Skip to main content
 
 
 
 
สิ้นสุดการสืบพยานทุกปากไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2556 สำหรับคดีนายยุทธภูมิ ที่ถูกพี่ชายตัวเองกล่าวหาดำเนินคดีตามมาตรา112 จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะห่างไกลจากความผิดอันกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
 
เหตุการณ์ของคดีนี้ เป็นอีกฉากหนึ่งที่ควรจดจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อเล่าขานกันต่อสำหรับคนที่สนใจการทำงานเพื่อสร้างบรรยากาศความกลัวของกฎหมายหนึ่งมาตราที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดของยุคสมัย การที่พี่ชายนำถ้อยคำที่น้องชายพูดพูดกันขณะดูทีวีในบ้านสองคน และข้อความบนแผ่นซีดีที่อ้างว่าเป็นน้องชายเขียนแล้ววางไว้เฉยๆ มากล่าวหาน้องชายว่าหมิ่นฯ ในหลวง อันเป็นเรื่องภายในบ้านที่ไม่มีคนอื่นได้รับรู้รับเห็น แต่กลับมีโทษจำคุก 3-15 ปี พร้อมโทษทัณฑ์ทางสังคมอีกนับไม่ถ้วน
 
คดีนี้ตอกย้ำความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมอีกขั้น เมื่อนายยุทธภูมิไม่ได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มานานเกือบหนึ่งปีแล้ว
 
20 ส.ค.56 ตัวพี่ชายขึ้นเบิกความ ตอบคำถามอัยการอย่างฉะฉาน นอกจากกล่าวหาน้องชายว่าพูดคำหยาบคายขณะที่ในทีวีมีภาพในหลวง และเขียนข้อความหยาบคายลงบนแผ่นซีดีใต้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" แล้ว พี่ชายยังยอมรับว่า ไม่ถูกกับน้องชายมานานแล้ว เคยทำการค้าขายด้วยกันแต่ทะเลาะกันรุนแรงจนต้องย้ายออกจากบ้านถึงสองครั้ง เพราะน้องชายชอบกินเหล้าเมา ชวนทะเลาะวิวาท และเคยมีเรื่องกันจนน้องชายไปแจ้งตำรวจ ด้านพี่ชายเป็นเสื้อเหลืองส่วนน้องชายเป็นเสื้อแดง เห็นว่าน้องชายเป็นคนไม่ดีไม่สำนึกในความผิดที่ทำไม่ดีกับตนจึงนำเรื่องดูหมิ่นในหลวงมาแจ้งตำรวจ ปัจจุบันแยกกันอยู่และไม่พูดคุยกัน
 
ศาลสรุปใจความได้ว่าผู้กล่าวหากับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน 
 
เรื่องราวแบบนี้ฟังผิวเผินศาลควรจะยกฟ้องทันที แต่ความยากอยู่ตรงที่ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ของตำรวจให้ความเห็นยืนยันว่า ลายมือบนแผ่นซีดีที่พี่ชายนำมาเหมือนกับลายมือของจำเลย นั่นเป็นปมที่ยังแก้ไม่ออก ขณะที่จำเลยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เคยพูด และไม่ได้เขียนข้อความตามฟ้อง แต่ถูกใส่ร้ายเพราะทะเลาะกันในเรื่องอื่น ด้านภรรยาจำเลย เพื่อนบ้าน และแม่ก็เบิกความตรงกัน เชื่อว่าพี่ชายกล่าวหาใส่ร้าย ส่วนจำเลยจงรักภักดีมาตลอด
 
ปมข้อกฎหมายอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในคดีนี้ คือ ต่อให้จำเลยกระทำตามที่พี่ชายกล่าวหาจริง ลำพังเพียงการสบถขณะดูโทรทัศน์ โดยมีพี่ชายอยู่บริเวณนั้น กับการเขียนข้อความลงบนซีดีแล้ววางไว้เฉยๆ ไม่ได้เอาให้ใครดู เมื่อไม่มีผู้รับสารโดยตรงจะถือเป็นการ "ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย" ได้หรือไม่ และการกระทำของจำเลยภายในบ้านของตัวเอง ร้ายแรงขนาดกระทบต่อ "ความมั่นคงของรัฐ" อันเป็นวัตถุประสงค์ที่กฎหมายอาญามาตรา 112 มุ่งคุ้มครองหรือไม่
 
หากการกระทำตามฟ้องคดีนี้เพียงพอที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 อันมีโทษจำคุก 3-15 ปีแล้ว คดีนี้คงส่งผลสะเทือนต่อบรรยากาศการถกเถียงพูดคุยกันอย่างสันติในสังคมไทย ผลักให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรี่องอ่อนไหวที่ไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยถึงกับคนในครอบครัวได้ และปิดประตูให้สถาบันพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยถูกขังอยู่ในห้องลับเบื้องหลังความหวาดกลัวของประชาชน
 
หากศาลไม่เชื่อคำกล่าวหาของพี่ชายเพราะมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ระยะเวลาในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกือบหนึ่งปีคงเป็นบทเรียนชีวิตราคาแพงของยุทธภูมิและครอบครัว และเป็นกรณีศึกษาที่ไม่ควรมองข้ามไปในระบบยุติธรรมทางอาญาของไทย หากศาลเชื่อคำกล่าวหาของพี่ชายและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แนวทางการตีความบังคับใช้กฎหมายของศาลในคดีนี้คงจะเป็นที่โจษจันกันไปอีกหลายระยะเวลา
 
หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ยุทธภูมิและครอบครัวมีความหวังเพิ่มขึ้นเล็กๆ จากการยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 7 ด้วยหลักทรัพย์จากกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่ยังทำหน้าที่อยู่ข้างประชาชน ก่อนที่จะเดินกลับไปห้องขังอีกครั้งเพื่อการรอคอยและพบกับความผิดหวังครั้งที่ 7 ในอีกหนึ่งวันให้หลัง
 
"13 กันยายน นัดฟังคำพิพากษา"

 

 

 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง