Skip to main content

หลังคอนเสริตจบลงที่นิวยอร์ก เราเดินทางกลับสแครนตันในคืนนั้นเลย กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่ ทำให้หลังจากถึงที่นอนไม่เกินห้านาที เสียงกรนจากรอบข้างเริ่มดังขึ้น เหมือนมีการเปิดคอนเสริตประสานเสียง มีทั้งเสียงเบส เทนเนอร์ อัลโต โซปราโน ครบครัน กว่าผมจะหลับได้เล่นเอาฟังจนอิ่ม

ตื่นมาอีกทีได้เวลาอาหารเที่ยง ตอนบ่ายล้อเริ่มหมุนสู่เมือง Ithaca จุดหมายอยู่ที่ Ithaca state theater เป็นการประเดิมเล่นในโรงละครแห่งแรกในอเมริกา เวลาเปิดประตูทุ่มหนึ่ง ผู้ชมเริ่มเข้ามาทั้งคนไทยและฝรั่งสัดส่วนไม่แตกต่างกัน มีผมดำ ผมขาว ผมบรอนซ์ สลับกันไป

 

วันนี้ได้มีโอกาสปล่อยเพลง “แบแล” ร่วมกับวง นอกจากเล่นเพลง “ทีเบ ก่อเบ” ที่ร่วมกับพี่ทอด์ดและเพลงอื่นๆที่แจมกับคนอื่น บรรยากาศสนุกสนานดีทั้งคนฟังและคนเล่น

 

รู้สึกอย่างไรกับการได้มาเล่นคอนเสริตที่อเมริกา?” พี่ทอด์ด ถามผมบนเวที

ดีใจครับ ในฐานะคนชนเผ่าคนหนึ่งที่ได้มีพื้นที่ในการบอกเล่าเรื่องราว วัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์สู่ดินแดนอื่น แต่สิ่งที่ผมตั้งใจคือ อยากมาพบมาเจอกับพี่น้องปกาเกอะญอที่มาอยู่ในอเมริกาครับ” ผมตอบเขา

 

หลังจบคอนเสริตมีคณะคนไทยพาเราไปทานอาหารรอบดึก เจอคนลาว และคนเขมรในร้าน มีคนแนะนำว่า เขาถูกส่งมาให้มาอยู่ประเทศที่สาม เนื่องจากประเทศมีสงครามภายในประเทศ มันไม่ต่างจากคนปกาเกอะญอในรัฐกะเหรี่ยงเลย

 

รู้จักคนปกาเกอะญอที่มาประเทศที่สามเหมือนคุณไหม?” ผมถามเขาทั้งสอง

ปกาเกอะญอ ไม่มีนะ” เขาตอบแบบงง ในชื่อของเผ่าผม เหมือนเขาไม่เคยได้ยิน เคยรู้จัก

คาเรน คาเรน คุณรู้จักไหม?” ผมเซ้าซี้เขาต่อ

คาเรนที่มาจากประเทศพม่าเหรอ? เค้าไม่ได้มาจากประเทศไทยนะ” เขาบอกผม

นั่นแหละ เค้ามาจากเรฟฟูจี” ผมบอกเขา

ใช่ เค้ามาจากเรฟฟูจี เราเล่นตะกร้อด้วยกันทุกเย็น ถ้าผมรู้ผมชวนเขามาได้ ผมก็มาจากเรฟฟูจีที่ชายแดนไทยเขมร สมัยเขมรแดงปกครองประเทศ” เขาบอกผมด้วยรอยยิ้ม แต่นั่นหมายถึงผมคลาดจากการได้เจอคนปกาเกอะญอในเมือง Ithaca

 

ออกจาก เมือง Ithaca กลับไปนอนที่สแครนตัน เพราะตอนบ่ายในวันรุ่งขึ้นต้องเล่นที่เมืองสแครนตัน เวลา 11 โมงเช้าเราถึงเวที เป็นงานออกบูธประจำปีของโบสถ์คาทอลิก มีการขายอาหาร หนังสือ ซีดีเพลง เราเริ่มตั้งเครื่องเสียง เวทีไม่ธรรมดา เป็นรถสิบล้อเปิดฝาข้างแล้วดัดแปลงเป็นเวทีแสดงดนตรี แต่เนื่องจากเครื่องดนตรีของเรามีมากกว่าที่ เวทีกระบะสิบล้อจะรองรับได้

 

โกละ คู่หูของเตหน่ากู ถูกตั้งไว้ข้างหน้ากระบะรถสิบล้อ เพราะมันต้องการพื้นที่ส่วนตัวพอสมควร ในขณะที่เตหน่ากูอยู่บนเวทีกระบะรถสิบ หลังลองเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงเสร็จ ออกไปเดินเที่ยวชมบูธต่างๆ พร้อมมองหาอาหารเที่ยงภายในตัว

 

บ่ายโมง แม้อากาศจะร้อนแต่ศรัทธาของบาทหลวงและโบสถ์ก็หลั่งไหลกันมาไม่น้อย เตหน่ากูได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่อย่างที่เคยทำมา เช่นเดียวกับโกละ สังเกตได้จากหลังจบคอนเสริตมีคนเข้ามาทักทายทำความรู้จักกับโกละไม่น้อยทีเดียว ดูเหมือนจะมากกว่าเตหน่ากูด้วยซ้ำในรอบนี้

 

หลังจากนั้นเดินทางต่อเพื่อไปเล่นที่ Thai Thani Resort บรรยากาศเป็นแบบครอบครัวหลายครอบครัว ตั้งแต่ ยาย พ่อ แม่ ลูก ปู่ หลาน จึงมีการเริ่มต้นด้วยดนตรีและบทเพลงเบาๆ เตหน่ากูได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ก่อนสามเพลงเช่นเคย หลังจากนั้นวงเต็มจึงเริ่มบรรเลงต่อ จนกระทั่งคอนเสริตได้จบลง กลายเป็นบรรยากาศการทักทายพูดคุยระหว่างคนเล่นดนตรีกับผู้ชม

 

Joe ผู้ชายร่างบึก อาชีพเป็นผู้ออกแบบการวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในบริษัทขนาดใหญ่ เดินเข้ามาหาผม ก่อนถอนหายใจยาว

ผมขอสารภาพว่า ผมไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อมาดูคุณ ไม่ได้มาเพื่อมาฟังดนตรีของคุณเลย แต่คุณทำให้น้ำตาผมไหลเมือฟังเสียงเพลง เสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีคุณ” เขาพูดกับผมด้วยดวงตาที่แดงนิดๆ แต่ผมไม่แน่ใจว่าตาเขาแดงจากการร้องไห้เนื่องจากซึ้งที่ฟังเพลงหรือตาเขาแดงเพราะฤทธิ์เบียร์กันแน่

 

ไม่ใช่ของผมครับ ทั้งหมดเป็นผลผลิตที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ผมครับ” ผมบอกเขา

รักษาเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรมของคุณไว้ มันสวยงามและมีคุณค่าเกินกว่าจะยอมให้มือใครมาทำลาย” เขาพูดพร้อมกับตบไหล่ผมและบีบแบบเขย่านิดๆ

ผมพยายามอยู่ครับ แต่ผมทำคนเดียวไม่ได้ครับ มีปัจจัย มีเงื่อนไขอีกแยะครับ ที่ต้องมาเกี่ยวข้อง คนในชนเผ่าผมเองจำนวนไม่น้อยที่พยายามทำมัน” ผมบอกเขา

ใช่...ไม่ง่ายหรอก แต่คุณต้องทำ ผมเชื่อว่าโลกกำลังจะหันมาและจะเฝ้าดูเผ่าพันธุ์ของคุณ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม

โลกจะหันมาดูหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ แต่วันนี้อย่างน้อยคุณหันมามอง ผมก็รู้สึกดีแล้วครับ” ผมส่งคำพูดและรอยยิ้มตอบเขา

 


บรรเลงบนเวทีกระบะรถ
10 ล้อ

 


โกละร่วมบรรเลง

 

 

 


เตหน่ากู กำลังทำหน้าที่
Thai Thani Resort

 

 

 


ลีลาของโหวต จากแม่น้ำโขง

 

 


Joe (
คนขวาสุด) ผู้ออกแบบการวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในบริษัทขนาดใหญ่

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน “ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์”…
ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง…
ชิ สุวิชาน
หลัง ธาหมวด แป่โป่ แปซวย แล้ว ก็จะต่อด้วย ธาหมวดโข่เส่ คะมอ ตามด้วย หมวดโดยมีเด็กชายนำการเดินวนอยู่เหมือนวันแรก  และหมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขานต่อจาก หมวดโข่ เส่ คะมอ ต่อด้วย หมวด เชอเกปลือ  หมวดฉ่อลอ หมวดแกวะเก  หมวดธาชอเต่อแล จากนั้น หมวดธาเดาะธ่อ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาอย่างแน่นขนัดของหนุ่มสาวเช่นเดิม เมื่อธาเดาะธ่อหรือเริ่มต้นมาแล้ว ก็จะมีหมวดธา เดาะแฮ, หมวด ธาเดาะเหน่,หมวด ธาลอบะ ,หมวด ธา ลอกล่อ ซึ่งล้วนแต่เป็น ธา หน่อ เดอ จ๊อหรือธา หนุ่มสาว ซึ่งตั้งแต่ ธา หมวด เดาะธ่อ เป็นต้นไป ถือว่าเป็น เพลงธา ที่สามารถขับขานเป็นปกติได้ทุกโอกาส ทุกสถานที่…
ชิ สุวิชาน
เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า   เก่อ…
ชิ สุวิชาน
หมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขาน ซึ่งเป็นหมวดที่ว่าด้วย การจากไปสู่ปรโลก ซึ่งปกติแล้วก่อนที่คนจะตายมักมีลางสังหรณ์ปรากฎแก่คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างเสมอ นั่นหมายความว่าถึงเวลาของผู้ตายแล้ว เวลาแห่งความตายนั้นย่อมมาถึงทุกคน เพราะฉะนั้นก่อนตายควรทำความดีหรือทำคุณประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินถิ่นเกิดที่เราอาศัยอยู่ตอนมีชีวิตให้มากที่สุด เมื่อลางสังหรณ์มาถึงเราจะได้จากอย่างหมดทุกข์หมดห่วง ตัวอย่าง ธา หมวดนี้เริ่มต้นดังนี้ มี หม่อ เคลอ ฮะ เหน่ อะ เด                 มีหม่อ คอ ฮะ เหน่ อะ เด เต่อ เหม่ เคลอ ฮะ เหน่ อะเด      …
ชิ สุวิชาน
“โมะโชะมาแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เมื่อเห็นร่างชายวัยปลายกลางคนเดินเข้ามา สายตาทุกดวงจึงมองไปที่ โมะโชะ เขาคือผู้นำในการขับขานเพลงธา เขาต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองมาหลายปีกว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่รับผิดชอบสำหรับตำแหน่งนี้คือการเป็นผู้นำในการขับขานธาในพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเช่น งานแต่ง หรืองานตาย บางชุมชนทั้งหมู่บ้านไม่มีโมะโชะเลย เวลามีงานต้องไปยืมหรือเชื้อเชิญโมะโชะจากชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้ ว่ากันว่าชุมชนที่สมบูรณ์นอกจากต้องมีผู้นำชุมชนตามประเพณีที่เรียกว่า ฮี่โข่ ต้องมีจำนวนหลังคาในชุมชนมากกว่า 30 หลังคาเรือนแล้ว…
ชิ สุวิชาน
ช่วงเย็นหลังจากที่ทำงานในไร่ และกำลังจะนั่งกินข้าวร่วมครอบครัว “ลุงเร็ว ปู่ วาโข่ หายใจขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้หายใจลงแล้ว” หลานชายมาวงข่าวเกี่ยวกับพือวาโข่ซึ่งเป็นพ่อของเขา เขาละจากวงทานข้าวของครอบครัว แล้ววิ่งไปหาพ่อทันที พือวาโข่ เป็นฉายาที่เด็กๆ ในหมู่บ้านและหลานๆเ รียกชื่อผู้เฒ่าผู้ชายที่อาวุโส จนผมหงอกทั้งหัว พือหมายถึงพ่อเฒ่า วาโข่หมายถึง ผมขาว หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า พีวาโข่ พีแปลว่าแม่เฒ่า นั่นเอง คนรุ่นนี้จะเป็นที่รักใคร่ของลูกหลานทั้งในครอบครัวและในชุมชน เพราะถือเป็นทรัพยากรบุคคลของชุมชนทีมีค่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นในชุมชนที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาทางออกได้…
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศในบ้านเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเสียงเตหน่าบรรเลงในบ้านไม่เว้นแต่ละคืน  บางคืนเป็นเสียงเตหน่า ลายเดิมที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนถ่ายทอด  แต่บางคืนมีเสียงเตหน่าลายแปลกออกมาจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้จนต้องเงี่ยหูฟัง  นานแล้วที่เจ้าของเสียงเตหน่ากูห่างหายไปจากการร่ำเรียนวิชาจากพ่อ  แต่วันนี้เขากลับมาหาครูผู้สอนเตหน่ากูของเขาอีกครั้ง แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างสงสัยจึงต้องมา"พ่อผมจะไปล้มไม้มาทำเตหน่ากู ควรจะหาไม้อย่างไรดี" ประโยคแรกที่เขามาถามพ่อ"จริงๆ แล้วไม้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นไม้ที่โค้งงอ แต่คนสมัยก่อนเขานิยมใช้ไม้เก่อมา หรือภาษาไทยเรียกว่าไม้ซ้อ…
ชิ สุวิชาน
มีบทธา ซึ่งเป็นบทกวีหรือสุภาษิตสองลูกสอนหลานของคนปกาเกอะญอมากมาย ที่กล่าวถึงเตหน่ากูเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนปกาเกอะญอ แต่ในตรงนี้จะยกมาเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของ ธา ที่กล่าวถึงเตหน่ากู 1. เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชึ             เด เต่อ มึ เด ซึ เด ซึ2.เตหน่า เลอ จอ แว พอ ฮือ            เต่อ บะ จอ จึ แซ เต่อ มึ3.เตหน่า ปวา แกวะ ออ เลอ เฌอ      เด บะ เก อะ หล่อ เลอ เปลอ4.เตหน่า ปวา เจาะ เลอ เก่อ มา     …
ชิ สุวิชาน
ลูกชายหายหน้าไปจากการเรียนรู้การเล่นเตหน่ากูกับพ่อเป็นหลายสิบ จนผู้เป็นแม่ที่คอยหุงอาหารให้หมูในตอนหัวค่ำเกิดคำถามต่อผู้เป็นพ่อ “ไอ้ตัวเล็กมันเล่นเป็นแล้วเหรอ? มันถึงไม่มาฝึกเพิ่ม” แม่ถามพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกะบะไฟดินในบ้าน “มันบอก มันจะฝึกเอง มันคงไปฝึกที่บ้านผู้สาวมั้ง?” พ่อตอบแม่พร้อมกับสันนิษฐานพฤติกรรมของลูกชาย “มันก็ธรรมดาแหละ วัวตัวผู้พอมันเริ่มเป็นหนุ่ม มันก็เริ่มแตกฝูงไปหาตัวเมียในฝูงอื่น ก็เหมือนพ่อตอนเป็นหนุ่มนั่นแหละ อยู่บ้านอยู่ช่องซะที่ไหน กลางค่ำกลางคืนดึกแล้วไล่กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ค่ำไหนค่ำนั้น มาหาทุกคืน” แม่เปรียบเทียบให้พ่อฟัง
ชิ สุวิชาน
“วิธีการเล่นล่ะ? แตกต่างกันมั้ย?” ลูกชายถามพ่อ “ถ้าเล่นอย่างไดอย่างหนึ่งได้นะ ก็เล่นอีกอย่างได้เองแหละ ขอให้เข้าใจวิธีการตั้งสายเถอะ อย่าตั้งสายเพี้ยนละกัน” พ่อบอกและย้ำกับลูกชาย “งั้นพ่อสอนเพลงอีกซักเพลงที่เล่นแบบเมเจอร์สเกลนะ” ลูกขอวิชาจากพ่อ “เอาซิ! เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นกับเตหน่ากูบ่อยๆ อีกเพลง ร้องตามนะ” พ่อเริ่มร้องนำ ลูกจึงเริ่มร้องตาม
ชิ สุวิชาน
สองสามคืนผ่านไป ลูกชายไม่ได้มายุ่งกับพ่อ แต่คืนนี้ภายในบ้านไม้ไผ่ หลังคาตองตึงทรงปวาเก่อญอหลังเดิม ลูกชายถือเตหน่ากูมาอยู่ข้างพ่ออีกครั้ง “ลองฟังดูนะ ใช้ได้หรือยัง?” ลูกชายพูดจบเริ่มดีดเตหน่าและเปล่งเสียงร้องเพลงแบบไมเนอร์สเกลให้พ่อฟัง แต่ด้วยความตั้งใจมากไปหน่อยทำให้การเล่นบางครั้งมีสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ลูกชายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุด เล่นและร้องให้พ่อซึ่งเป็นครูสอนเตหน่ากูให้เขาจนจบเพลง “ฮึ ฮึ ก็ดี เริ่มต้นได้ขนาดนี้ก็ไช้ได้” พ่อตอบเขาแบบยิ้มๆ “แล้วพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่งได้หรือยัง?” เขามองหน้าพ่อ “อ๋อ ที่มาเล่นให้ฟังนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าเล่นไมเนอร์ได้แล้ว จะขอเรียนแบบเมเจอร์ต่อว่างั้นเถอะ”…