แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย
"อย่าลืมนะ ถ้าทำเพลงเสร็จแล้วส่งมาให้ฟังนะ ถ้าไม่ส่งมาฟ้าจะผ่าเน้อ!" เป็นประโยคส่งท้ายของผู้เฒ่าที่บอกกับผมก่อนผมจะขอตัวกลับ ประโยคสั้นๆ แต่เป็นเหมือนประโยคผูกมัดให้ผมต้องทำตามเงื่อนไข ซึ่งผมไม่ทำตามก็ได้ หากไม่กลัวฟ้าผ่า! ถ้าไม่กลัวก็บ้าแล้ว! เพราะโดนฟ้าผ่าอาจถึงตายได้
มกรา 52 ผมและสมาชิกชุมชนคนรักป่าได้ย่ำเท้าเข้ามาในร้านขายของชำบนเขาสูงอีกครั้ง โดยมี ซีดีเพลงเตหน่าแลมิตร ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของผมให้กับผู้เฒ่าที่บ้าน หลังจากที่เอาชุดนกเขาป่าให้เมื่อหลายปีก่อน ด้วยหลายเหตุผลแต่หนึ่งในนั้นคือกลัวฟ้าผ่านั่นเอง ครั้งนั้นไม่อาจพูดคุยกับผู้เฒ่าได้มากนัก ผู้เฒ่าได้สนทนากับเราผ่านการพยักหน้าและส่ายหน้า ไม่ส่งเสียง ไม่อ้าปาก ไม่ลืมตา แต่รับรู้สิ่งที่เรามา และเราก็รับรู้สิ่งที่ผู้เฒ่าเป็นอยู่
ผมเดินทางยังร้านขายของชำแห่งนั้นอีกครั้ง มันต่างจากทุกครั้ง ผมไม่ได้เอาซีดีไปให้ ไม่ได้ไปฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่า เป็นการเดินทางเพื่อไปคารวะร่างของผู้เฒ่าเป็นวาระสุดท้ายก่อนจะถูกกลบเป็นเนื้อเดียวกับผืนดิน
ใช่! พือพอเหล่ป่า สิ้นลมแล้ว! หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคภัยมาหลายยก โดยยกหลังๆพอเหล่ป่าเริ่มแผ่ว จนกองเชียร์หลายคนทำใจไว้ล่วงหน้าพอสมควร ในที่สุดการต่อสู้จึงไม่พลิกความคาดหมาย ซึ่งพือพอเหล่ป่าได้ทำหน้าที่ต่อสู้ในฐานะของความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ชนะใจกองเชียร์โดยเฉพาะกัลยาณมิตรที่เป็นนักคิด นักเขียน นักแสวงหาและนักอ่านทั้งหลาย
เพียงแต่งานฉลองการเสร็จสิ้นภารกิจบน ห่อ โข่ เคลอ หรือบนที่แห่งการร้องให้ของพือพอเหล่ป่านั้น สหายส่วนใหญ่ต่างอยู่ในช่วงของการทำหน้าที่ต่อสู้ในฐานะความเป็นมนุษย์อย่างเข้มข้น บ้างก็ติดงาน บ้างก็ติดเรียน บ้างก็ติดสอน บ้างก็ติดลูก บ้างก็ติดเมีย บ้างก็ติดหนี้ และติดอีกหลายอย่างตามพันธะที่ผูกพันอยู่ จึงมาร่วมแสดงความยินดีในความสำเร็จที่หลุดพ้นและเป็นอิสระของพือพอเหล่ป่าบางตาบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็อบอุ่นด้วยบรรยากาศแห่งความเรียบง่ายตามวิถีคนปกาเกอะญอ
ผมเองก็ติดงาน จึงทำให้ไปถึงช้ากว่าอาจารย์ลีซะและพี่นนท์คืนหนึ่ง ระหว่างเดินทางผมเรียบเรียงความคิด ความรู้สึกหลายอย่างที่มีต่อพือพอเหล่ป่า สิ่งที่อยู่ในความตั้งใจคือ นี่เป็นงานศพของขุนธาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของคนปกาเกอะญอ คนให้เกียรติท่านด้วยการขับขานเพลงธา ปลือ ซึ่งเป็นธาแห่ศพของคนปกาเกอะญอ
"คงมี โมะ โชะ ซักคนที่มาร่วมงาน คงได้ยิน เพลงธา ปลือ เต็มๆ แน่ๆ คืนนี้ มีโอกาสเราคงได้เรียนรู้กับโมะโชะ ผู้นำการขับขานเพลงอึธา" แค่นึกในใจผมตื่นเต้นจนขนลุกแล้ว ทำให้อยากไปถึงไวๆ
ณ ร้านขายของชำแห่งเดิม บัดนี้ถูกแปรสภาพเป็นที่ชุมนุมของญาติมิตรทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน พือพอเหล่ป่า ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เคยนอนป่วยเมื่อครั้งมาเยือนครั้งล่าสุด เพียงครั้งที่แล้วนอนบนเสื่อและหายใจอยู่ แต่ครั้งนี้นอนในโลงนิ่งสนิท ผ้าโพกหัวผืนเดิมทำหน้าที่คลุมโลงร่างของพือพอเหล่ป่า
ผมตรงเข้าไปจับมือ หญิงชราคู่ชีวิตของพือพอเหล่ป่า
"มาถึงแล้วเหรอ? มากี่คน?" พีพอเหล่โหม่ทักทายผมด้วยอาการสงบเสงี่ยม ทำให้เข้าใจความรู้สึกในห้วงขณะนี้เป็นอย่างดี
"ไปบอกพือ ให้รู้ว่า หลานมาถึงแล้ว" พีพอเหล่โหม่ให้ผมไปหาพือพอเหล่ป่า ผมแปลกใจพอสมควรที่ข้างโลงศพมีการจุดเทียนของผู้มาคาราวะศพ แต่อีกด้านหนึ่งของโลงศพมีธูปเพื่อไหว้ศพตั้งอยู่และมีร่องรอยของการจุดและไหว้มาแล้วจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ทั้งๆ ที่พือพอเหล่ป่านั้นเป็นคริสเตียนและเป็นหมอสอนศาสนาด้วยซ้ำ โดยธรรมเนียมของปกาเกอะญอคริสเตียนไม่มีการใช้ธูปไหว้ศพ แต่ที่มี ยิ่งทำให้ผมมั่นใจที่เห็นพื้นที่เปิดกว้างขนาดนี้ คืนนี้การร้องธา ปลือ หรือ เพลงแห่ศพ คงไม่ใช่อุปสรรคแน่นอน มีแน่ๆ
เมื่อผมทักทายบอกกล่าวพือพอเหล่ป่าเสร็จ ลูกหลานพือพอเหล่ป่าได้ชวนผมไปทานข้าวเอาแรงก่อน เงินทองเป็นเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง ผมจึงตามผู้ชวนโดยความยินดียิ่ง