Skip to main content

นานหลายเดือนที่ผมกับยาดาวางแผนการเดินทางไปเวียดนาม ความจริงก็คือ เรามาเร่งหาข้อมูลเอาโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงกำหนดเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเข้าสู่เวียดนามมาจากหลายทาง ทั้งจากเพื่อนที่เคยไปและไม่เคยไป (แต่มีคนรู้จักหรือมีเพื่อนเคยไป) ทั้งจากหนังสือและเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศรวมถึงโลนลี่ พลาเน็ต ฉบับเวียดนาม ที่ลงทุนไปหาซื้อมาตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันออกเดินทาง (16 วัน ระหว่างวันที่ 3-18 เมษายน 51)

ทำไมถึงเวียดนาม อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คือ อยากไปว่ะ!

ผมและเธอ ตัดสินใจใช้เส้นทางมุกดาหาร สะหวันเขต-ด่านลาวบาว-เว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เส้นทางรถโดยสารจะทำให้เรามองเห็นทัศนียภาพ 2 ข้างทางได้ถนัดตามากกว่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับเส้นทางนี้ เอาไปเล่าให้ใครฟังแล้วต่างส่ายหน้าก่อนจะบ่นๆ ทำนองว่า “แหม ช่างอึดอดทนกันซะจริงนะยะ” หรือ “ไปเหอะ ช่วงนี้เข่าไม่ดีว่ะเพื่อน” ก่อนจะตบบ่าเราเบาๆ หรือ “เพื่อน เราแก่แล้วอ่ะ” และอื่นๆ อีกสารพัด

ผมจองตั๋วไปมุกดาหารที่สถานีขนส่งหมอชิต ตามสูตรแล้ว ผมควรใช้บริการบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ด ทัวร์ ที่ได้รับการการันตีจากแหล่งข้อมูลแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะมีเหตุผลบางอย่าง เจ้าหน้าที่ซึ่งรับจองตัวของบริษัทไม่อยู่ที่ห้องจองตั๋ว สอบถามได้ความว่า
“พวกเธอไปรับเงินเดือน รออีกสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาบอก

ผมรออยู่ชั่วอึดใจแต่เวลาเหมือนจะเชื่องช้า สายตาจับไปยังห้องที่ว่างเปล่าของบริษัท ก่อนตัดใจ ”จองตั๋วไปมุกดาหาร 2 ที่ครับ” ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเชิดชัยทัวร์หลังจากเช็ควันเวลาในตั๋วเรียบร้อย โดยไม่ได้ตั้งใจ ผมหันไปมองที่ห้องบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์อีกครั้ง

เอ่อ พวกเธอกลับมานั่งประจำที่เรียบร้อย !

เวลา 18.30 น. ของวันที่ 3 เมษายน เรามาถึงหมอชิตก่อนเวลารถออกครึ่งชั่วโมง ผมรอคอยการเดินทางนัดนี้อย่างใจจดจ่อ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากให้มีความผิดพลาดใดใดเกิดขึ้น อากาศครึ้มทั้งที่เป็นฤดูร้อน ข่าวคราวของเวียดนามผ่านเข้าหูหลายเรื่อง ภาคเหนือของประเทศ (ช่วงนั้น) กำลังประสบภาวะหนาวจัด ไปเวียดนามหากไม่ถูกโกง โก่ง ราคา เรียกว่าไปไม่ถึง คนเวียดไม่พูดภาษาอังกฤษ หากซื้อสินค้าต้องต่อราคามากกว่า 80% และสาวเวียดผิวเนียนมั่กๆ ฯลฯ

ระหว่างรอเวลารถออก หนุ่มใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตลายทางสีเขียวซีดๆ นายหนึ่ง กุมนิตยสารแนวก็อสซิปดาราแนบอก เดินขึ้นมาบนรถอย่างคนคุ้นเคย(เพราะทำมาหากินอยู่แถวนี้) “ดูฟรีจ้า ดูฟรี” แกตะโกน ตามองไปหลังรถทัวร์คันยาว จับจุดอยู่ที่ผนังห้องน้ำสีครีม มือหยิบนิตยสารส่งให้ผู้โดยสารซ้าย-ขวา บางคนรับ-บางคนไม่รับ เราส่ายหน้า เพราะไม่คิดว่าการอ่าน    ก็อดซิปดาราระหว่างนั่งรถโดยสารจะเป็นการฆ่าเวลาที่ดีนัก

หนุ่มใหญ่เดินแจกนิตยสารสุดความยาวของตัวรถ จรดห้องน้ำสีครีม ก่อนจะเดินกุมนิตยสารที่เหลือกลับมา เขาหยุดยืนหน้าผู้โดยสารวัยรุ่น 2 คน ที่รับนิตยสารของเขาไปดู ยื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “20 บาท น้อง”

ผมลอบมองใบหน้าเหวอๆ ของวัยรุ่นทั้ง 2 คน อย่างไม่มีเจตนาทำร้ายพวกเขามากไปกว่านี้ ”เออ เยี่ยม นี่ยังไม่ถึงเวียดนามเลยนะเนี๊ยะ” ผมกระซิบ

รถทัวร์มาถึงมุกดาหาร ตี 5 ครึ่งจนได้ หลังจากที่หยุดแวะเช็คยางระหว่างทางเสียมากกว่า 3 ชั่วโมง ก่อความกังวลให้ผู้โดยสารบางจำนวนซึ่งทำได้เพียงแค่หัวเราะขื่นไปตามสถานการณ์ ขนส่งจังหวัดมุกดาหารใหญ่โตกว้างขวาง ภายในตัวอาคารที่พักผู้โดยสารจะเห็นลูกศรสีเหลืองอันขนาดย่อมชี้ไปยังข้อความว่า “เส้นทางสู่สะหวัน”

สำหรับผู้โดยสารที่ต่อรถไปยังแขวงสะหวันเขตให้ขึ้นสกายแล็ป (คล้ายรถตุ๊กๆ ในกรุงเทพฯแต่คันใหญ่กว่ามีที่นั่งและหลังคาคลุมทางตอนหลัง) ตรงจุดนี้ได้เลย รถจะพาไปส่งยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ในราคา 50 บาท/หัว หากมีสัมภาระต่อรองเหมาจ่ายกันไปตามราคา

สำหรับคนที่จะไปเว้ สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานีขนส่งเหมือนกัน ต้องซื้อตั๋ว 2 ใบ มุกดาหาร-สะหวันเขต ในราคา 45 บาท และ จองตั๋วสะหวันเขต-เว้ ในราคา 99.000 กีบ (ราคานี้เป็นราคาวีไอพี มีประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย)

รถไปเว้จะออกจากแขวงสะหวันเขต เวลา 10.00 น.-18.00 น. รถประจำทางสายนี้มีเพียงเที่ยวเดียว วิ่งทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ พักเว้ 1 คืน แล้วรับคนกลับในวันอังคาร พฤหัส เสาร์ (วันอาทิตย์คาดว่าจะเป็นวันหยุด) หากไปไม่ตรงตามวันเวลาดังกล่าวจะต้องนั่งรถ 2 ต่อ พักที่ด่านลาวบาว 1 คืน ก่อนจะต่อรถเข้าไปเว้ในวันถัดไป เลือกได้ตามความถนัด

เส้นทางหมายเลข 9 (มุกดาหาร-สะหวันเขต-ลาวบาว-เว้) เป็นถนนสายเดียวสำหรับรถประจำทางที่เปิดใช้อยู่ในปัจจุบัน กว่าจะหลุดรอดออกจากแขวงสะหวันเขต เราเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองถี่ยิบ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวลาว ชาวเวียดนามที่ข้ามมาทำงานในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีให้เห็นประปราย ต้องขึ้นลงสแตมป์พาสปอร์ต กรอกเอกสาร จ่ายค่าธรรมเนียมกันเป็นที่สนุกสนาน

ด่านไทย-สะหวันเขต 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านสะหวันเขต-ลาวบาว 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านลาวบาว-เว้ 10.000 ดอง (รับเงินดองหรือดอลลาร์)


คนขับรถวีไอพีสีฟ้าอ่อนเป็นชายวัยกลางคน ผอมผิวคล้ำน้ำตาลออกแดงเป็นคนในแขวงสะหวันเขต สื่อสารกับคนไทยอย่างเราได้เข้าใจ บนรถมีผู้โดยสารชาวไทยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งและคุณลุงกับหลานคู่หนึ่งที่มาเที่ยวแบบแบ็กแพ็กสไตล์เพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ เราทำความรู้จักกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะเพลิดเพลินพินิจทิวทัศน์ระหว่างเส้นทาง

ที่น่าสนใจ คือ บ้านเรือนแทบทุกหลังจะมีธงชาติ(ลาว)ประดับเอาไว้ที่หน้าต่างหรือตามรั้วบ้าน รวมทั้งค่ายกองทัพประชาชน บ่งบอกความรู้สึกถึงความเป็นชาติของคนลาวอย่างลึกซึ้ง เราได้ลิ้มชิมรสอาหารเวียดนามมื้อแรก ระหว่างรถแวะพักเที่ยง ข้าวเม็ดกลมโต อัดอยู่ในถ้วยก้นลึกกับตะเกียบปลายเรียว กับข้าวมีให้เลือกหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นผัก ทั้งผัดกวางตุ้ง แกงเผ็ดเห็ด กับเนื้อหรือหมูและไก่ ในราคา 50 บาท/ข้าวราด 3 อย่าง

แดดจัดจ้านขึ้นตามลำดับเวลา ต่อเมื่อเรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวบาว ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ประเทศเวียดนาม จะมองเห็นประตูโค้งขนาดมหึมา “ลาวบาว อินเตอร์เนชั่นแนล บอร์เดอร์ เกท” ฝนจึงเริ่มโปรยเม็ด

ก่อนจะเข้าด่าน วีไอพีสีฟ้าจะหยุดให้ผู้โดยสารทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน จุดนี้ค่อนข้างเข้มงวดและใช้เวลาตรวจครู่ใหญ่ทีเดียว ระหว่างนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับนักค้าเงิน(รายย่อย)ระดับชาวบ้าน พวกเธอจะรอลูกค้าอยู่ที่ด่าน ระหว่างที่นักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน เธอจะรีบขึ้นมาบนรถเพื่อเสนอแลกเปลี่ยนเงินในอัตรา 1บาท/490 ดอง หากใครแลกเงินมาแล้วเธอจะเสนอขายซิมเวียดนามสำหรับโทรศัพท์เป็นลำดับต่อไป

เรื่องอัตราการแลกเปลี่ยนเงินเป็นอีกเรื่องที่ต้องหาข้อมูลศึกษาให้ดี เราใช้วิธีแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์แล้วนำไปแลกเงินดองซึ่งจะได้ค่าส่วนต่างมากกว่า ช่วงนั้นเงินดอลลาร์อ่อนค่ากว่าเงินบาท ดังนั้น เราจึงสามารถแลกเงินได้ในอัตราเหรียญละ 512 ดอง (อัตรานี้แลกกับธนาคารเวียดนาม) คิดส่วนต่างได้ +704 ดอง อัตรานี้ = 31.4 บาท/1เหรียญ

คนที่นั่นสนใจเงินดอลลาร์มากกว่าเงินบาท เพราะฉะนั้น หากไม่จำเป็นห้ามแลกเงินกับนักค้าเงินรายทางแต่ให้ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารในเมืองใหญ่ก่อนตัดสินใจ

ตามสูตรนี้นะครับ
31.4 บาท / 1$ / 512 Dong (ธนาคาร)
1$ / 15.000 Dong หรือ 1 บาท / 490 Dong (รายทาง)
คิดส่วนต่าง 704 Dong / $
ดังนั้น จากพ็อกเก็ต 30.000 บาท / 2 คน เราได้กำไรจากส่วนต่าง 672.600 ดอง
(ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ในขณะนั้น)


การเข้าถึง ‘ข้อมูล’ จำเป็นสำหรับคนทุกคนครับ!

20080529 1
วีไอพีสีฟ้าจากแขวงสะหวันเขต

20080529 2
ลุงหลานหัวใจหนุ่มครับ

20080529 3
อาหารรสเวียดนาม มื้อแรก

20080529 4
นักค้าเงินรายย่อย

 

20080529 5

20080529 6
ชาวเวียดนามที่มารับจ้างแบกของบริเวณด่านชายแดน

20080529 7
เอ่อ เด็กสาวชาวเวียดคนแรกที่เจอ

20080529 8
รอยยิ้มพิมพ์ใจ ระหว่างทาง เด็กๆ เหมือนกันทุกที่ในโลก เมื่อยกกล้องขึ้น แกจะเขิน

20080529 9
ด่านลาวบาว ใหญ่มะครับ

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เรากลับถึงฮานอยอีกครั้งและเป็นช่วงสุดท้ายของทริปส์แบ็กแพ็กครั้งนี้โดยมีเวลา 2 คืน ก่อนจะเดินทางกลับ หมายความว่า เรามีเวลา 1 วันเต็ม สำหรับการตะลุยฮานอยการเช่ามอเตอร์ไซค์หรือมอเตอร์ไบค์ในฮานอยจัดว่าเป็นความท้าทายของนักขับและได้รับการกล่าวขวัญเอาไว้ในโลนลี่ แพลนเนต ว่า หากคุณไม่มั่นใจ ‘อย่า' ให้พึ่งพาเท้าทั้งสองข้างเพราะการจราจรที่นี่คับคั่งเกินกว่าเพราะตำรวจจราจรที่นี่เอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวยามเช้า เมื่อคนเริ่มพลุกพล่าน ร้านรวงบนจักรยานของแม่ค้าเปิดทำการแต่เช้าตรู่ เรากินอาหารเช้าที่แบมบู โฮเต็ล ก่อนจะตัดสินใจ เช่ามอเตอร์ไบค์ที่โรงแรมนั่นแหละ ด้วยราคา 6 เหรียญ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 เรือแคนนู ความเฟื่องฟูของกิจการการท่องเที่ยวยามเย็น พระอาทิตย์ตกที่ริมขอบผา
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราแกร่วอยู่ในร้านอาหารหน้าสถานีรถไฟเลาไค รอรถเที่ยว 2 ทุ่ม ถึงฮานอยเช้าแล้วต่อรถไปยังอ่าวฮาลอง หมู่เกาะกั๊ตบา ฝนตกกระหน่ำ นักท่องเที่ยวหลายชาติที่จะเดินทางไปฮานอยทยอยกันมาเรื่อยๆ จนแน่นขนัด ร้านใครร้านมันแล้วแต่คอนเนคชั่นของเอเจนซี่ เรานั่งจิบเบียร์ไปเกือบโหล เบียร์ที่เวียดนามมีหลายยี่ห้อ แตกต่างกันไปตามเมือง เบียร์ฮานอย เบียร์เว้ เบียร์(สด)โฮยอาน (อร่อยและราคาสุดคุ้ม ขอบอก) ฝนซาเม็ดและตกกระหน่ำ สลับกันหลายชั่วโมง ชวนให้คิดถึงหนังสงครามเวียดนาม ในแบบฉบับของฮอลลีวูด ทหารอเมริกันที่ถูกส่งมารบที่ตะวันออกไกล นอกจาก ต้องเผชิญกับนักรบกองโจรเวียดกง ไข้มาลาเรีย…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เด็กเจ้าของร้านขายสินค้าที่ทำจากเครื่องเงินแห่งหนึ่งในซาปา ดูจากบุคลิกแล้ว 'คิดว่า' เธอน่าจะเป็นคนจากเมืองอื่นที่ย้ายมาทำมาหากินในซาปา ซึ่งร้านลักษณะนี้มีมากมายเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเราที่มีคนจากแหล่งอื่นเข้ามาลงทุน ในแง่นี้เป็นทั้งกลุ่มทุนรายย่อยและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ได้ยินข่าวมาเร็วๆ นี้ก่อนที่เวียดนามจะประสบภาวะเงินเฟ้ออย่างในปัจจุบันว่า รัฐบาลเวียดนามเปิดให้นักลงทุนต่างชาติทั้งรายย่อย-ใหญ่ เข้ามาลงทุนได้เต็ม 100% ครับ .. ใครทุนหนา รีบๆ เข้าเด้อ!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราใช้สูตรซื้อทัวร์ไปตลาดบั๊กฮาในช้าวันสุดท้ายที่เราอยู่ในซาปา เป็นรถตู้ร่วมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ แล้วรอรถที่สถานีรถไฟเลาไค เพื่อเดินทางกลับฮานอย รถแล่นเรียบเรื่อยไปตามถนน ลัดเลาะภูเขาสูงชัน บางแห่งจะมีการซ่อมสร้างเสริมถนน ผ่านหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน บางแห่งเป็นหมู่บ้านชาวม้งดอกไม้ที่ไกด์คนดีบอกเราว่าให้สังเกตุเอาจากสีสันของลายเสื้อ ฝนโปรยเม็ด ตอนที่เราออกมาจากซาปาทำให้เห็นหมอกหนาขึ้นมาตามชายป่าริมเขาข้างทาง เย็นแต่สวยงามดี ตลาดบั๊กฮาจะต้องผ่านเมืองเลาไค เป็นเขตพรมแดนอีกแห่งของประเทศเวียดนาม ที่ติดต่อกับประเทศจีน…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
  เมาท์เทนวิว เป็นโรงแรมขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งในซาปาที่มีคนไทยนิยมไปพักมากที่สุดอย่างน้อย รีเซฟชั่นโรงแรมอย่างมิงก็เม้าท์ให้ฟังเอาไว้อย่างนั้นเราพบเมาท์เทนวิวในเว็บไซต์แนะนำที่พักจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เขียนบันทึกเรื่องราวของเขาในเวียดนามเอาไว้อย่างน่าสนใจ "เมาท์เทนวิว สวยและสะอาด ข้างหลังเป็นทิวเขาที่สลับซับซ้อนและตรงกับจุดที่พระอาทิตย์ตกพอดี ด้านซ้ายจะเห็นกลุ่มบ้านเรือนกลางใจเมืองซาปา ขวาจะเป็นถนนสีเทายาวเหยียดและกลุ่มนาขั้นบันได ทุกเช้า (หากคุณตื่นเช้า) จะมองเห็นละอองหมอกระเรี่ย"เท่านั้นแหละครับ เมื่อผมกะยาดาไปถึงซาปา เราดิ่งไปเมาท์เทนวิวโดยไม่รอรีเควสซ้ำสอง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถไฟจะออกจากฮานอยไปซาปา สองทุ่มตรง ลงสถานีเลาไคและต่อรถตู้ อีกครึ่งวัน เรายังย่ำต็อกอยู่ในฮานอย รอเวลา จึงหอบผ้าหอบผ่อนไปจองแบมบู เกสเฮ้าส์ เอาไว้สำหรับวันที่จะกลับมา ตามแผน เราจะอยู่ที่ซาปา 2 คืน 3 วัน แล้วกลับมาฮานอย จองทัวร์ไปอ่าวฮาลอง อีก 2 คืน 3 วัน ถึงจะกลับมาพักที่ฮานอย 2 คืน ก่อนจะกลับบ้าน จองห้องที่แบมบู เกสเฮ้าส์ เอาไว้กันเหนียว ฮานอย 18.00 น. ก็เหมือนกับกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเร่งด่วน รถติดและคนกลับบ้าน เราอยากมั่นใจว่าจะไม่ตกรถไฟ จึงติดต่อให้ทางแบมบูจัดหารถแท็กซี่ไปส่ง ที่การันตีว่า ไม่มีชาร์ต จากคำบอกเล่าของเราที่เจอกับรถแท็กซี่ ออน ทัวร์ วนรอบเมืองในเช้าวันเดียวกัน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผ่านไปครึ่งทริปส์ จากกรุงเทพฯถึงเวียดนามภาคกลาง เว้ ดานังและโฮยอาน กับการเดินทางในฐานะแบ็กแพ็คเกอร์ เรากำลังวางแผนขึ้นเหนือ ฮานอย ซาปา และหมู่เกาะกั๊ตบาในอ่าวฮาลอง ก่อนจะจบทริปส์แล้วบินกลับเมืองไทย จากสนามบินนอยไบ ในฮานอย ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราปั่นจักรยานไปเจอสตีฟที่ เดอ สลีฟปี้ เกกโก    ยามเช้าในโฮยอาน เหมือนกับยามเช้าในเว้ของเวียดนามวุ่นวายด้วยเสียงบีบแตรและการค้าจากโรงแรมถึงตลาดปลาและร้านขายรองเท้า ร้านขายรูปวาดและร้านขายหมวก รวมถึง เสื้อยืดที่มีดวงดาวสีเหลืองตรงหน้าอก มีให้ได้ซื้อหาเป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยวสตีฟเป็นชาวอังกฤษ จากยอร์กเชียร์ เขาออกจากบ้านเกิดมาตั้งแต่วัย 24 ปีและอยู่ในเวียดนามเข้าปีที่ 40 เปิดเกกโก บาร์พร้อมกับเป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวทัวร์โฮยอานนอกจาก บ้านหลังเก่าในโอลด์ ทาวน์ และบรรยากาศล่องเรือชมแม่น้ำเขาแนะนำว่า ชนบทโฮยอานไม่อะไรให้ดูมาก
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
สถานีรถไฟดานังติดแอร์คอนดิชันเย็นฉ่ำแดดร้อน ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจพร้อมท่าเรือขนาดใหญ่ ยาดาเดินแหวกผู้คนออกมาทางตามชานชาลา ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่หยุดพักผ่อน ประตูใหญ่จากชานชาลาปิด เราแทรกตัวออกมาตามบานพับของประตูเหล็กชนิดยืดได้หดได้บริเวณก่าดานังเต็มไปด้วยรถแท็กซี่และมอเตอร์ไบค์(รับจ้าง) แท็กซี่มิเตอร์ที่เวียดนามมี 2 แบบ คือ แท็กซี่ของรัฐและแท็กซี่อิสระ สังเกตุได้จากสภาพรถและบุคลิกภาพของคนขับรถ ทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราออกมา (อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มไปไหนอย่างไรดี) แท็กซี่กลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามาสอบถามและเสนอราคาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราจับรถไฟเช้าจากสถานีรถไฟเว้ (ก่าเว้) ไปยังเมืองดานังเพื่อโดยสารรถไปยังเมืองโฮยอานอีกต่อ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้เพราะสามารถเดินทางจากเว้ตรงไปโฮยอานได้โดยรถทัวร์ เพียงแต่ว่า ข้อมูลจากโลนลี่ พลาเน็ต บอกเอาไว้ว่าเส้นทางรถไฟสายเว้-ดานัง เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเราจึงตัดสินใจลองของ!ยามเช้า คนเริ่มพลุกพล่าน ผมกับยาดาเรียกแต็กซี่(ตามสำนวนคนเวียด)ไปก่าเว้ก่าเว้ เป็นอาคารรูปทรงโคโลเนี่ยล ทาด้วยสีส้ม-เหลือง ผู้คนคึกคัก อุ้มลูกจูงหลานเดินทางไปทำธุระพบปะญาติมิตร นักท่องเที่ยวบางคนจับกลุ่มยืนสูบบุหรี่อยู่มุมหนึ่ง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ทันทีที่ออกจากด่านลาวบาว รถทัวร์ปุเรงมาบนถนนหมายเลข1 นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งรถเพื่อเข้าไปยังมหานครเว้อีกราวๆ 160 กิโลเมตร (หลังจากที่ตื่นๆ หลับๆ มาแล้วราว 250 กม. บนทางหลวงหมายเลข9) รวมระยะทางจากมุกดาหาร-เว้ ประมาณ 410 กิโลเมตรนักท่องเที่ยวบางคนพักที่ด่าน ซึ่งมีเกสต์เฮาส์เล็กๆ สบายๆ และเป็นที่ขึ้นชื่อว่า ตลาดเช้าลาวบาวช่างน่ารักน่าชังนักเรื่องของเรื่อง คือ เราควรจะถึงเว้ไม่เกิน 18.00 น. ตามเวลาในตั๋วระหว่างเส้นทางจะต้องผ่านเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองเคเซนและเมืองดองฮา ทั้ง 2 เมือง คือ จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองดองฮาหรือเรียกชื่อย่อว่า DMZ นั้น…