Skip to main content
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช. ก็มีแชทเข้ามาถามหาคนว่างไปช่วยติดตามคนที่ถูกตั้งข้อหา 112 คนใหม่ ซึ่งกำลังถูกสอบสวนอยู่ และต้องการทนายความไปช่วยเหลือคดี
 
ข้อความถูกทิ้งไว้สองชั่วโมงไม่มีใครตอบ ผมเลยลองโทรกลับไปยังต้นทางที่แชททิ้งไว้ 
 
“คฑาวุธ นี่เขาไปทำอะไรมา?” ผมถาม 
 
“คฑาวุธที่จัดรายการ คธาวุธ นายแน่มาก ไง ไม่รู้จักเหรอ? ลองหาดูก็รู้”
 
“ไม่รู้จักครับ ปกติไม่เคยติดตามอะไรแบบนี้เลย” 
 
“เออๆ ไปลอง search ดูแล้วกัน” 
 
ได้เรื่องมาคร่าวๆ แต่งตัวชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสล็กสำหรับเนียนเป็นทนายความ เปิดกูเกิ้ลค้นหา “คฑาวุธ นายแน่มาก” ผลลัพธ์ขึ้นมาเป็นร้อย เป็นคลิปยูทูปเสียส่วนมาก เปิดฟังประมาณสองนาที เป็นรายการเสียง ไม่มีภาพ เสียงคนจัดรายการวิเคราะห์การเมืองนิ่งมาก น้ำเสียงสุขุมและเยือกเย็น ไม่ใช่รายการประเภทเอะอะโวยวาย ปลุกระดม ด่าหยาบคาย
 
ฟังได้นิดเดียวก็รีบโทรไปประสานงานก่อน ปลายสายได้คุยกับเจ้าตัวประมาณสองนาที เสียงของชายมีอายุ ที่สงบนิ่งทั้งที่กำลังจะโดนคดีร้ายแรง ผมอธิบายขั้นตอนว่าวันนี้ต้องเจออะไรบ้าง ผมถามว่ารับสารภาพไปหรือยัง เขาตอบว่ารับสารภาพไปแล้วว่าเป็นเจ้าของเสียงในรายการ แต่ไม่ได้พูดหมิ่นฯ ผมบอกให้เตรียมเงินประกันไปเจอกันที่ศาลอาญา เขาตอบอย่างเรียบเฉย “ครับๆ” 
 
วางสายแล้ววิ่งออกจากบ้าน กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปศาลอาญา
 
ที่นั่นพบหญิงนางหนึ่งเป็นคนช่วยประสานงาน เราเจอกันครั้งแรกในบรรยากาศไม่เป็นมิตรนัก เธอวุ่นวายง่วนกับการหาเงินมาประกันตัว โดยมีความเครียดหนักรุมเร้าเข้ามา โทรตามเพื่อนมา 2-3 คนบังคับให้เพื่อนไปกดเงินเท่าที่มีอยู่ จนก่อนสี่โมงเย็นไม่กี่นาทีรวมมาได้ 200,000 บาทยื่นประกันตัวสู้คดี 
 
เกือบหกโมงเย็น ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจาก ข้อหาที่ถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง การกระทำกระทบต่อจิตใจประชาชนจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งเป็นการดำเนินการผ่านเว็บไซต์โดยมีกลุ่มดำเนินการอยู่ที่สปป.ลาว ซึ่งผู้ต้องหามีธุรกิจก่อสร้างอยู่ ดังนั้นหากปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจหลบหนีออกนอกประเทศ ยากแก่การติดตามตัว
 
ผมเดินลงไปห้องขังใต้ถุนศาลอาญาพร้อมกับข่าวร้าย ได้พบหน้าเจ้าของเสียงอันเยือกเย็นเป็นครั้งแรกในยามที่ยากจะเอ่ยคำทักทายใดๆ เขาเป็นชายร่างเล็ก ใส่แว่น ผมสั้นสีเทาๆ บุคลิกเรียบร้อยและเคร่งขรึม แต่ส่งยิ้มกว้างฝ่าลูกกรงสองชั้นกลับออกมายังทนายน้อยฝึกหัดที่ไม่บ่อยนักจะประกันตัวผู้คนได้สำเร็จ
 
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น คฑาวุธ ถูกโกยขึ้นรถตรงไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พี่สาวคนนั้นร้องไห้ ผมพยายามอธิบายขั้นตอนและวิธีการเข้าเยี่ยมที่เรือนจำ เธอดูไม่ได้รับฟังเท่าไรนัก เพราะในใจคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าจะยื่นประกันตัวใหม่ด้วยเงินจากไหนดี
 
ไม่กี่วันต่อมาพี่สาวคนเดิมโทร.มาขอให้ช่วยประกันตัวอีก ผมไปตีเยี่ยมคุณคฑาวุธที่เรือนจำ เราคุยกันผ่านเครื่องโทรศัพท์โดยมีลูกกรงและแผ่นพลาสติกหนากั้นกลางอยู่ คุณคฑาวุธเรียนจบกฎหมายและเคยเป็นทนายความ เขาเข้าใจดีว่าในสถานการณ์การเมืองที่ไม่ปกติและข้อหาที่หนักหน่วงทำให้โอกาสประกันตัวมีน้อยมาก แต่อยากทำให้สำเร็จ หลังคุยข้อมูลครบถ้วน เตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ยื่นครั้งที่สองหลักทรัพย์สามแสนบาท ไม่ได้เหมือนเดิม
 
พี่สาวคนเดิมยังคงโทร.หาผมอยู่ เขียนคำร้องประกอบการขอประกันตัวขึ้นใหม่ ไปเยี่ยมผ่านลูกกรงและแผ่นพลาสติก ยื่นครั้งที่สาม หลักทรัพย์สี่แสนบาท ไม่ได้เหมือนเดิม
 
พี่สาวคนเดิมยังคงโทร.หาผมอยู่ เขียนคำร้องประกอบการขอประกันตัวขึ้นใหม่ ไปเยี่ยมผ่านลูกกรงและแผ่นพลาสติก ยื่นครั้งที่สี่ หลักทรัพย์ห้าแสนบาท ไม่ได้เหมือนเดิม
 
คนยื่นประกันมีน้ำตาและความผิดหวังให้เห็นอยู่บ้าง ผมทำเป็นให้กำลังใจกันไปว่าให้พยายามเข้มแข็งและสู้ต่อทั้งที่มองไม่เห็นหนทางเหมือนกัน คนอยู่หลังลูกกรงเองอยากสู้คดี แต่ก็ยังไม่เห็นคำฟ้องเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองถูกฟ้องว่าอะไร และจะสู้อย่างไร พ่อเพิ่งเสียก่อนไปรายงานตัวกับคสช. แม่ป่วยยังไม่เคยได้ไปหาแม่ นาทีนี้ก็ทำได้แค่ให้กำลังใจให้เข้มแข็งและสู้ต่อไป
 
ผมไปเยี่ยมที่เรือนจำอีกหลายครั้ง เสนอแนะแนวทางการต่อสู้ให้หลายอย่างแต่เจ้าตัวปฏิเสธ เพราะอยากรอดูคำฟ้องก่อน กลัวว่าถ้าต่อสู้อะไรไปตอนนี้จะโดนข้อหาหมั่นไส้ทำให้ถูกฟ้องหนักขึ้นได้ ระหว่างนอนคิดหาแนวทางก็ต้องนอนคิดอยู่ข้างใน คิดแทบตายก็ทำอะไรไม่ได้ 
 
ช่วงเวลานั้นมีผู้ต้องขังด้วยข้อหาเดียวกันเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ หลายคนก็สับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ช่วงที่นักโทษการเมืองทุกคนถูกขังไว้ที่แดน 1 ด้วยกัน คนอื่นๆ จะเรียกคฑาวุธว่า “อาจารย์” ใครที่ต้องออกไปศาลแล้วกลับมา ก็จะมีคฑาวุธซึ่งพอมีความรู้อยู่บ้างชี้แนะแนวทางให้ว่าคดีไหนเป็นอย่างไร และต้องทำอะไรต่อ เนื่องจากบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่และเคร่งขรึมทำให้หลายคนมาขอคำแนะนำอยู่เรื่อยๆ คฑาวุธจึงเป็นเหมือนศูนย์กลางเก็บข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกับคดีอื่นๆ และผู้ต้องขังคนอื่นๆ บ้าง
 
ขณะที่คดีของคฑาวุธเอง ยังไม่รู้จะเดินไปทางไหน
 
 
22 สิงหาคม 2557 ก่อนถึงกำหนดยื่นฟ้องไม่กี่วัน พี่สาวคนเดิมโทร.มาด้วยเสียงสั่น 
 
“คุณคฑาวุธ ถูกพาไปศาลทหารแล้วค่ะ รีบไปเร็ว!”
 
คดีที่ฝากขังที่ศาลอาญามาตลอดหลายเดือน วันหนึ่งก็ถูกบอกว่าเป็นอำนาจของศาลทหาร ทั้งที่เป็นคดีที่การกระทำความผิดเกิดก่อนการรัฐประหาร พนักงานสอบสวนขอยุติการฝากขังต่อศาลอาญา และพาตัวไปฝากขังต่อศาลทหารแทน วิ่งไปถึงศาลทหารท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก พนักงานสอบสวนที่ไม่เคยคัดค้านการประกันตัวมาตลอด อยู่ดีดีกลับใจมาคัดค้านการประกันตัวที่ศาลทหารซะอย่างนั้น ยื่นประกันตัวต่อศาลทหารอีกครั้ง ไม่ได้เหมือนเดิม 
 
ลู่ทางที่ดูสับสนอยู่แล้วยิ่งสับสนขึ้นไปอีก ความหวังที่มีอยู่เล็กน้อยก็ตีบเล็กลงไปอีก
 
21 ตุลาคม 2557 คฑาวุธถูกพาไปที่ศาลทหาร เพื่อขึ้นศาลวันแรก หากตัดสินใจรับสารภาพก็อาจรู้ผลคำพิพากษาเลย จนถึงวันนี้แล้วเจ้าตัวยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินไปทางไหน ก่อนศาลขึ้นบัลลังก์ก็มีคำสั่งออกมาก่อนแล้วว่าจะพิจารณาคดีลับ ให้ทุกคนออกนอกห้อง วันนั้นคฑาวุธขอเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อน ศาลนัดใหม่ 18 พฤศจิกายน 2557
 
หลังดูคำฟ้องแล้วรู้สึกว่าหลักฐานอ่อน และมีทางต่อสู้คดีได้ ทนายความพร้อมที่จะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ พยานที่จะมาให้การมีอยู่แล้ว เขียนคำร้องคัดค้านอำนาจศาลทหารเตรียมรอไว้แล้ว แต่หลังมีคำสั่งพิจารณาลับ ดูเหมือนจำเลยถูกบีบเข้ามาทุกทาง สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในศาลทหารก็ไม่มี ความสับสนวิ่งวนอยู่รอบตัว
อีกครั้งในวันนั้น ยื่นประกันตัวด้วยหลักทรัยพ์ 800,000 บาท มากที่สุดเท่าที่หาได้ ไม่ได้เหมือนเดิม
 
ผมไปเยี่ยมคฑาวุธอีกครั้งที่เรือนจำพร้อมทนายความทั้งทีมรวม 5 คน เป็นวันที่ต้องตัดสินใจแนวทางการต่อสู้คดีในสถานการณ์ที่ดูเหมือนถูกบีบจากทุกทางแล้ว หลังสับสนมาหลายเดือน เราคุยกันจบภายในสิบนาที บทสนทนาในวันนั้นไม่สับสนอีกต่อไป เจ้าตัวคิดมาเรียบร้อยแล้วว่าพร้อมรับสารภาพ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าการขึ้นศาลทหารในบรรยากาศการเมืองเช่นนี้ไม่มีอะไรรับประกันการพิจารณาคดีที่ยุติธรรมได้เลย หากรับสารภาพแล้วได้ลดโทษครึ่งนึงอาจเป็นทางที่ได้ออกจากคุกเร็วที่สุด
 
ที่สำคัญ ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นมีทหารเข้ามาเยี่ยมในที่คุมขัง เจรจากันรู้เรื่องแล้วว่าหากรับสารภาพจะกำหนดโทษไม่สูงไม่กว่าศาลพลเรือน ในวงเล็บคือจำคุกห้าปี ลดครึ่งนึงเหลือสองปีครึ่ง
 
18 พฤศจิกายน 2557 ในห้องพิจารณาคดีลับ คฑาวุธรับสารภาพ ศาลสั่งจำคุกสิบปี ลดครึ่งนึงเหลือห้าปี 
 
 
 
ใกล้สิ้นปี 2557 แล้วผู้ต้องขังมาตรา 112 ก็ยังทยอยเดินเข้าออกเรือนจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับรวมได้ 24 คน หลายคนต้องขึ้นศาลทหารตามรอยคดีนี้ไป นักโทษการเมืองถูกจับย้ายแดนไม่ให้อยู่รวมกันแล้ว ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ต้องกังวลมากขึ้น คนข้างในก็ยังคงวุ่นวายแบบคนข้างใน 
 
สวัสดีปีใหม่แด่นักโทษทางการเมือง ผู้ถูกคุมขังจากการแสดงความคิดเห็นทุกคน 
 
คดีที่ศาลทหารของคฑาวุธเป็นอันสิ้นสุด ไม่เหลืออะไรให้ต้องทำอีกแล้ว อีกห้าปีข้างหน้าหวังว่าเราคงได้พบกันอีกครั้ง อย่างคนผู้มีอิสระ
 
 
 
 
 
 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง