วันที่ 15 พฤศจิกายน คือวันประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ชาติว่าด้วยเศรษฐกิจ ซึ่งถูกคาดหมายว่า จะเป็นการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการทางการเงินของโลกอีกครั้งหลังจากมันเคยเกิดขึ้นแล้วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเศรษฐกิจโลกพังพาบลง จนนำมาสู้ระบบแลกเปลี่ยนเงินที่ชื่อว่า Bretton Woods System
G20: "we must rethink we must rethink the financial system from scratch, as at Bretton Woods."
นิโคลัส ซาร์โกซี ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสเป็นผู้เอ่ยประโยคนี้ เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา และนำมาสู่การกำหนดการประชุมสุดยอดผู้นำโลกที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พ.ย. นี้
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ กล่าวว่า วิกฤตการณ์เงินของโลกต้องการมาตรการที่เข้มแข็งทั้งในด้านตลาดการเงินและมาตรการเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินทุน และระบบแบรตตัน วูดส์ แบบใหม่ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
วันที่ 13 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ กล่าวว่า ผู้นำของโลกจำเป็นต้องพบปะกันเพื่อลงความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจใหม่ "เราต้องมีระบบแบรตตัน วูดส์ ใหม่ สร้างสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศขึ้นใหม่ในปีข้างหน้า เช่นกันกับคำกล่าวจากปากของนายจูลิโอ เตรมอนตี รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของอิตาลี ซึ่งสนับสนุนให้การประชุมผู้นำ G7 เป็นวาระผลักดัน "New Bretton Woods." พ่วงไปกับการวิพากษ์ว่าสหรัฐต้องรับผิดชอบต่อวิกฤตการเงินของโลกในปี 2008
ระบบ Bretton Woods (ตั้งชื่อตามชื่อเมืองเมืองแบรตตัน วูดส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้นำของโลกขณะนั้นได้หารือร่วมกันและเห็นชอบต่อระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราด้วยอัตราคงที่) ที่ผู้นำทั้งหลายกล่าวถึงนั้น เป็นระบบกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราคงที่ซึ่งมีเงินดอลล่าร์เป็นฐาน อิงกับทองคำคือ 35 ดอลล่าร์ ต่อทองคำ 1 ออนซ์ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1946 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 1970 ทว่าระบบดังกล่าวก็แก้ปัญหาภาวะไม่มั่นคงของเศรษฐกิจโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เท่านั้น เพราะหลังจากนั้น เมื่อเกิดภาวะธนบัตรดอลล่าร์ล้นตลาด สหรัฐต้องประกาศเลิกอิงการแลกเปลี่ยนเงินตรากับทองคำในปี 1971 นำมาสู่ระบบค่าเงินลอยตัว ซึ่งตลาดเงินตราสามารถแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างเสรีในปัจจุบัน
การประชุมสุดยอดผู้นำโลกครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่รวบรวมบรรดาผู้นำจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งผู้นำในกลุ่มประเทศ G7 กลุ่ม G 20 และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สำคัญ อาทิ จีน บราซิล ซาอุดิอาระเบีย และอินเดีย นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) องค์การสหประชาชาติ (UN) และกลุ่มการประชุมเสถียรภาพทางการเงิน (FSF)
กลุ่มประเทศ G20 นั้น เป็นการประชุมของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 7 ประเทศ (G7) และประเทศที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกอีก 12 ประเทศ รวมกับประธานสหภาพยุโรป 1 ตำแหน่ง
ประเทศสมาชิกทั้งหมดมีประชากรราว 2 ใน 3 ของโลก และมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) รวมกันแล้วประมาณ 80เปอร์เซ็นต์ของโลก
ทั้งนี้ ประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 20 สุดยอดผู้นำโลกได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิ อาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหราชอาณาจักร สหรัฐอมริกา และสหภาพยุโรป
วิเคราะห์จากนักวิเคราะห์
แม้ว่าจะถูกจับตามองถึงมาตรการเพื่อรับมือกับภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจของสหรัฐและสหภาพยุโรปซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของโลก แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงประเมินว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำโลกจะยังคงไม่มีมาตรการอะไรใหม่ๆ ออกมา ขณะที่บรรยากาศในตลาดหุ้นนั้นก็ผูกความคาดหวังไว้กับผลการประชุมครั้งนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ขณะนี้ ธนาคารโลก (World Bank) ได้เตรียมทำเอกสารวิเคราะห์ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกสำหรับการประชุม G20 โดยที่ในเอกสารดังกล่าวนี้ ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของโลกในปี 2552 เหลือเพียง 1% โดยปรับลดประมาณการ GDP ของประเทศกำลังพัฒนาเหลือ 4.5% ประเทศที่พัฒนาแล้ว (OECD) หดตัวลง 0.2% จากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ขยายตัวเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ในเอกสารฉบับดังกล่าว ธนาคารโลกได้เรียกร้องให้ผู้นำโลกมองข้างเสถียรภาพของดุลการชำระเงินระหว่างประเทศและให้ความสำคัญสภาพคล่องทางการเงิน สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นักลงทุนได้จับตามองว่า ประธานาธิบดีของสหรัฐจะกล่าวอะไรในการประชุมดังกล่าว ซึ่งนั่นหมายถึงทิศทางต่อไปของระบบการเงินและเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศผู้นำ ทั้งนี้สื่อมวลชนได้รายงานคำสัมภาษณ์นายแดน ไพรซ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช คาดว่า การประชุม G20 ที่ กรุงวอชิงตัน วันเสาร์นี้ ที่ประชุมจะเห็นชอบให้ใช้มาตรการเฉพาะในการรับมือกับภาวะผันผวนในตลาดการเงิน และยับยั้งการถดถอยของเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งคาดถึงแนวโน้มว่าที่ประชุม G20 จะมีการหารือกันเพื่อเรียกร้องให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จัดอันดับเครดิตให้มีมาตรฐานสูงขึ้น โดยอาศัยข้อมูลตามความเป็นจริง หลังจากที่ บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) , มูดีส์ อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ถูกวุฒิสภาสหรัฐฯ โจมตีว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน และปิดบังสถานะที่แท้จริงของบริษัทปล่อยกู้จำนองจนเป็นเหตุให้กิดภาวะผันผวนในตลาด อีกทั้งไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงของตราสารหนี้ ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS)
ด้านญี่ปุ่น ก็มีข่าวออกมาแล้วว่า นายทาโร อาโสะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะประกาศแผนการอัดฉีดเงินทุนมูลค่า 10 ล้านล้านเยน หรือ 1.05 แสนล้านดอลลาร์ ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อใช้ในการปล่อยกู้ฉุกเฉินในกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
บทบาทของประเทศที่ไม่ถูกนับรวม
จริงๆ แล้วในการประชุมของผู้นำโลก ไม่เพียงแต่จะต้องถูกจับตามองจากประเทศที่ไม่ถูกนับรวม แต่ยังคงรวมถึง ประชากร ที่ไม่ถูกนับรวมด้วย เนื่องจากแนวทางของกลุ่มผู้นำ G20 นั้นชัดเจนว่า ดำเนินไปตามแนวทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจอย่างสุดโต่ง และนั่นย่อมส่งผลถึงนโยบายในการจัดสรรทรัพยากรซึ่งส่งผลทั้งต่อประชาชนในประเทศกลุ่ม G20 เองและในประเทศที่เหลือ
การประกาศยืนหยัดเพื่อชาวนาชาวไร่ในซีกโลกใต้ ประจันหน้ากับธุรกิจการเกษตรแห่งซีกโลกเหนือ [1] เกิดจากการเคลื่อนไหวทางสังคมของภาคประชาชนในกลุ่มประเทศ G20 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2548 ที่กรุงนิวเดลี อินเดีย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับการประชุมของผู้นำ เป็นอีกตัวอย่างที่ดีว่า แม้ความพยายามของผู้นำโลกในการประชุมกำหนดวาระทางเศรษฐกิจของโลก ก็อาจไม่สามารถครอบคลุมไปถึงผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจเสรี ซึ่งเกิดกับประชากรในประเทศของตัวเองเช่นกัน
ทั้งนี้ สิ่งที่พึงสังเกตได้ประการหนึ่งคือ การนับรวมประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเคร่งครัด [2] ตามการจัดอันดับของไอเอ็มเอฟหรือธนาคารโลกนัก เพราะบางประเทศที่มีจีดีพีสูงอย่างไต้หวัน กลับไม่ถูกนับรวม ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อสังเกตถึงบทบาทของจีนแผนดินใหญ่ที่กำลังผงาดขึ้นมามีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจโลกอยู่ขณะนี้ ซาอุดิ อาระเบีย อาร์เจนตินา และแอฟริกาใต้ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21-25 ถูกนับรวมอยู่ในกลุ่ม G20 ขณะที่ประเทศไทยที่มีอันดับทางเศรษฐกิจสูงกว่าแอฟริกากลับถูกข้ามไป ดังนั้นไทยในฐานะที่ยังไม่ถูกจัดเข้าพวก รวมถึงถูกกระโดดข้ามไปด้วยนั้น ก็คงต้องติดตามการประชุมดังกล่าวในฐานะประเทศที่จะต้องปรับตัวตามวาระของผู้นำโลกต่อไป
อ้างอิง:
1. ข้อเรียกร้องถึงกลุ่ม G20: ปฏิเสธกระบวนทัศน์ข้อตกลงเสรีเรื่องการเกษตร (AoA)http://www.focusweb.org/thailand/html/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=117&mode=thread&order=0&thold=0
2. List of countries by GDP (PPP), http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(PPP)
อ่านเพิ่มเติม
G20 major economies, http://en.wikipedia.org/wiki/G20_(Group_of_economies)
Bretton Woods II, http://en.wikipedia.org/wiki/Bretton_Woods_II
Bretton Woods system, http://en.wikipedia.org/wiki/Bretton_Woods_system