเดิมแต่เป็นพันธุ์ไม้กลุ่มน้อยที่อยู่สลับกับต้นสนถูกกำจัดออกไปอย่างไม่เห็นคุณค่า
วิญญาณ เสียงวิญญาณร่ำร้องเต็มสองข้างหูของผม ผมถามคนที่อยู่ข้างๆ ผมว่าได้ยินไหม
"อย่าถามให้ขนลุกเลยนะ" เขาตอบผม โดยผมไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงเหมือนผมหรือไม่
"เห็นศพที่ตายแล้ว ยังไม่มีคนฝังไหม" ผมถามเขาต่อ
"ไหน ไม่เห็นมีเลย" เขาพยายามกวาดสายชำเลืองมองดูรอบตัวทั้ง 360 องศา
"นั่นไง! เต็มเลย เขาตายไปโดยที่ไม่มีใครฝัง" เขาเพียงแต่หันมองหน้าผมแล้วทำหน้าขำ สายตาเขามองผมอย่างผมเป็นคนเพี้ยน
ผมไม่เพียงได้ยินเสียงวิญญาณอย่างเดียว แต่ยังเห็นซากศพเน่าเปื่อยล้มเรียงรายอยู่ตรงนั้นจำนวนหนึ่ง ที่ที่เคยปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาคือป่าช้า เพราะเป็นพื้นที่ที่เขามีสิทธิยืนสง่าท้าแดดลมอย่างไร้กังวล เขาอาศัยทรัพยากรในพื้นที่ป่าช้าหาดูดกินธาตุอาหารอย่างสบายใจ บางครั้งเขาอารักขาดวงวิญญาณคนตาย บางครั้งดวงวิญญาณคนตายได้อารักขาเขา พึ่งพากันและกัน
แต่ยามนี้ต่างไม่สามารถอารักขากันอย่างได้ผลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อหลุมฝังศพถูกขุดลงไปพร้อมกับน้ำ ทราย ผสมกับปูนซีเมนต์ถูกเท ราดลงพื้นเพื่อรองรับโลงศพไม้อย่างดี โอกาสที่ร่างเขาจะลืมตาอ้าปากถูกปิดตายในทันที
"ในบริเวณป่าช้าของหมู่บ้านเรา เราอยากให้มันน่ามองน่าดู ไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน อยากให้มันดูโล่งแจ้งสบายตาเหมือนของคนจีน หรือของฝรั่ง อนาคตอาจทำเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้ อยากให้ใครผ่านไปผ่านมาได้เห็นไม้กางเขน เขาจะได้รู้ว่านี่เป็นสุสานของคริสเตียน ถ้ามันอยู่ในป่าทึบเหมือนเมื่อก่อนมันมองไม่เห็นไม้กางเขน" ผู้อาวุโสในชุมชนคนหนึ่งแสดงวิสัยทัศน์ให้ผมฟังอย่างภาคภูมิใจ
ก่อนการวางโลงศพสู่หลุม มีการนมัสการพระเจ้าอีกรอบหนึ่ง โดยมีศาสนาจารย์ ดร.ไซมอนด์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมในศูนย์ผู้ลี้ภัยสงครามแม่หละ
"ขอให้พี่น้องทุกคนูรู้ว่า ขณะนี้เราไม่ได้พูดคุยกับคนที่เสียชีวิต แต่เรากำลังพูดคุยกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ได้สละร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง พือสะหระ (ผู้ตาย) คนนี้ยังมีชีวิตอยู่และชีวิตเขาจะอยู่นิรันดร์ ตอนนี้เขาไปรอเราในที่อีกแห่งหนึ่งที่พระเจ้าได้ตระเตรียมไว้แล้ว เป็นที่ที่เขาจะไม่ทุกข์อีกแล้ว พวกเราจงมุ่งมั่นประพฤติตามแบบแบบอย่างที่ดีซึ่งท่านได้ทำให้เราเป็นตัวอย่างตลอดชีวิตของท่านแล้ว วันหนึ่งเราจะได้พบกับเขาอีกครั้ง ณ ที่ที่เขากลับไปรอเราแล้ว"
หลังจากนั้นเขาอธิษฐานขอพร แต่คำพูดของเขากลับทำให้ผมนึกถึงเพลงธา ปลือ เพลงแห่ศพที่ชี้ทางให้คนตายให้ไปยังอีกที่หนึ่ง ทำให้ผมเห็นพื้นที่ของจุดร่วมบางอย่างมีอยู่ แต่ไม่มีการเปิดออกมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงแก่นแท้ของมันอย่างจริงจัง