Skip to main content
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก
 
ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร
 
ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ"
 
ผมไปเจอลุงเข้าวันหนึ่งโดยบังเอิญ ลุงบอกว่า ไม่มีทางมาฟังคำพิพากษาหรอก จะหนีแล้ว ไปอยู่ลาวก็ได้
 
ผมเข้าใจนะ 
 
ผมเจอลุงอีกครั้งในการประชุมเพื่อจัดแคมเปญรณรงค์ ลุงพูดมากเสียงดัง ทำให้การประชุมยาก แต่ลุงตั้งใจมาก วันนั้นลุงลากลับก่อน คนอื่นเลยประชุมต่อได้
 
ผมเจอลุงอีกครั้งในงานเสวนาที่มธ. ลุงเอาคำพิพากษาคดีตัวเองมาขาย ผมซื้อไว้ ราคา 20 บาท
 
ผมจำได้ว่าลุงพยายามโม้เรื่องคดี ชีวิต และโลกมันโหดร้ายยังไง ผมบอกลุงว่าผมรู้แล้ว 
 
ผมเจอลุงอีกครั้งในงานเสวนาที่โรงแรม ลุงลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นในงาน เอะอะมะเทิ่ง แต่ไม่ได้ทำร้ายใคร
 
ผมเห็นลุงอีกบางครั้งตามกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ 112 แต่ไม่ได้คุยกัน
 
ผมได้ยินเรื่องราวของลุงหนาหูขึ้นตอนที่มีกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 
 
ผมเอาแฟ้มหนาบรรจุเอกสารคดีของลุง โยนให้นศ.ฝึกงานไปสรุปรายละเอียดขึ้นเว็บไซต์ ผมรู้เรื่องของลุงมากขึ้นตอนตรวจงานน้อง ผมเพิ่งรู้ว่าลุงไปทำอะไรมา (แต่ผมพูดไม่ได้)
 
ผมคิดว่าสิ่งที่ลุงพูดออกไปเป็นแค่สิ่งเล็กๆ ที่หลายคนคิด มีเหตุผล แต่ไม่มีใครกล้า หรือไม่มีใครบ้าพูด
 
ผมคิดว่าสิ่งที่ลุงพูดออกไปไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย หรือไม่ได้ทำให้ใครรักในหลวงน้อยลง
 
ผมรู้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าลุงเป็นโรคจิต แต่ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าลุงเป็นโรคจิตเลยสั่งจำคุก ในยุคนั้นถือว่าลุงเป็นคนส่วนน้อยที่ได้ประกันตัว
 
ผมเอาแฟ้มหนาโยนให้รุ่นน้องอีกครั้ง เพราะทำครั้งแรกแล้วยังไม่เสร็จ ข้อมูลมันเยอะจริงๆ
 
ผมไปฟังคำพิพากษาครั้งแรกด้วย แต่ลุงไม่ไป อ้างว่าป่วย เดินไม่ได้ ศาลเลยเลื่อน
 
ผมไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาครั้งที่สอง ซึ่งลุงก็ไม่ไปอีก ศาลเลยเลื่อน
 
ผมเจอลุงในกิจกรรมทางการเมืองอีกครั้ง เดินปร๋อซ่าเหมือนเดิม ยกมือขอพูดอย่าองอาจ ชัดเจน และฉะฉาน อย่างที่หาไม่ได้ง่ายนัก
 
ผมเป็นพิธีกรงานวันนั้น ลุงพูดจาสุ่มเสี่ยงอีกแล้ว แต่ผมตัดสินใจปล่อยลุงพูดไป ภายใต้กติกาว่ารับผิดชอบตัวเอง
 
ผมเจอลุงโดยบังเอิญอีกครั้ง ลุงบอกว่าศาลนัดครั้งที่สามต้องไปแล้ว เพราะเกรงใจนายประกัน ไม่รู้จะไปหาเงิน 300,000 จากไหนมาใช้คืน
 
ผมฝัน ในคืนก่อนศาลอ่านคำพิพากษา
 
ผมฝันว่าผู้พิพากษาออกมาร้องเพลง และไม่ได้ตัดสินให้ลงโทษลุง ผมตื่นมาแล้วหวังว่าฝันจะเป็นจริง
 
ผมไปถึงศาลช้ามาก ลุงยังยืนยิ้มหราอยู่หน้าห้อง ขี้โม้เหมือนเดิม ใส่เสื้อนิติราษฎร์ ประกาศว่าพร้อมตายในคุกแล้ว เตรียมตัวแล้ว
 
ผมได้ยินลุงบอกว่า กายไม่พร้อมเพราะไตไม่มี แต่ใจพร้อมมาก
 
ผมคิดในใจว่า ไอ้บ้า! ขอให้คิดได้อย่างนี้ตลอดเถอะ 
 
ผมหัวเราะหึหึในใจ แต่ก็เศร้าสลดใจ เพราะไม่แน่ใจว่าลุงจะต้องไปตายในคุกจริงหรือเปล่า
 
ผมเห็นลุงยืนขึ้นตอบศาลเสียงดังฟังชัด ได้ยินลุงบอกศาลว่า ไม่ได้เป็นโรคจิต และขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ เพราะลุงยังไม่เคยได้เบิกความว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นไม่หมิ่นยังไง
 
ผมเห็นความพยายามของลุงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะต้องแหงนหน้ารับฟังชะตากรรม
 
ผมได้ยิน ศาลอ่านอย่างรวบรัด ผมได้ยินศาลอ้างคำแพทย์ที่เชื่อว่าลุงป่วยเป็นโรคจิต ผมได้ยินคำว่าไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ แล้วฉับพลันทันใดน้ำตาก็ไหล ข้างละหยด แหมะลงมาให้กับเรื่องราวของคนที่แทบจะไม่รู้จักกัน
 
ผมเห็นลุงยิ้มร่าหน้าห้องพิจารณา ได้ยินลุงบอกว่าในชีวิตไม่เคยมีคนมาขอถ่ายรูปจับมือแบบนี้มาก่อน
 
ผมไม่ใช่จิตแพทย์ จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วลุงบ้าหรือไม่บ้า แต่ผมคิดว่าลุงกล้าหาญมาก ที่บุกตะลุยทำทุกอย่างไปตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ในขณะที่คนไม่บ้านั้นล้วนหวาดกลัว
 
หวังว่าเราจะไม่ต้องเจอกันในศาลอีกครับ ลุงบัณฑิต 
 
 
                                      
 
 
 
 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง