Skip to main content

 

 

พรุ่งนี้ #ลงประชามติ เชื่อว่าเกือบทุกคนคงตัดสินใจไว้แล้วนะครับ แต่ก็ยังอยากเขียนมาคุยด้วย โดยเฉพาะอยากคุยกับเพื่อนๆ บนเฟซบุ๊กที่ปกติไม่ได้สนใจติดตามการเมืองใกล้ชิด ไม่ได้ปักใจชอบหรือไม่ชอบใครมาก่อนมากนัก
 
หากคนที่รู้จักผมมาบ้าง ก็จะรู้ว่าผมเองก็โตมากับการชุมนุมไล่ทักษิณ ตอนปี 48-49 และเป็นมวลชนเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในปี 56 ผมไม่เคยกากบาทให้พรรคของทักษิณเลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าจะพรรคชื่ออะไร ที่สำคัญ คือ จริงๆ ผมไม่เคยชอบให้ตัวเองไปยุ่งเกี่ยว ไปวิเคราะห์ หรือไปอินกับเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองมากนัก มันเหนื่อย ชอบทำกิจกรรมอะไรน่ารักๆ มากกว่า แต่ชีวิตก็พัดพามาจนถึงวันนี้ที่ต้องมาศึกษาเรื่องพวกนี้เป็นอาชีพหลักจนได้
 
เชื่อว่า คงมีหลายคน ตั้งใจจะไปโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่าศึกษาแล้ว ช่างน้ำหนักแล้ว ร่างนี้มันดีจริงๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังไม่เคยได้ยินเสียงคนเหล่านั้นเลย ถ้ามีอยู่จริงก็ลองแสดงตัวแลกเปลี่ยนกันได้
 
แต่ที่สังเกตเห็นหลายคน จะไปโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ ก็เพราะ 1. เชื่อมั่นในรัฐบาลประยุทธ์ ว่ายังไงก็ดีกว่านักการเมืองหน้าเดิม 2. ต้องการต่อสู้ให้ถึงที่สุดกับนักการเมืองเพื่อไทย (หรือทักษิณ) หรือที่เรียกว่า ต้องการจะ "ปราบโกง" นักการเมือง 
 
แน่นอนว่า ทุกคนมีสิทธิเลือกและช่างน้ำหนักเอง แต่ก็ยังอยากคุยด้วยสั้นๆ ว่า ผมขอช่างน้ำหนักในกรณีนี้ต่างไป ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านได้เราก็ต้องหวังให้มันอยู่ยาว การคิดจะสู้กับศัตรูบางกลุ่มด้วยรัฐธรรมนูญ สำหรับผมเป็นการใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสมเหมือนกับการเผาบ้านเพื่อไล่หนูเพราะมันจะไปกระทบเรื่องอื่นๆ ด้วย เป็นการคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างแท้จริง ไม่ได้สร้างระบบที่สังคมจะอยู่ร่วมกันได้กับคนที่รักทักษิณจริงๆ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากและยังไงก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ ผมจึงให้น้ำหนักกับแนวคิดแบบนี้น้อย
 
สำหรับกลุ่มคนที่ NO Vote หรือจะไม่ไปออกเสียงเลย เพราะเห็นว่ากระบวนการจนมาถึงการออกเสียงครั้งนี้มีปัญหาตั้งแต่ต้น และมีปัญหาทุกขั้นตอน ในมุมผมก็ขอบอกว่า หลักการของกลุ่มนี้ถูกต้อง ไม่มีอะไรที่ต้องโต้แย้งด้วย เพราะไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร ประชามตินี้ก็จะเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของ คสช. เท่านั้น เพียงแต่นาทีนี้ทุกคนต้องเลือก "ช่างน้ำหนัก" ระหว่างทฤษฎี กับทางปฏิบัติ คนที่เห็นค่าของการยึดมั่นในทฤษฎีก็ย่อมยืนยันต่อไป ผมเองเลือกมาใช้ชีวิต NGO ทำงานนั่นนี่ ไม่ชอบเป็นนักวิชาการ หรือนักกิจกรรมเคลื่อนไหว เพราะชอบทำงานภาคปฎิบัติมากกว่าภาคทฤษฎีเป็นนิสัย วันนี้จึงช่างน้ำหนักแล้วขอเลือกเดินไปเข้าคูหาพรุ่งนี้ครับ
 
______________
 
เหตุผลว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ดีอย่างไร แบบเป็นหลักวิชาการ ทีมงานได้ช่วยกันระดมสมองกลั่นเอาเฉพาะส่วนยอดออกมาได้ยาวสามหน้าแล้ว เลยจะไม่เขียนซ้ำ ลองดูได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4227
 
สิ่งที่จะเขียนหลังจากนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมที่จะ Vote NO ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนอะไรแบบนี้ไว้ แต่เป็นการ "มโน" ต่อเติมขึ้นมาเองของผม ใครที่ประเมินเป็นอย่างอื่นแล้วไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่นี้ไม่ใช่การ #บิดเบือน เพราะไม่ได้กำลังพูดถึงเนื้อหาของร่างฯ เป็นจินตนาการของผมเอง ทั้งนั้น โปรดพิจารณาดู
 
1
หากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ คงได้เลือกตั้งกันปลายปี 60 หรืออาจจะถูกข้ออ้างต่างๆ ขยับเป็นต้นปี 61 ระหว่างนี้ มีชัยและคณะจะเขียนกฎหมายลูก 10 ฉบับ ไปในทิศทางที่เขาอยากไป ซึ่งเราไม่มีสิทธิโหวตแล้ว คสช. จะเขียนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเราไม่มีสิทธิให้ความเห็นชอบแล้ว มาตรา 44 และประกาศคำสั่ง คสช. จะมีอยู่ต่อไป ระหว่างนี้ คสช. ทำอะไรก็จะไม่มีทางผิดไปตลอด จนกว่าเขาจะไป
 
2
เมื่อได้เลือกตั้ง คนที่เคยเลือกเพื่อไทยก็ยังจะเลือกเพื่อไทยอยู่ ผมอาจจะยังไม่เลือก ส่วนคนที่อาจจะเคยชอบเพื่อไทยนิดหน่อยก็มีแนวโน้มจะเทไปเลือกเพื่อไทยมากขึ้น เพราะผลงานทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของคสช. และการปราบปรามคนเห็นต่างอย่างไม่ชอบธรรม การบีบให้คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อของความขัดแย้งที่น่าเห็นใจ และพรรคประชาธิปัตย์เองก็แตกเละเทะมาตั้งแต่กปปส. จนยกนี้ ไม่มีจุดขายอะไรให้คนเลือกแล้ว แถมสมาชิก 111 คนที่เคยโดนแบน เช่น จาตุรนต์ สุดารัตน์ พวกนี้ก็จะกลับมาลงเลือกตั้งได้แล้ว คนจะเลือกเพื่อไทยเยอะขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
 
3
แต่เนื่องจากระบบเลือกตั้งที่วางไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ แบบที่ไม่มีที่ไหนในโลก หากเพื่อไทยได้ส.ส.เขตเกิน 150 คน จาก 350 เขต แล้ว (ซึ่งจะได้แน่ๆ) เพื่อไทยจะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์เลย ถ้าพรรคเนวิน ชาติไทย ประชาธิปัตย์ ชูวิทย์ พลังชล ฯลฯ รวมกันได้ส.ส. 101 คน (ซึ่งก็น่าจะได้แน่ๆ ) เพื่อไทยก็จะได้ ส.ส.อย่างมากที่สุด 249 คน ซึ่งเป็นส.ส.เขตทั้งหมด ปาร์ตี้ลิสต์จะไม่ได้เลย พรรคอื่นๆ จะแชร์ปาร์ตี้ลิสต์กันไปจนมีพรรคกลางๆ หลายพรรค แต่เพื่อไทยก็ยังน่าจะเป็นพรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดอยู่ดี
 
4
ขณะที่เราก็จะมี ส.ว. 250 คนมาจากการแต่งตั้งของ คสช. ทั้งหมด ซึ่งรวมที่นั่งแล้ว ส.ว. มีมากกว่า ส.ส. เพื่อไทย
 
ถ้าคำถามพ่วงผ่านประชามติด้วย ส.ว. จะมีสิทธิเลือกนายกฯ ด้วย ส.ว. ของคสช. จะเป็นเสียงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดในสภา ที่จะโหวตเลือกนายกฯ และ ส.ว. จะไม่เลือกคนจากเพื่อไทยเป็นนายกฯ ทั้งที่พรรคนี้ได้ที่นั่งส.ส.มากที่สุด  
 
6
คนที่โหวตเลือกเพื่อไทยมาก็จะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก และกระแสการต่อต้านนายกฯ ที่ส.ว. เลือกมา ก็จะแรงขึ้นมากๆ การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อสนับสนุนให้เพื่อไทยได้เป็นนายกจะรุนแรงมาก และจะได้รับความชอบธรรมมากขึ้น คนที่ความคิดเห็นกลางๆ มีเหตุมีผลจะเข้าร่วมมากขึ้น ผมก็จะเข้าร่วมด้วย แต่หากเห็นว่าแกนนำบนเวทีทำตัวบางอย่างที่ไม่ดี ผมก็อาจเข้าร่วมเวทีย่อยหรือร่วมจัดเวทีย่อยคู่ขนาน แต่เป้าหมายเดียวกัน
 
7
เมื่อมีวิกฤติ คนเห็นต่างกันในการเลือกนายกฯ ด้วยการตัดสินใจร่วมกันของส.ส.และส.ว. ก็ "อาจจะ" อัญเชิญคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่ง อ่า... จะเป็นใครนะ คนที่เคยเป็นนายกแล้วบ้านเมืองไม่มีการประท้วงได้ จะมีใครบ้างนะ??
 
8
มโนต่อว่า ปัญหายังไม่จบแค่นั้น กลไกที่เรียกกันว่า "ปราบโกง" ก็จะทำงาน ส.ว. จะเข้าชื่อกันยื่นให้ศาลวินิจฉัยว่านักการเมืองเพื่อไทยหลายคนขาดคุณสมบัติ องค์กรอิสระที่แต่งตั้งมาจากที่เดียวกันก็จะพร้อมใจทำงานอย่างแข็งขันส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ลักษณะคล้ายกับตอนที่บอกว่า การเป็นพิธีกรของสมัครทีวีถือเป็น "ลูกจ้าง" กลไก "ยุทธศาสตร์ชาติ" และ "มาตรฐานจริยธรรม" ซึ่งวันนี้เรายังไม่เห็นหน้าตาเลย ก็จะทำงานเพื่อเอาคนจากเพื่อไทยออกจากสภาทีละคนๆ ซึ่งกลไกเหล่านี้มาจากรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านประชามติมาโดยการปิดกั้นสารพัด พรรคเพื่อไทยและสาวกก็เลยจะมีความชอบธรรมมากขึ้นอีกที่จะไม่ยอมรับผลจากกลไกเหล่านี้
 
เมื่อต่อสู้ในสภาไม่ได้ และถูกกลไกต่างๆ ขัดขวาง เพื่อไทยและคนเสื้อแดงก็จะลงถนนมากขึ้น ด้วยเหตุผลสนับสนุนมากมายที่เกิดจากรัฐธรรมนูญไม่ชอบธรรม ส่งผลให้การต่อสู้บนท้องถนนได้รับความชอบธรรมมากขึ้น ทั้งจากผู้เฝ้าดูที่ยังไม่เลือกข้างในสังคม และต่างชาติ เสื้อแดงบนถนนจะมีฐานะเป็นนักต่อสู้เพื่อหลักการประชาธิปไตยที่กำลังถูกรังแกมากขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งปัจจุบันฐานะนั้นก็มีอยู่แล้ว) แต่เนื่องจากในสภากลไกได้ออกแบบให้ คสช. สามารถกุมอำนาจได้โดยเบ็ดเสร็จแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรที่ คสช. จะยอมแพ้ให้กับการชุมนุมบนถนน 
 
10 
เนื่องจากรัฐธรรมนูญบอกด้วยว่า ให้ประกาศ คสช. ที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง ให้ทหารมีอำนาจจับกุม สอบสวนคดีการเมือง ให้ศาลทหารตัดสินคดีการเมือง ฯลฯ เหล่านี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ทหารก็จะเข้ามามีบทบาทปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างหนักต่อไป
 
11
จะเกิดความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
 
 
เขียนเองหดหู่เอง.... ผม Vote No นะครับ
 
ถ้า No ชนะ เรายังมีโอกาสบ้างที่จะได้โอกาสร่างรัฐธรรมนูญที่ดีกว่านี้ ได้อนาคตที่ดีกว่านี้ หรืออาจจะไม่ได้ก็ได้ แต่พอมโนเห็นภาพที่เขียนมาข้างบนแล้ว ในฐานะที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ ถ้าจะไม่ลงมือทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้มันมีโอกาสเกิดขึ้น คงทำใจไม่ได้ ยังไงต้องไม่รับไว้ก่อน ถ้าหยุดร่างนี้ได้แล้วค่อยมาเหนื่อยกันยกใหม่อีกหลายยกว่าจะเอาอะไรมาแทน
 
ด้วยความหวังว่าวันที่ดีกว่ายังมีอยู่ข้างหน้า
 
 
 
 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง