Skip to main content

picture1

ผมพบเขาครั้งแรกในหน้าหนาวเมื่อหลายปีก่อน  หมู่บ้านเล็กๆ  ใจกลางเทือกถนนธงชัย  เขาไม่ค่อยมองสบตาในช่วงแรกๆ  เงียบเหมือนหิน  ยิ้มยาก  เคร่งขรึมอบอวลอยู่ภายใน 

ผมนึกว่าคนจากพื้นล่าง  ขึ้นมารอซื้อของป่า  หรือพูดง่ายๆว่าอาจเป็นพ่อค้าซื้อของป่าสักอย่าง  ซึ่งมักปิดปากเงียบ  ไม่อยากให้รายละเอียดใครต่อใคร  ถึงจุดหมายที่มาของตัวเองต่อคนแปลกหน้าด้วยกัน  และของป่าที่จะซื้อก็ใช่ว่ามันจะเถรตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย 

หรือจะพูดอีกอย่างว่า  ได้มาง่าย  ได้มาถูกๆ  ได้ของมาโดยไม่เหมือนคนอื่น  ก็ถือเป็นกำไรของการดั้นด้นมาตามหาของป่าไกลลึก

ผมบอกอย่างนี้  เพราะผมเคยพบหน้ากับคนค้าของป่านานาชนิด  ทั้งวัวควาย  แพะ  เห็ด  ผลไม้เมืองหนาว  สัตว์ป่า  เอื้องป่า  ยาสมุนไพร  สารพัดที่จะลงไปสู่พื้นราบแล้วแปลงร่างเป็นเงินงามๆออกมาได้

กระทั่งเจ้าของบ้านบอก  เป็นกะเหรี่ยงจากพม่า 

ผมโพล่งภาษาอังกฤษ(แบบงูๆปลาๆ)ออกไปทักทาย   ผมมานึกอีกทีหนึ่ง  ผมไม่น่าเริ่มต้นอย่างนั้นเลย  แค่ต่าบรึ โอมูโชเปอ  ทักทายตามธรรมเนียม ก็น่าจะเพียงพอกล่าวคำทักทาย

แต่เขาตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดคำ  ชัดเจน  
ใบหน้าผมเจื่อน  หดสั้นลงเหลือนิ้วเดียว  และเป็นนิ้วเดียวที่ยับๆย่นๆยู่ยี่ดูไม่ได้เลย
ผมแนะนำตัวเอง  เขาบอกชื่อ เหล่อวา  อันแปลว่าหินขาว
(ผมเชื่อเหลือเกินว่า  มีคนรู้จักเขาอีกมาก  แต่ผมผ่านพบเขาแค่ลมวูบเดียวจริงๆ)

เขาบอกเรื่องตัวเองให้ผมรู้น้อยมาก  กระทั่งถึงเช้าอีกวัน..  

เพลงของ จอร์น เดนเวอร์ แว่วมาแต่เช้า  มันเป็นน้ำเสียงไม่ธรรมดา  เป็นน้ำเสียงของการฝึกฝนมายาวนาน  เสียงสวย  นุ่มนวล  เพราะมาก  ตามด้วยเพลงของ พอล ไซม่อลและอาร์ต  การ์ฟังเกล  
ตามมาอีก เป็นเพลงในภาษาของเขา

ไม่นาน  เราพบในห้องบันทึกเสียงกลางเมืองเชียงใหม่  เขากำลังทำงานเพลงบอกเล่าเรื่องของเขา
ผมชวนมาเขามาเที่ยวที่บ้าน  บ้านที่ผมพักเช่าอยู่

เขาพกรูปถ่ายมาด้วย  ผมเห็นใบหน้าตรากตรำสะพายปืนอาก้า   ผูกเปลนอนกันกลางป่า  ครอบครัวของเขา  ลูกของเขา  เพื่อนของเขาที่อยู่ในเขตสู้รบ   ภาพพักแรมตามป่าในเขตพม่า

picture2

เขาร้องเพลงให้ผมฟัง

แล้วเขานัดผมว่า  อีกไม่กี่วันข้างหน้า  เอาจะเอาเพลงที่เขาเคยบันทึกแจกจ่ายกันตามตะเข็บชายแดนเมื่อหลายปีก่อนมาให้

ผมไปรับเทปเพลงที่กลางเมือง  ราวกับยื่นรับสิ่งของผิดกฎหมาย

คราวหน้า  ผมจะเอาเพลงของเขา  มาขึ้นจอให้ดู ...

picture3

+ + + + + + + +

หมายเหตุ   หน่วยสืบรู้คงตามหาตัวเขาไม่ได้แล้ว ผมไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย  เขาไปเป็นพลเมืองดีของอเมริกันชน  ผมรู้ความจริงแค่นั้น  เส้นทางนักรบเขียนเพลงของเขา  ยังเดินทางต่อหรือไม่  ไม่รู้... 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ