Skip to main content

หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน

นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง

บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง

มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า

สบตากันนาน มองจ้องกันนาน

สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง

ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด

เปลี่ยววังเวง รอความตาย

jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises




ปิคกิ้งกีตาร์นวลเนียน บทกวีคำต่อคำเกลี่ยคำไปทั่วหน้ากระดาษ

โพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้าต่างหาก ตัวมอดแมงระเริงไชชอน

รูจมูกข้าพเจ้าได้กลิ่นสาบขนสัตว์

หูข้าพเจ้าได้ยินเสียงคอร์ด D9

ตาข้าพเจ้าเห็น จอห์น เดนเวอร์ เดินร้องเพลง BACK HOME AGAIN

ไปตามทางเดินกลางป่าแห้งๆ ใบไม้เหลือง บ้างปลิวใบน้ำตาลไหม้คว้างๆลงดิน

ไม่มีใครเดินผ่านมา ถนนกวี เพลงกวี

BACK HOME AGAIN จบลงแล้ว เขายังร้องเพลง BACK HOME AGAIN

หมวกใบยับยู่ยี่ยังอยู่บนศีรษะของเขา

ฉากหลังไกลๆ เป็นยอดเขาสีเทาที่ไม่เคยมีใครเดินไปถึง

กีตาร์ MARTIN รุ่น SHENADOAH ตัวนี้หรือเปล่า

ร้องเพลง THIS OLD GUITAR ได้ทั้งวัน

บุหงาส่าหรีริมหน้าต่างทิ้งดอกร่วงไปหมดแล้ว

กระรอกมาแอบกินลูกสักแก่ๆ เสียงดังเหมือนช่างแกะสลักหิน

พลันทันใด โพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้าก็ต้อนรับการมาถึงของ MR.TAMBOURINE MAN

นายแทมเบอรีนแมนบอกให้ข้าพเจ้าแกะกล่องกีตาร์ หยิบกีตาร์ออกมา

ข้าพเจ้าต้องคาดคาร์โป 5 เลือกเล่น KEY C

กีตาร์ในมือข้าพเจ้าดังเหมือนแมวป่วยฉี่ใส่สังกะสี

เสียงโหวกเหวก กีตาร์ดิบล่อนจ้อนของบ็อบ ดีแลน มีเสียงเปียโนคลอเบาๆ

เหมือนคนสองคนนั่งหันหลังให้กัน ในห้องเดียวกัน

ฮาร์โมนิก้า เป็นเสียงผึ้ง 10,000 ตัวกำลังไล่ตามนางพญา

รังของมันเหมือนกลุ่มดาวพิณ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ

ภาวนาอย่าให้พวกมันลงมาทำรังในโพรงกลวงตัวข้าพเจ้า

ตะโกนออกไปด้วยพลังเสียงห่ามๆ BOB DYLAN

สับคอร์ดลงบน KEY C คาดคาร์โป 5

นายแทมเบอรีนแมนมองมาด้วยสายตาคอยลุ้นให้ลงห้องคอร์ด

อย่าเปลี่ยนเป็นอื่นไปก่อน อย่าเบื่อไปก่อน

เขาพูดด้วยสายตานักบวชเดินร่อนเร่พเนจร

แล้วเขาก็ชวนเล่นเพลง LINE A ROLLING STONE

ข้าพเจ้าออกเสียง NOTHING… ดังๆ

NOTHING ..NOTHING… NOTHING ..NOTHING..



โพรงกลวงๆ ในตัวข้าพเจ้า ขยายออกไปเป็นถ้ำเก่าแก่มืดสลัว

รูจมูกข้าพเจ้าได้กลิ่นขี้ค้างคาว

หูข้าพเจ้าได้ยินเสียงคอร์ดกีตาร์ ข้าพเจ้าเข้าไปพบ G/GM7/AM/D7

เวียนวนคอร์ดไปมาก่อนทะลุกลางปล้องด้วยคอร์ด Csus4/CM7/AM/G/F/G6

ข้าพเจ้ากลับมาวนคอร์ดเดิมอีกครั้ง ตอนนี้มิสเตอร์แทมเมอรีนแมนนั่งมองดูอย่างเดียว

จังหวะ (4/4) เริ่มได้ G/GM7(2) AM/D7(2) Csus4/CM7(2) AM/G/F(2) G6

โพรงกลวงๆ ในตัวข้าพเข้า เหมือนท้องฟ้าหลับตากลืนแพะทั้งตัว

ข้าพเจ้าไม่ห่วงว่ามิสเตอร์แทมเบอรีนแมนจะพอใจหรือไม่

ข้าพเจ้ามองหานกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง

มันหลบเข้ามาทำรังในโพรงกลวงๆข้าพเจ้าตอนไหน

G/GM7(2) AM/D7(2) Csus4/CM7(2) AM/G/F(2) G6

ข้าพเจ้าเล่นคอร์ดซ้ำไปมา จนลืมไปว่ามิสเตอร์แทมเบอรีนแมนยังนั่งมองโพรงกลวงๆ


***แด่..สัปดาห์แรกแห่งปี 2552 และเหล่ามิสเตอร์แทมเบอรีนแมนทั้งหลาย




บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ