Skip to main content
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น

 

แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย


"อย่าลืมนะ ถ้าทำเพลงเสร็จแล้วส่งมาให้ฟังนะ ถ้าไม่ส่งมาฟ้าจะผ่าเน้อ!" เป็นประโยคส่งท้ายของผู้เฒ่าที่บอกกับผมก่อนผมจะขอตัวกลับ ประโยคสั้นๆ แต่เป็นเหมือนประโยคผูกมัดให้ผมต้องทำตามเงื่อนไข ซึ่งผมไม่ทำตามก็ได้ หากไม่กลัวฟ้าผ่า! ถ้าไม่กลัวก็บ้าแล้ว! เพราะโดนฟ้าผ่าอาจถึงตายได้

 

มกรา 52 ผมและสมาชิกชุมชนคนรักป่าได้ย่ำเท้าเข้ามาในร้านขายของชำบนเขาสูงอีกครั้ง โดยมี ซีดีเพลงเตหน่าแลมิตร ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของผมให้กับผู้เฒ่าที่บ้าน หลังจากที่เอาชุดนกเขาป่าให้เมื่อหลายปีก่อน ด้วยหลายเหตุผลแต่หนึ่งในนั้นคือกลัวฟ้าผ่านั่นเอง ครั้งนั้นไม่อาจพูดคุยกับผู้เฒ่าได้มากนัก ผู้เฒ่าได้สนทนากับเราผ่านการพยักหน้าและส่ายหน้า ไม่ส่งเสียง ไม่อ้าปาก ไม่ลืมตา แต่รับรู้สิ่งที่เรามา และเราก็รับรู้สิ่งที่ผู้เฒ่าเป็นอยู่

 

ผมเดินทางยังร้านขายของชำแห่งนั้นอีกครั้ง มันต่างจากทุกครั้ง ผมไม่ได้เอาซีดีไปให้ ไม่ได้ไปฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่า เป็นการเดินทางเพื่อไปคารวะร่างของผู้เฒ่าเป็นวาระสุดท้ายก่อนจะถูกกลบเป็นเนื้อเดียวกับผืนดิน


ใช่! พือพอเหล่ป่า สิ้นลมแล้ว! หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคภัยมาหลายยก โดยยกหลังๆพอเหล่ป่าเริ่มแผ่ว จนกองเชียร์หลายคนทำใจไว้ล่วงหน้าพอสมควร ในที่สุดการต่อสู้จึงไม่พลิกความคาดหมาย ซึ่งพือพอเหล่ป่าได้ทำหน้าที่ต่อสู้ในฐานะของความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ชนะใจกองเชียร์โดยเฉพาะกัลยาณมิตรที่เป็นนักคิด นักเขียน นักแสวงหาและนักอ่านทั้งหลาย

 

เพียงแต่งานฉลองการเสร็จสิ้นภารกิจบน ห่อ โข่ เคลอ หรือบนที่แห่งการร้องให้ของพือพอเหล่ป่านั้น สหายส่วนใหญ่ต่างอยู่ในช่วงของการทำหน้าที่ต่อสู้ในฐานะความเป็นมนุษย์อย่างเข้มข้น บ้างก็ติดงาน บ้างก็ติดเรียน บ้างก็ติดสอน บ้างก็ติดลูก บ้างก็ติดเมีย บ้างก็ติดหนี้ และติดอีกหลายอย่างตามพันธะที่ผูกพันอยู่ จึงมาร่วมแสดงความยินดีในความสำเร็จที่หลุดพ้นและเป็นอิสระของพือพอเหล่ป่าบางตาบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็อบอุ่นด้วยบรรยากาศแห่งความเรียบง่ายตามวิถีคนปกาเกอะญอ

 

ผมเองก็ติดงาน จึงทำให้ไปถึงช้ากว่าอาจารย์ลีซะและพี่นนท์คืนหนึ่ง ระหว่างเดินทางผมเรียบเรียงความคิด ความรู้สึกหลายอย่างที่มีต่อพือพอเหล่ป่า สิ่งที่อยู่ในความตั้งใจคือ นี่เป็นงานศพของขุนธาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของคนปกาเกอะญอ คนให้เกียรติท่านด้วยการขับขานเพลงธา ปลือ ซึ่งเป็นธาแห่ศพของคนปกาเกอะญอ

 

"คงมี โมะ โชะ ซักคนที่มาร่วมงาน คงได้ยิน เพลงธา ปลือ เต็มๆ แน่ๆ คืนนี้ มีโอกาสเราคงได้เรียนรู้กับโมะโชะ ผู้นำการขับขานเพลงอึธา" แค่นึกในใจผมตื่นเต้นจนขนลุกแล้ว ทำให้อยากไปถึงไวๆ

 

ณ ร้านขายของชำแห่งเดิม บัดนี้ถูกแปรสภาพเป็นที่ชุมนุมของญาติมิตรทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน พือพอเหล่ป่า ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เคยนอนป่วยเมื่อครั้งมาเยือนครั้งล่าสุด เพียงครั้งที่แล้วนอนบนเสื่อและหายใจอยู่ แต่ครั้งนี้นอนในโลงนิ่งสนิท ผ้าโพกหัวผืนเดิมทำหน้าที่คลุมโลงร่างของพือพอเหล่ป่า

 

ผมตรงเข้าไปจับมือ หญิงชราคู่ชีวิตของพือพอเหล่ป่า

"มาถึงแล้วเหรอ? มากี่คน?" พีพอเหล่โหม่ทักทายผมด้วยอาการสงบเสงี่ยม ทำให้เข้าใจความรู้สึกในห้วงขณะนี้เป็นอย่างดี

 

"ไปบอกพือ ให้รู้ว่า หลานมาถึงแล้ว" พีพอเหล่โหม่ให้ผมไปหาพือพอเหล่ป่า ผมแปลกใจพอสมควรที่ข้างโลงศพมีการจุดเทียนของผู้มาคาราวะศพ แต่อีกด้านหนึ่งของโลงศพมีธูปเพื่อไหว้ศพตั้งอยู่และมีร่องรอยของการจุดและไหว้มาแล้วจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ทั้งๆ ที่พือพอเหล่ป่านั้นเป็นคริสเตียนและเป็นหมอสอนศาสนาด้วยซ้ำ โดยธรรมเนียมของปกาเกอะญอคริสเตียนไม่มีการใช้ธูปไหว้ศพ แต่ที่มี ยิ่งทำให้ผมมั่นใจที่เห็นพื้นที่เปิดกว้างขนาดนี้ คืนนี้การร้องธา ปลือ หรือ เพลงแห่ศพ คงไม่ใช่อุปสรรคแน่นอน มีแน่ๆ

 

เมื่อผมทักทายบอกกล่าวพือพอเหล่ป่าเสร็จ ลูกหลานพือพอเหล่ป่าได้ชวนผมไปทานข้าวเอาแรงก่อน เงินทองเป็นเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง ผมจึงตามผู้ชวนโดยความยินดียิ่ง

 

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
การนอนและนอนอย่างเดียวในรถตู้ไม่ใช่เรื่องง่าย  บางทีปวดฉี่ บางครั้งปวดหลัง ทุกครั้งที่รถแวะจอดเติมน้ำมันหรือแวะทำอะไร ผมก็มักจะตื่นด้วยทุกครั้ง  จนได้รับการต่อว่าจากคนที่นั่งมาด้วยกันด้วยความเป็นห่วงว่าผมจะรับช่วงการขับรถต่อได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ชิ สุวิชาน
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่คนฟังเพลงเป็นคนไทย แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นเนื่องจากคนไทยเป็นคนจัดงานกันเอง เป็นการจัดงาน ”Thai Festival in Texas” ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดปีละครั้ง ทุกๆปีจะจัดในเดือนเมษายน แต่ปีนี้มาจัดกันในเดือนกันยายนเนื่องจากต้องการให้กิจการทัวร์ ของ Himmapan 2nd world เป็นจุดเด่นของงานในปีนี้ ภายในงานมีการขายอาหาร เสื้อผ้า ของไทย มีการจัดซุ้มนวดแผนไทยมาบริการ
ชิ สุวิชาน
จาก Houston มุ่งสู่ Dallas ระหว่างทางผมได้มีโอกาสเป็นสารถีอีกครั้ง ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ผมก็เหลียวซ้ายและขวาบ้าง ผมเห็นตัวที่อยู่ข้างทาง วัวก็ไม่ใช่ ควายก็ไม่เชิง เมื่อเดินทางมาถึงDallas ที่ หมาย ซึ่งมีพี่น้องคนไทยรอรับ จัดแจงที่อยู่ที่กินเป็นอย่างดี “ที่นี่ มีคนปกาเกอะญอไหมครับ?” เป็นคำถามแรกที่ผมถามที่ Dallas
ชิ สุวิชาน
วันนี้ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้ไปเดินซื้อของที่ Outlet ส่วนผู้ชายหลังจากทานอาหารเช้า ต้องเดินทางไปติดตั้งเครื่องเสียงเพื่อเล่นในเย็นวันนี้
ชิ สุวิชาน
หัวค่ำ พี่แพท นายกสมาคมไทย เท็กซัส พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีน  ภายในร้านมีคนเอเชียจากหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว เวียดนาม รวมทั้งพี่ไทย  แต่ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันยกเว้นคนเวียดนามที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษในร้านนอกจากพูดภาษาของตนเอง 
ชิ สุวิชาน
การเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่สังคยานาดำเนินขึ้น จุดหมายวันนี้อยู่ที่ร้าน Home plate grill เป็นร้าน sport club ของคนไทย ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามเบสบอลทีม Houston Astros ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม ทางคณะทีมงานได้ไปเชิญชวนแฟนๆเบสบอลมาฟังดนตรีก่อนเกมจะเริ่ม ทำให้ในร้านเริ่มมีคนทยอยเข้ามา บ้างมานั่งดื่มก่อนเข้าไปดูเกมในสนาม บ้างเข้ามาซื้อเพื่อไปดื่มในสนาม
ชิ สุวิชาน
ข้าวเย็นมื้อหนักจบลง ตัวแทนสมาคมไทย-เท็กซัส ได้พาคณะไปที่พักผู้หญิงพักที่บ้านคนไทย ผู้ชายพักที่วัดไทยที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อ”วัดป่าศรีถาวร” ซึ่งมีที่พัก มีห้องน้ำที่อยู่ในขั้นสะดวก พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่นี่เป็นกันเองนอกจากบริการที่พักแล้ว ยังให้ข้าวปลาอาหารให้ทานอีกเล่นเอาทีมงานผู้ชายต่างซึ้งไปตามๆกัน
ชิ สุวิชาน
สายๆของวันที่ 20 กันยา เราเดินทางออกจาก Austin ต่อไปเมือง Houston มีกำหนดการเล่นบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่เล่น ตัวแทนจากสมาคมไทย-เท็กซัส ได้มาต้อนรับและพาไปดูเวทีซึ่งเป็นที่คล้ายตลาดสดหรือตลาดนัดที่เมืองไทย มีอาหาร เสื้อผ้า ของเล่น รูปร่างหน้าตาและสัดส่วนรูปร่างของคนแถวนี้ใกล้เคียงเมืองไทย เพียงแต่ไม่พูดภาษาไทย พูดภาษาสเปนมากกว่าภาษาอังกฤษ
ชิ สุวิชาน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ Alamo เราออกเดินทางต่อไปยัง Austin ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ผมไม่ทิ้งโอกาสที่จะถามหาคนในเผ่าพันธุ์ของผม
ชิ สุวิชาน
การเดินทางยังดำเนินต่อ บทเพลงในรถยังเป็นเพื่อน มีทั้งเพลงที่ดัง มีทั้งเพลงไม่ดัง บางเพลงเคยได้ฟังมาบ้าง บางเพลงไม่เคยรู้จัก “เพลงที่ดังกว่า ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป คนที่ดังกว่าไม่ได้เก่งกว่าเสมอไป” ทอด์ดสรุปให้ฟัง “แต่อย่างผมไม่ดัง และไม่เก่งด้วย” ผมสรุปของผมในใจ
ชิ สุวิชาน
มีเวลาพัก หลังจากเล่นที่ Thai Thani Resort  วันหนึ่งได้มีโอกาสไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบระยะทางประมาณชั่วโมงเศษจากสแครนตั้น  รุ่งเช้า ออกเดินทางจากสแครนตั้นมุ่งสู่ตอนใต้ของอเมริกา เป้าหมายอยู่ที่ Texas ระยะทางเกือบสองพันไมล์ ขบวนรถตู้สามคัน บรรทุกทีมงานยี่สิบกว่าชีวิตพร้อมอุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องดนตรี เดินทางเต็มที่วันแรกจนตีสอง ทุกคนยอมแพ้ทั้งคนขับและคนนั่ง ถ้าเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงพูดได้ ก็คงขอพักเช่นกัน จึงค้างกันที่เมือง Bristol รัฐ Tennessee
ชิ สุวิชาน
หลังคอนเสริตจบลงที่นิวยอร์ก เราเดินทางกลับสแครนตันในคืนนั้นเลย กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่ ทำให้หลังจากถึงที่นอนไม่เกินห้านาที เสียงกรนจากรอบข้างเริ่มดังขึ้น เหมือนมีการเปิดคอนเสริตประสานเสียง มีทั้งเสียงเบส เทนเนอร์ อัลโต โซปราโน ครบครัน กว่าผมจะหลับได้เล่นเอาฟังจนอิ่ม